เฉินต๋าจี่สีหน้ายังคงเย่อหยิ่งเช่นเดิม มองดูผู้ตรวจสอบอาวุโสทั้งสองคน
“ผลการตรวจสอบถูกต้องหรือไม่? นี่คือใบแสดงรายการทรัพย์สินชุดที่ 1 มูลค่าราวประมาณหนึ่งพันล้าน”
สีหน้าของผู้ตรวจสอบอาวุโสทั้งสองเคร่งขรึม แต่ไม่ตอบอะไร
ในห้องโถงใหญ่นั้น ผู้คนตระกูลหลินทั้งหลายต่างส่งเสียงอื้ออึงขึ้นมาทันที
“เท่าไหร่นะ? หนึ่งพันล้าน! ฉันไม่ได้ฟังผิดใช่มั๊ย?”
“ฮาๆ หลินหยุนเจ้าเด็กนี่กำลังล้อเล่นอยู่หรือเปล่า? สูงถึงพันล้านเชียว เขาสามารถเอาออกมาได้สิบล้านก็ถือว่าบุญโขแล้ว คนสมัยนี้คุยโวขี้โม้ก็ไม่รู้จักคิดก่อนมั่งเลย?
“แต่ว่า หลินหยุนเจ้าเด็กนี่ไม่รู้ว่าไปจ้างนักแสดงคนนี้มาจากไหน ไม่เลยจริงๆ เวลาที่พูดโกหกสีหน้าไม่เปลี่ยนเลย!”
เหลินเหลยหัวเราะเสียงดังแล้วพูดเยาะเย้ยว่า “เฮ้ย หลินหยุน หัวสมองแกถูกเตะจนได้รับกระทบกระเทือนไปแล้วล่ะ! มีตั้งหนึ่งพันล้าน แกกำลังโกหกใครอยู่เหรอ?
“พี่เห้า พี่ว่าเจ้าเด็กนี่กำลังเล่นตลกหรือเปล่า ต่อหน้ากรรมการทั้งสองคน ถึงกับยังกล้าขี้โม้อีก เขานึกว่ากรรมการของตระกูลหลินพวกเรากินหญ้ารึไง?”
หลินเห้าพูดด้วยสีหน้าดูถูกว่า “เจ้าเด็กนี่กลายเป็นคนของตระกูลหลินของพวกเรา ทำให้ตระกูลหลินพวกเราต้องอับอายขายขี้หน้า! ไม่ได้การแล้ว ฉันจะต้องหาทางไล่เขาออกจากตระกูลหลินให้ได้เลย!”
สายตาของหลินโร่หลันก็ยิ่งเหยียดหยามมากขึ้น“หลินหยุนเอ้ยหลินหยุน อาการยโสโอหังของแกมันช่างน่าขยะแขยงจริงเลย!”
“เป็นคนตระกูลหลินเหมือนแกด้วยแล้ว ฉันก็ยิ่งรู้สึกขายหน้าไปด้วย!
“ฉันจะต้องหาทางไล่แกออกจากตระกูลหลินให้ได้! จะไม่ยอมให้แกต้องทำให้น้องสาวฉันต้องเดือดร้อนไปด้วยเป็นอันขาด!”
หลินโล่เฉินมองดูหลินหยุนด้วยสายตาเย็นชา สีหน้าบึ้งตึง “มันช่างขายหน้าจริงๆเลย! ต่อหน้ากรรมการตรวจสอบ แกถึงกับยังกล้ายโสโอหังอีก! ประเดี๋ยวถูกกรรมการตรวจสอบจับได้ ฉันจะดูซิว่าแกจะตกอยู่ในสภาพยังไง!”
หานเจียวเจียวหัวเราะด้วยเสียงแหลมของเธอแล้วพูดว่า “ฮาๆ ทุกคนได้ยินหรือยัง? หนึ่งพันล้าน เจ้าเด็กนี่ไปหาผู้หญิงคนนี้มาช่วยพูดว่าหนึ่งพันล้าน!”
“เขาคิดว่ากรรมการตรวจสอบเป็นไอ้โง่ หรือคิดว่าตระกูลหลินพวกเราเป็นไอ้งั่งกันหมด!”
“พี่ตงหัวนี่ก็คือลูกชายที่แสนดีของพี่สินะ! ร้ายกาจจริงๆ หนึ่งพันล้าน กำไรเพิ่มขึ้นหนึ่งร้อยเท่าเลย!
