เมื่อพูดถึงหลินเห้า ท่านหลินห้าก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังหลินเห้าที่สีหน้าเย่อหยิ่งในห้องโถงใหญ่นั้น สายตาแสดงออกถึงความปลาบปลื้มยินดี
“หลินเห้าเจ้าเด็กนั่น วันๆก็ได้แต่เดินตามหลังโล่เฉิน หวังว่าจะได้เรียนรู้ความสามารถจากโล่เฉินเพียงแค่ส่วนเดียวก็พอแล้ว!”
หลินซื่อเฉิงพูดอย่างถ่อมตัวว่า “น้องห้าพูดอะไรกัน โล่เฉินถึงแม้ว่าจะโดดเด่นก็จริง แต่หลินเห้าอายุก็ยังน้อย ต่อไปในอนาคตผลงานคงไม่ด้อยไปกว่าโล่เฉินหรอก”
“พี่รองไม่ต้องปลอบใจฉันหรอก น้ำหน้าอย่างหลานแท้ๆในไส้ของฉันเองเป็นยังไง ทำไมฉันจะไม่รู้ล่ะ? ” ท่านหลินห้าพูดเยาะเย้ยตัวเอง
หลินโร่สุ่ยหยิบข้อมูลเอกสารคืนมา แล้วเดินกลับไปด้วยความดีใจ
หลินหยุนพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่เลวเลยนะ”
“ขอบคุณที่ชมค่ะ! แต่ว่า บริษัทของฉันสามารถมีมูลค่ามากอย่างทุกวันนี้ได้ ก็ได้แต่อาศัยความช่วยเหลือจากคุณหลินผู้ลึกลับคนนั้นทั้งนั้นเลย! ถ้ามีโอกาส ฉันจะต้องขอบคุณเขาอย่างดีเลย!” ขณะที่หลินโร่สุ่ยพูดอยู่นั้น ดวงตากลมโตทั้งคู่ก็จ้องมองไปยังหลินหยุนอย่างไม่กะพริบตา ดูเหมือนว่าอยากจะมองทะลุเข้าไปในใจของหลินหยุน
แต่ว่า เธอก็ทำไม่สำเร็จ
ใบหน้าของหลินหยุนไม่แสดงข้อพิรุธออกมาแม้แต่นิดเดียว พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ก็ควรจะขอบคุณเขาจริงๆแหละ”
ผู้ตรวจสอบอาวุโสคนนั้น ก็ตะโกนพูดต่อไปว่า “คนต่อไป หลินเหลย!”
ชายหนุ่มผมสีทองแต่งตัวทันสมัยที่ยืนอยู่ข้างหลินเห้า ขยับแข้งขยับขาส่ายไปมาทั้งตัว เดินเข้าไปด้วยท่าทางเอ้อระเหยลอยชาย
ในมือของเขาไม่ได้ถืออะไรมาด้วยเลย
หนึ่งในผู้ตรวจสอบอาวุโสก็ถามด้วยเสียงเย็นชาว่า “ขอใบแสดงรายการทรัพย์สินและใบรับรองด้วย”
หลินเหลยพูดด้วยสีหน้าโอหังว่า “ไม่มี เงินทุนตั้งต้นสิบล้าน ผมใช้ไปหมดแล้ว ตอนนี้เหลือแค่ไม่กี่แสนเอง”
ผู้ตรวจสอบอาวุโสทำตาถลนใส่เขา “งั้นคุณยังเข้ามาทำไมอีกล่ะ! สละสิทธิ์ไปก็สิ้นเรื่องแล้ว”
หลินเหลยหัวเราะแฮ่ๆ “กลัวอะไร มีบางคนแม้แต่เงินทุนตั้งต้นยังไม่ได้รับเลย ยังกล้ามาเข้าร่วมประเมินผลงาน ยังไงเสียคนที่ได้ที่โหล่สุดท้ายก็ไม่ใช่ฉันอย่างแน่นอน”
พวกคนตระกูลหลินทั้งหลายก็หัวเราะเสียงดังลั่น
ใครๆก็รู้ว่าหลินเหลยกำลังพูดถึงใครอยู่
“เจ้าเด็กเวรหลินเหลยนี่ เป็นพวกล้างผลาญตระกูลหลินแท้ๆเลย!”
