หลินหยุนก็กลับไปยังโรงแรมพร้อมกับตระกูลเซี่ยสามคนพ่อแม่ลูก
โรงแรมก็ธรรมดามาก โจวเฟินกับเซี่ยเจี้ยนโก๋ก็พักด้วยกันหนึ่งห้อง เซี่ยหยู่เวยก็พักต่างหากคนเดียวอีกห้องหนึ่ง
ภายในห้องพัก เซี่ยเจี้ยนโก๋พูดตำหนิเล็กน้อยว่า “หลินหยุน นายไม่ควรจะให้เงินเจ้าของร้านคนนั้นเลย!”
“นี่เห็นพวกเราเป็นเหยื่อรับเคราะห์ชัดๆเลยนะ!”
หลินหยุนไม่ได้พูดอะไร ด้วยฐานะของเขา เป็นไปได้ยังไงที่เพียงแค่เงินหนึ่งแสน แล้วไปคิดเล็กคิดน้อยกับคนถ่อยชาวบ้านคนหนึ่ง
โจวเฟินพูดว่า “ไม่ต้องพูดแล้ว เงินก็ให้เขาไปแล้ว คุณยังจะไปเอาคืนมาได้อีกหรือไง!”
เซี่ยเจี้ยนโก๋จึงนิ่งเงียบไม่พูดอะไรอีก
โจวเฟินมองไปยังหลินหยุน แล้วยิ้มอย่างอบอุ่น “เสี่ยวหยุน คราวนี้ดีที่มีนายอยู่ด้วยไม่เช่นนั้นแล้ว อาจไม่แน่เซี่ยหยู่เวยจะถูกพวกเขาข่มเหงแล้วก็ได้!”
“ใช่สิ ตอนนี้นายพักอยู่ที่ไหนล่ะ? ย้ายมาพักกับพวกเราด้วยสิ!”
เซี่ยหยู่เวยเงยหน้าขึ้นมองดูหลินหยุนเล็กน้อย รอคอยคำตอบจากหลินหยุนด้วยความหวัง
เซี่ยเจี้ยนโก๋พูดว่า “เสี่ยวหยุน ในเมื่อนายอยู่เมืองหลวง งั้นงานวันเกิดของนายท่านครั้งนี้ นายจะต้องไปเป็นเพื่อนฉันด้วยนะ!”
“สภาพของฉันตอนนี้นายก็เห็นแล้ว ถ้าไปถึงงานวันเกิดแล้ว เซี่ยอิงเหาคนนั้นก็จะต้อง หาเรื่องกลั่นแกล้งฉันอย่างแน่นอนเลย”
อีกทั้ง นายก็ยังไปทำร้ายคุณชายของตระกูลหลิ่วอีกด้วย ตระกูลหลิ่วจะต้องมาแก้แค้นกับพวกเราแน่เลย นายจะไม่สนใจพวกเราไม่ได้แล้วนะ!”
“ยังมีอีกอย่างหนึ่ง เสี่ยวเวยตอนนี้เธอก็สำนึกผิดแล้ว นายก็ให้โอกาสเธอสักครั้งหนึ่ง อภัยให้เธอด้วยเถอะ!”
“ไม่ว่ายังไงก็ตาม พวกนายก็เป็นสามีภรรยากัน กว่าที่จะได้มาพบเจอกันต้องสะสมบุญมานับสิบปี กว่าจะได้มาเคียงคู่กันก็ต้องสร้างบุญมานับร้อยปี ระหว่างสามีภรรยาจะไม่มีความแค้นที่อยู่ข้ามคืน”
เซี่ยเจี้ยนโก๋ก็เริ่มแสดงบทบาทความเป็นพ่อตาที่เคารพแล้ว พูดอบรมสั่งสอนอย่างเต็มปากเต็มคำ
โจวเฟินก็พูดเตือนว่า “เสี่ยวหยุน ต้องโทษที่หยู่เวยดื้อรั้น ทำให้นายต้องเสียใจ แต่ว่า คราวนี้เธอรู้สึกสำนึกผิดแล้วจริงๆ นายก็ให้โอกาสเธออีกสักครั้งหนึ่งเถอะ!”