หานเจียวเจียวพูดเยาะเย้ยด้วยเสียงเล็กเสียงน้อย
สวี่เหม่ยเย้นพูดเยาะเย้ยเพิ่มเติมว่า “ร้ายกาจจริงๆ ความสามารถในการคุยโวช่างร้ายกาจจริงๆ! ตระกูลหลินทั้งตระกูล ก็คงไม่มีใครสู้เขาได้อีกแล้ว!”
“ถูกต้อง เจ้าเด็กนี่มีความสามารถคุยโม้เป็นที่หนึ่งของตระกูลหลินอย่างแน่นอน ไม่มีใครเทียบได้อีกแล้ว”
“พี่ตงหัว ลูกชายของพี่คนนี้ สุดยอดจริงๆเลยนะ!” หลินตงเย่วพูดแดกดันอย่างเยาะเย้ย
“ฮาๆ เดิมทีนึกว่าในที่สุดหวางซูเฟินได้พบกับลูกในไส้แล้ว ต่อไปก็คงไม่มีปมด้อยอีก แต่นึกไม่ถึงว่าลูกชายคนนี้ ถึงกับเป็นอย่างนี้ มันเป็นเหมือนสวรรค์จงใจส่งมากลั่นแกล้งหวางซูเฟินให้ทนทุกข์ทรมานโดยเฉพาะ ต่อไปถ้าบริษัท ตงหวาง กรุ๊ปตกทอดถึงมือเจ้าเด็กนี่แล้วละก็ คาดว่าไม่ถึงหนึ่งเดือนก็คงล้มละลายไปหมดแล้ว”
“เจ้าเด็กนี่ยโสโอหังขนาดนี้ ฉันยังแปลกใจว่าเขามีชีวิตอยู่รอดมาถึงตอนนี้ได้ยังไง?”
ผู้คนตระกูลหลินเหล่านี้ ต่างก็โจมตีหลินหยุนอย่างไม่หยุดยั้ง
หลินตงหัวสีหน้าละอาย ก้มหน้าลงไม่กล้าพูดอะไร นึกเสียใจลึกๆอยู่ในใจ ถ้ารู้มาก่อนว่าหลินหยุนจะขึ้นไปพูดจาเหลวไหลขนาดนี้ละก็ ยังไงเขาก็ไม่ยอมให้เขาเข้าร่วมประเมินผลงานด้วยเป็นอันขาด
สีหน้าของหวางซูเฟินยังคงเยาะเย้ย มองดูสีหน้าท่าทางคำพูดที่ประชดประชันของคนตระกูลหลินเหล่านั้น ในใจก็หวังให้คนพวกนี้กระโดดสูงมากขึ้น
เพราะถ้ากระโดดยิ่งสูงมากเท่าไหร่ เวลาที่ตกลงมาก็ยิ่งเจ็บหนักมากขึ้นเท่านั้น
ในบรรดาท่านผู้ใหญ่ตระกูลหลินทั้งห้านั้น ท่านสี่อารมณ์ฉุนเฉียวใจร้อนที่สุด รู้สึกทนไม่ไหวอีกแล้ว ทำเสียงฮื่อใส่แล้วพูดว่า “เจ้าเด็กนี่ไม่ได้เรื่องจริงเลย เขาทำเหมือนว่า กรรมการตรวจสอบของตระกูลหลิน เหมือนไอ้โง่ที่หลอกง่ายยังไงก็ได้? เหลวไหลจริงๆ!”