“แต่ว่าคราวนี้หลินเหลยก็ยังโชคดีมากเลย มีคนช่วยรั้งท้ายให้เขาแล้ว”
สีหน้าของหลินตงหัวแลดูไม่สู้ดีนัก ขณะเดียวกันในใจก็แอบเป็นห่วง “รู้อย่างนี้แต่แรกก็จะไม่ให้หลินหยุนไปร่วมด้วยแล้ว”
หวางซูเฟินสีหน้าแสดงออกถึงความเย้ยหยัน “ปล่อยให้พวกแกดีใจไปอีกสักพักก่อน อีกประเดี๋ยวหวังว่าพวกแกคงไม่ช็อกตายเสียก่อนล่ะ!”
หลินเห้าพูดเยาะเย้ยว่า “หลินเหลยเจ้าหมอนี่ รู้ล่วงหน้าว่ามีคนรั้งท้ายเลยไม่เกรงกลัวอะไร ถ้ามีคนที่แม้แต่หลินเหลยหนุ่มเจ้าสำราญคนนี้ยังสู้ไม่ได้เลย นั่นก็ต้องเป็นเศษสวะของตระกูลหลินแล้วล่ะ”
ขณะที่หลินเห้าพูดอยู่นั้น ก็เจตนามองไปยังหลินหยุน ขาดแต่ว่ายังไม่ได้ด่าหลินหยุนซึ่งหน้าเท่านั้นเอง
ลูกหลานตระกูลหลินที่เข้าร่วมประเมินผลงานทั้งหลายนั้น สายตาที่มองไปยังหลินหยุนก็เต็มไปด้วยความประสงค์ร้ายทั้งนั้น
“ถูกต้อง แต่ว่าหลินเหลยเป็นหนุ่มเจ้าสำราญที่มีชื่อเสียงของตระกูลหลินพวกเรา ถ้าหาก มีใครที่ยังสู้หลินเหลยไม่ได้อีกละก็ น่าจะไสหัวออกไปจากตระกูลหลินให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ยังจะมีน้ำหน้าอยู่ตระกูลหลินอยู่อีก!”
“ถ้าฉันแม้แต่หลินเหลยก็ยังเอาชนะไม่ได้ละก็ ฉันคงรีบหาทางแทรกแผ่นดินหนีไปแล้ว ยังจะมีหน้าอยู่ตระกูลหลินต่อไปอีก!”
หลินโร่สุ่ยเชิดหน้าใส่ “พวกคุณไม่ต้องมาตีวัวกระทบคราดหรอก ฉันบอกพวกคุณเลยนะ ผลงานของหลินหยุนไม่มีทางที่จะด้อยกว่าหลินเหลยอย่างแน่นอนเลย!”
“งั้นเหรอ? คุณมั่นใจขนาดนั้นเลยเหรอ?” หลินเห้าพูดเยาะเย้ย
หลินโร่สุ่ยสะบัดหน้าใส่ “ไม่เชื่อพวกเราก็รอดูกันเถอะ!”
หลินเหลยทำให้ผู้ตรวจสอบอาวุโสโกรธจนตัวสั่น ประกาศด้วยเสียงเย็นชาว่า “เงินลงทุนสิบล้าน ตอนนี้เหลือแค่ไม่กี่แสน ลูกหลานล้างผลาญตระกูลคนหนึ่ง ยังมีหน้ามายืนอยู่ที่นี่อีก ไสหัวกลับไปเลย!”