ท่านหลินห้าก็พูดเสริมว่า “นั่นนะสิ ต้องอบรมสั่งสอนเด็กนี่ให้ดีแล้วนะ”
สีหน้าของหลินซื่อเฉิงเรียบเฉยมาก ไม่ได้พูดอะไรมาโดยตลอด
หลินหยุนเพิ่งจะได้พบกับพ่อแม่ที่แท้จริง ช่วงเวลาที่ผ่านมา ทำให้ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนซึ่งก็เป็นเหตุผลที่พอเข้าใจได้ คนที่เป็นปู่อย่างเขาในใจย่อมต้องรู้สึกติดค้างหลินหยุนอยู่บ้าง
แต่ว่าเมื่อพูดตามความจริงแล้ว ในใจของหลินซื่อเฉิงก็ยังรู้สึกเหมือนกันว่า หลินหยุนก็ยโสโอหังเกินไปหน่อย
หนึ่งพันล้าน แม้แต่หลินโล่เฉินที่เป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของคนรุ่นใหม่ตระกูลหลินยังทำไม่ได้เลย
“ถ้าเขาพูดโกหกจริง ก็ย่อมต้องถูกกรรมการตรวจสอบเปิดโปงแน่ พวกเราอย่าเข้าไปยุ่งจะดีกว่านะ!” หลินซื่อเฉิงพูดอย่างเรียบๆ
ในฐานะที่เป็นเจ้าบ้าน คำพูดของเขาย่อมต้องมีอำนาจสิทธิ์ขาดเสมอ
ผู้อาวุโสทั้งสี่ที่เหลือ ถึงแม้ในใจรู้สึกไม่พอใจบ้างก็ตาม แต่ว่าก็ยังไม่กล้าคัดค้านความเห็นของหลินซื่อเฉิงเหมือนกัน
ผู้ตรวจสอบอาวุโสทั้งสองไม่ได้ตอบคำถามของเฉินต๋าจี่เลย ถึงแม้ได้ตรวจสอบแล้วยืนยันว่า ทรัพย์สินจำนวนหนึ่งพันล้านนี้ถูกต้องทั้งหมด แต่ว่า พวกเขาก็ยังคงไม่อยากจะเชื่อเหมือนเดิม หลินหยุนเจ้าเด็กนี่ยังไม่เคยได้รับเงินทุนตั้งต้นเลย จะสามารถหาเงินได้ถึงพันล้านเชียว!
ดูเหมือนว่าเฉินต๋าจี่จะเข้าใจความคิดของผู้ตรวจสอบอาวุโสทั้งสอง จึงถามขึ้นอีกครั้งว่า “เป็นยังไงล่ะ? ผลการตรวจสอบมันประกาศยากมากเลยเหรอคะ?”
“งั้นฉันจะช่วยพวกคุณอ่านประกาศแทนก็แล้วกัน!”
เฉินต๋าจี่ก็เอาใบรายการแสดงทรัพย์สินฉบับนั้นกลับมา หันหน้ามาประกาศต่อหน้าเหล่าผู้คนตระกูลหลินทั้งหลายด้วยเสียงใสเย็นชาว่า “บริษัทบริษัท คางเย่ จำกัดที่จงโจวเป็นทรัพย์สินของเจ้านายฉันเอง มูลค่าทางการตลาดหนึ่งพันล้าน”
เมื่อเฉินต๋าจี่พูดจบ ทั้งห้องโถงใหญ่ก็เงียบสงัด!
ทุกคนต่างก็จ้องมองเฉินต๋าจี่ด้วยอาการตกตะลึง สีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
หลังจากผ่านไปไม่กี่วินาที ทุกคนต่างก็ได้สติคืนมา
เหลินเหลยแหกปากตะโกนราวกับถูกผีหลอกว่า “พันล้าน เป็นไปได้ยังไง! ผู้หญิงคนนี้บ้าไปแล้วเหรอ? อาศัยแค่เจ้าเด็กนี่เป็นไปได้ยังไงที่จะหามาได้ถึงพันล้าน!”
หลินเห้าสีหน้าบูดบึ้ง ในใจรู้สึกตกตะลึง “นี่มันเป็นไปได้ยังไง!”
แต่ว่าหลินเห้าสังเกตเห็นว่าสีหน้าของผู้ตรวจสอบอาวุโสทั้งสองเคร่งเครียดมาก
แต่ก็ไม่ได้พูดคัดค้านเฉินต๋าจี่เลย เห็นได้ชัดว่า ผู้ตรวจสอบอาวุโสทั้งสองได้ตรวจสอบถูกต้องแล้ว เพียงแต่คิดเหมือนกับทุกคน ที่ไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน ดังนั้นจึงยังไม่ประกาศออกมา
“ เขาสามารถหาเงินได้ถึงหนึ่งพันล้านจริงๆ! ไม่! นี่เป็นไปไม่ได้แน่นอนเลย!”