ฐานะตำแหน่งของผู้ตรวจสอบอาวุโสในตระกูลหลินก็ไม่ใช่ต่ำต้อยเลย ลูกหลานอย่างหลินเหลยนั้น ผู้เฒ่าทั้งสองคนต่างก็อยากจะถีบให้กระเด็นออกไปเลย ไม่จำเป็นที่จะต้องเกรงใจเขาอีกแล้ว
หลินเหลยก็ไม่รู้สึกอายเลยแม้แต่นิดเดียว เดินส่ายไปส่ายมากลับไปนั่งที่เดิม
ดวงตาทั้งคู่ยังจ้องไปยังหลินหยุนอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง ดูเหมือนมั่นใจแล้วว่าหลินหยุนจะต้องแพ้ให้เขาอย่างแน่นอน
“คนต่อไป หลินเห้า!” ผู้ตรวจสอบอาวุโสก็ไม่ได้หยุดนิ่ง ยังคงขานชื่อต่อไป
“ในที่สุดก็มาถึงหลินเห้าแล้ว!”
“หลินเห้าเป็นตัวเต็งที่จะคว้าแชมป์ครั้งนี้แน่นอนเลย!”
“ถูกต้อง หลินเห้าเจ้าเด็กนี่วันๆก็ได้แต่เดินตามหลินโล่เฉินมาโดยตลอด ไม่รู้ว่าไปเรียนรู้วิชาจากหลินโล่เฉินได้ถึงระดับไหนกันแล้ว?”
“สมาชิกที่เข้าร่วมประเมินผลงานชุดนี้ ก็คงมีแต่หลินเห้ากับหลินโร่สุ่ยแล้วล่ะ เพียงแต่ไม่รู้ว่าหลินเห้าจะสามารถเอาชนะหลินโร่สุ่ยหรือไม่เท่านั้นเอง!”
ทุกคนต่างก็วิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆนานา และตั้งความหวังไว้กับหลินเห้าเป็นอย่างมาก
ในบรรดาท่านผู้ใหญ่ตระกูลหลินทั้งห้านั้น ท่านหลินสามและท่านหลินสี่ ต่างก็มองไปยังท่านหลินห้า “เจ้าห้า หลินเห้าเป็นลูกหลานสายเลือดตระกูลคุณทางนี้ ทุกคนต่างก็เอาใจเชียร์เขาเลยนะ!”
ท่านหลินห้ายิ้มแล้วพูดอย่างถ่อมตัวว่า “เด็กคนนี้ก็พอมีความฉลาดอยู่บ้างเล็กน้อย เพียงแต่ว่าไม่รู้ว่าจะรู้จักเอาไปใช้ประโยชน์ในทางที่ถูกต้องหรือไม่เท่านั้นเอง!”
หลินซื่อเฉิงพูดว่า “อย่าไปดูถูกเด็กๆพวกนี้เชียวนะ ต่อไปพวกเขาจะต้องล้ำหน้ากว่าตาแก่อย่างพวกเราอย่างแน่นอน”
“อ่าย ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีสิ ฉันกลัวแต่ว่าหลังจากที่พวกเราตายจากไปกันหมดแล้ว ตระกูลหลินก็ไม่มีใครสืบทอดต่อไปอีกแล้วสิ!” ท่านพี่ใหญ่หลินถอนหายใจเฮือก
ในขณะที่สนทนากันอยู่นั้น หลินเห้าก็มายืนอยู่ตรงหน้าผู้ตรวจสอบอาวุโสทั้งสอง แล้วก็ยื่นแฟ้มเอกสารกองโตไปให้
“หลินเห้า เงินทุนตั้งต้นสิบล้าน”
ผู้อาวุโสทั้งสองก็เริ่มตรวจสอบ
เมื่อได้อ่านดูเอกสารครั้งแรก ผู้อาวุโสทั้งสองคนก็เงยหน้าขึ้นมาทันที มองไปยังหลินเห้าด้วยสายตาแตกตื่น เห็นได้ชัดว่าเกิดอาการช็อกไปเลย
หลินเหลยพูดกระซิบว่า “เห็นหรือยังล่ะ พี่เห้าร้ายกาจขนาดไหน! นี่แค่เพิ่งอ่านดูครั้งแรก ตาแก่ทั้งสองถึงกับช็อกไปเลย!”