หลินเห้าไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด อย่าว่าแต่พันล้านเลย แม้แต่ร้อยล้าน ถ้าแม้แต่เงินทุนตั้งต้นยังไม่มีละก็ งั้นก็เหมือนคนฝันละเมอเพ้อพกอย่างไม่ต้องสงสัย
ต้องรู้ว่าการประเมินผลงานของตระกูลนั้นจะต้องพึ่งความสามารถของเจ้าตัวเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ไม่สามารถที่จะอาศัยอำนาจบารมีเส้นสายภายนอกช่วยเหลือเลย ถ้าตัดประเด็นนี้ของตระกูลออกไปแล้ว พวกเขาก็จะเหมือนเด็กหนุ่มสาวธรรมดาทั่วไปเท่านั้นเอง
ด้วยอายุของพวกเขาตอนนี้ ซึ่งอาจจะยังกำลังเรียนอยู่มัธยมปลายก็ได้ ถ้าใครสามารถทำกำไรจากเงินทุนตั้งต้นเพิ่มขึ้นหลายเท่า ก็นับได้ว่าเป็นสุดยอดอัจฉริยะในบรรดาอัจฉริยะด้วยกันแล้ว
ใบหน้าที่สะสวยของหลินโร่หลัน ขยับปากเล็กน้อยพูดว่า “นี่มันเป็นไปได้ยังไง! หรือว่าเป็นเพราะบริษัท ตงหวาง กรุ๊ปแอบช่วยเหลือเขาอยู่?”
“ฮื่อ คิดจะอาศัยความช่วยเหลือจากบริษัท ตงหวาง กรุ๊ป แล้วคิดจะมั่วเอาผลงานมาเข้าร่วมประเมินผลงานของตระกูล ฝันไปเถอะ!”
หลินโร่หลันก็แอบตัดสินใจแล้วว่า จะเปิดโปงหลินหยุนทันที
หลินโล่เฉินสีหน้าก็ไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน “หรือว่าคุณอาสะใภ้หวางแอบช่วยเหลือเขาหรือ? งั้นต้องถือว่าเขาฝ่าฝืนกฎกติกาแล้ว”
หานเจียวเจียวยิ่งเอาใหญ่ มองไปยังหวางซูเฟิน ด้วยสีหน้าเย้ยหยัน พูดประชดประชันว่า “ไอ้หยา มีคนบางคนแต่งเข้ามาอยู่ในตระกูลหลินตั้งนานแล้ว หรือว่าแม้แต่กฎกติกาของการประเมินผลงานตระกูลหลินก็ยังไม่รู้เลยเหรอ? ถึงกับช่วยเหลือลูกชายตัวเองทุจริตการประเมินผลงาน!”
“นั่นน่ะสิ การทำผิดกฎแบบนี้ จะต้องได้รับการลงโทษจากกฎระเบียบของตระกูลด้วย!”
สวี่เหม่ยเย้นก็พูดประชดแดกดันอย่างเย้ยหยันว่า “ดูเหมือนว่ามีใครบางคนเพื่อที่จะทำให้ลูกชายตัวเองได้กลับเข้าตระกูลหลินแล้ว ทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างเต็มที่เลยนะ!”
“เสียดายที่ว่า คุณคิดว่ากฎระเบียบของตระกูลหลินตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นไม้ประดับงั้นเหรอ?”
หลินตงเย่วถึงกับต่อว่าหลินตงหัวด้วยความโกรธว่า “พี่รอง พี่หมายความว่ายังไงกัน หรือเป็นเพราะว่าพี่อยู่แต่ข้างนอก จนลืมแม้กระทั่งกฎระเบียบของตระกูลไปแล้ว!”
“การประเมินผลงานของตระกูล จะต้องอาศัยความสามารถของเจ้าตัวเท่านั้น ไม่สามารถอาศัยความช่วยเหลือจากที่อื่นทั้งนั้น หรือว่าประเด็นนี้ฉันจะต้องคอยเตือนพี่อีกเหรอ?”
หลินตงหัวรู้สึกอับอายมาก เขาคิดไม่ถึงเลยว่าหวางซูเฟินถึงกับแอบช่วยเหลือหลินหยุนโดยพลการ “ซูเฟิน ทำแบบนี้ คุณก็ทำไม่ถูกแล้วนะ! คุณไปช่วยเหลือเขาได้ยังไงกัน!”
หวางซูเฟินทำตาเขม็งใส่หลินตงหัว พูดด้วยเสียงเย็นชาว่า “ฉันไปช่วยเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ก่อนหน้าวันนี้ ฉันก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า เขาก็คือลูกแท้ๆในไส้ของเรา แล้วจะไปช่วยเขาได้ยังไงกันล่ะ!”
“เงินพวกนี้ เขาเป็นคนหาด้วยน้ำพักน้ำแรงของเขาเองทั้งนั้น”