“ฉันก็สังเกตเห็นแล้ว สงสัยว่าผลกำไรที่เพิ่มขึ้นของพี่เห้าจะต้องเป็นตัวเลขสูงมากอย่างน่าตกใจเลยทีเดียว!”
ในใจหลินโร่สุ่ยก็รู้สึกตกใจ มองไปยังหลินเห้าอย่างไม่กะพริบตา “ใครๆก็บอกว่า หลินเห้าเป็นตัวเต็งที่จะคว้าแชมป์ครั้งนี้อย่างแน่นอน ฉันยังไม่เชื่อมาโดยตลอด ดูไปแล้ว หลินเห้าก็ไม่ธรรมดาจริงๆเลย!”
“อ้าย คุณคิดว่าผลกำไรของหลินเห้าจะเพิ่มขึ้นขนาดไหนเหรอ?” เด็กรุ่นใหม่ของตระกูลหลินคนหนึ่งถาม
“ผลกำไรของหลินโร่สุ่ยเพิ่มขึ้นถึง11เท่าตัว แต่ว่า ผู้ตรวจสอบอาวุโสทั้งสองคนก็ยังไม่มีสีหน้าตื่นตกใจเลยนะ! ไม่ต้องพูดก็รู้แล้วว่า ผลกำไรของหลินเห้าจะต้องเพิ่มขึ้นเกินกว่า 11 เท่าอย่างมากเลยทีเดียว!”
“ผู้ตรวจสอบอาวุโสทั้งสองคนแค่มองดูครั้งแรก ก็รู้สึกตื่นตกใจแล้ว ฉันคิดว่าผลกำไรของหลินเห้าอย่างน้อยต้องได้มากกว่ายี่สิบเท่าขึ้นไปแน่เลย!”
“ยี่สิบเท่า!งั้นก็เป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมที่สุดรองลงมาจากหลินโล่เฉินแล้วสิ!”
คราวนี้ ผู้ตรวจสอบอาวุโสทั้งสองคนใช้เวลาค่อนข้างนานทีเดียว ประมาณแปดนาทีเต็มๆ
คนอื่นใช้เวลาเพียงแค่สองนาทีเท่านั้น นานหน่อยก็สามนาที แม้แต่ของหลินโร่สุ่ยก็ใช้เพียงแค่สี่นาทีเท่านั้น
ส่วนเวลาที่ใช้ตรวจสอบหลินเห้านานถึงแปดนาทีเต็มๆ
จะเห็นได้ว่า เอกสารใบรับรองแสดงรายการทรัพย์สินที่หลินเห้ายื่นเสนอไปนั้น จะต้องไม่น้อยทีเดียว ดังนั้น เวลาที่ใช้ไปก็ต้องค่อนข้างมากเช่นกัน
ในที่สุด ผู้ตรวจสอบอาวุโสทั้งสองคนก็ได้ตรวจสอบเสร็จเรียบร้อยแล้ว เงยหน้าขึ้นแล้วมองดูหลินเห้าอย่างตกตะลึง
“หลินเห้า เงินทุนตั้งต้นสิบล้าน กำไร 350 ล้าน!”
“เพิ่มขึ้น35เท่า!”
“อะไรนะ!”
“โอ้สวรรค์! เพิ่มขึ้น35เท่า หลินเห้าร้ายกาจจริงๆเลย!”
หลินเหลยตะโกนเสียงดังขึ้นว่า “พี่เห้าองอาจห้าวหาญ!”
“ร้ายกาจจริงๆ ตั้ง35เท่าเชียว!”
“ผลงานนี้ก็ยังน้อยกว่าพี่โล่เฉินเล็กน้อย แต่ก็มากกว่าหลินโร่สุ่ยตั้งไม่รู้กี่เท่าเลยนะ!”
“สงสัยคนที่ได้ที่หนึ่งของการประเมินผลงานตระกูลครั้งนี้ จะต้องเป็นพี่เห้าอย่างแน่นอนเลย”
ลูกหลานรุ่นที่สองของตระกูลหลินพวกนั้น ต่างก็รู้สึกช็อกไปตามๆกัน
หลินตงถิงพูดกับพ่อของหลินเห้า ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “ยินดีด้วยนะ หลินเห้าบ้านคุณไม่ธรรมดาเลย สงสัยคนที่ได้ที่หนึ่งของการประเมินครั้งนี้ จะต้องเป็นของเขาอย่างแน่นอนเลย!”
พ่อของหลินเห้า ยิ้มแล้วพูดอย่างถ่อมตัวว่า “ที่ไหนกันล่ะ ข้างหลังยังมีคนอีกตั้งหลายคนยังไม่ได้ประเมินกันเลย? อีกอย่าง เมื่อเทียบกับหลินโล่เฉินบ้านคุณแล้วละก็ หลินเห้ายังห่างอีกไกลเลยล่ะ!”
“อาจไม่แน่ผลงานคราวนี้ คงได้รับความช่วยเหลือจากหลินโล่เฉินไม่น้อยทีเดียว”
“แม่หลินห้าว ยินดีด้วยนะ! หลินเห้าบ้านคุณเก่งกาจจริงเลย เพิ่มขึ้น35เท่า นี่นอกจากหลินโล่เฉินแล้ว ก็นับว่าเป็นผลงานที่ดีที่สุดแล้วนะ!”
“หลินเห้าจะต้องได้ที่หนึ่งของการประเมินผลงานตระกูลครั้งนี้อย่างแน่นอน แม่หลินเห้าเลี้ยงลูกได้ดีจริงๆเลย!” หานเจียวเจียวทั้งชื่นชมและทั้งอิจฉา แกล้งพูดแสดงความยินดีอย่างแสแสร้าง
ท่านผู้ใหญ่ตระกูลหลินทั้งห้าที่เหลืออีกสี่คน ก็ทยอยแสดงความยินดีกับท่านหลินห้าเช่นกัน
“น้องห้า ตระกูลสายทางเจ้าสองนั้นก็มีดาวเด่นอย่างหลินโล่เฉิน ส่วนตระกูลสายนายทางนี้ ก็มีหลินเห้ามาคนหนึ่งแล้ว น่าอิจฉาพวกนายจริงๆเลยนะ!”
“นั่นนะสิพี่ใหญ่ ไม่รู้ว่าสายพวกเราทางนี้ เมื่อไหร่จะได้ผลิตดาวรุ่งดวงใหม่ออกมาได้นะ!”
ท่านหลินห้าหัวเราะฮ่าๆ ถึงแม้ว่าปากพูดอย่างถ่อมตัวก็จริง แต่สีหน้าที่ภาคภูมิใจก็ยังคงปิดปังไว้ไม่ได้
ต่อจากนั้น ลูกหลานตระกูลหลินที่เหลือเหล่านั้น ก็เริ่มประเมินผลงานต่อไป
แต่ว่า ผลงานที่ดีที่สุดก็เพียงแค่กำไรห้าสิบล้าน ยังไม่ทะลุร้อยล้านเลย
ผ่านไปไม่นาน ก็มาถึงคนสุดท้ายแล้ว นั่นก็คือหลินหยุน
ผู้ตรวจสอบอาวุโสเงยหน้ามอง แล้วตะโกนพูดด้วยเสียงเข้มงวดว่า “คนสุดท้าย หลินหยุน!”