หลินหยุนกลัวที่สุดก็คือประเด็นนี้ ถึงแม้เซี่ยเจี้ยนโก๋สองคนพ่อลูกไม่ได้ดีกับเขาเท่าไหร่เลย แต่ว่าโจวเฟินกลับรักเขาเหมือนลูกในไส้คนหนึ่งก็ไม่ปาน
ยังมีอีกประเด็นหนึ่งก็คือ บุญคุณของตระกูลเซี่ยที่เลี้ยงดูเขามา
บุญคุณนี้ ไม่ว่าจะอย่างไร ก็ไม่สามารถลบล้างออกไปได้
มองดูสายตาที่รอคอยด้วยความหวังของโจวเฟิน คำพูดปฏิเสธของหลินหยุน ก็ยากที่จะเอ่ยปากพูดออกมาจริงๆ
จนปัญญาไม่มีทางเลือก เขาจึงได้แต่หาข้ออ้างเพื่อหลบหลีกชั่วคราว “ฉันจะไปเขียนตำราวิชาการฝังเข็มก่อน จะได้ไม่เสียเวลาในการหาของขวัญวันเกิดให้กับท่านเซี่ย”
พอพูดจบ หลินหยุนก็รีบเดินจากไป
“อ้าย……” โจวเฟินถอนหายใจเฮือก ทำตาถลนใส่เซี่ยหยู่เวยอย่างจนใจ
หลังจากที่หลินหยุนเดินออกไปจากประตูห้องแล้ว ก็ยังได้ยินเสียงพูดของโจวเฟินที่กำลังพูดสั่งสอนเซี่ยหยู่เวยอยู่บ้าง “แม่ก็บอกแต่แรกแล้วว่า เสี่ยวหยุนเป็นเด็กดีมาก แกก็ไม่เคยเชื่อเลย แล้วยังทำร้ายจิตใจเขาถึงขนาดนี้ ตอนนี้เสียใจก็สายไปเสียแล้ว”
หลินหยุนก็ไม่ได้ฟังต่อไปอีก เดินไปที่หน้าเคาน์เตอร์โรงแรมเพื่อเปิดห้องพักอีกห้องหนึ่ง จากนั้น ก็เริ่มเขียนตำราวิชาฝังเข็มสิบสามต้นฉบับออกมา
ระหว่างนั้น โจวเฟินก็เดินมาเคาะประตูเรียกหลินหยุนไปกินข้าว แต่ว่า หลินหยุนปฏิเสธอ้างว่ากำลังเขียนถึงตอนสำคัญอยู่ เพื่อเธอจะได้จากไป
เมื่อถึงตอนบ่าย หลินหยุนจึงได้เดินออกมาจากห้องพัก
แล้วเอาวิชาฝังเข็มสิบสามมอบให้กับเซี่ยเจี้ยนโก๋
เซี่ยเจี้ยนโก๋มองดูแวบเดียว ก็ตกตะลึงทันที
“นี่ นี่มันดูเหมือนวิชาฝังเข็มสามของหมอเทพเย่เลย แต่ว่า ล้ำเลิศกว่าวิชาฝังเข็มสามถึงสิบเท่าเลยทีเดียวนะ!”
อีกทั้ง ยังละเอียดกว่าวิชาฝังเข็มสามอีกด้วย ครอบคลุมทุกอย่าง ช่างเป็นผลงานชิ้นหนึ่งที่น่าอัศจรรย์จริงเลย!”
“ฉันกล้ารับรองเลยว่า ถ้าหากตำราวิชาฝังเข็มเล่มนี้ได้เผยแพร่ออกไปแล้วละก็ จะต้องเกิดการแย่งชิงอย่างบ้าคลั่งขึ้นในวงการการแพทย์จีนอีกครั้งอย่างแน่นอนเลย!”
คราวที่แล้ว วิชาการฝังเข็มปราณไท่ชิงของหลินหยุน ก็ได้ทำให้เกิดการแย่งชิงอย่างบ้าคลั่งในวงการแพทย์จีนขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่ง
วิชาฝังเข็มสิบสามเล่มนี้ ล้ำเลิศกว่าวิชาการฝังเข็มปราณไท่ชิงเสียอีก อีกทั้งยังเป็นวิชาฝังเข็มที่เน้นด้านจิตวิญญาณโดยเฉพาะอีกด้วย นี่เป็นประเภทสาขาที่ขาดแคลนมากที่สุด ในประวัติศาสตร์การฝังเข็มของจีนทีเดียว
เมื่อไหร่ที่ถูกเผยแพร่ออกไป ก็ย่อมต้องเกิดการแย่งชิงกันอย่างบ้าคลั่งในวงการแพทย์เป็นธรรมดา
เซี่ยเจี้ยนโก๋ถามด้วยสีหน้าแตกตื่นว่า “ใช่แล้ว เสี่ยวหยุน ตำราวิชาฝังเข็มเล่มนี้มีชื่อว่าอะไรเหรอ?”
“วิชาฝังเข็มสิบสาม!” หลินหยุนพูด
“ฮ่าๆ ดี วิชาฝังเข็มสามของหมอเทพเย่ แล้วนี่ของนายคือวิชาฝังเข็มสิบสาม มากกว่าของหมอเทพเย่ตั้งสิบเข็ม! เซี่ยอิงเหานั่นทำราวกับวิชาฝังเข็มสามเป็นของวิเศษล้ำค่า ถ้าเขาได้เห็นวิชาฝังเข็มสิบสามนี้ละก็ เกรงว่าคงตกใจจนตาถลนออกนอกเบ้าแน่นอนเลย” เซี่ยเจี้ยนโก๋หัวเราะด้วยความสะใจ
หลินหยุนพูดว่า “มีตำราฝังเข็มเล่มนี้แล้ว นายท่านตระกูลเซี่ยก็ควรจะมองคุณในแง่ที่ดีขึ้นบ้างแล้ว งานวันเกิดคราวนี้คุณก็น่าจะไปร่วมงานได้อย่างสบายใจแล้ว”
เซี่ยเจี้ยนโก๋ฟังออกแล้วว่า หลินหยุนไม่คิดจะไปเป็นเพื่อนเขาเลย
“เสี่ยวหยุน ลำพังแค่ตำราวิชาฝังเข็มเล่มนี้ ยังไม่เพียงพอหรอก ใครจะไปรู้ว่าคนพวกนั้นจะหาเรื่องแกล้งฉันยังไง? คราวนี้ยังไงนายก็ต้องไปเป็นเพื่อนฉันด้วยนะ ถือว่าฉันขอร้องนายล่ะ!” เซี่ยเจี้ยนโก๋ยอมรับในความสามารถของหลินหยุน จนยอมสยบให้ทุกอย่าง
ขอเพียงแต่หลินหยุนไปกับเขาด้วย เขาจึงจะวางใจได้
โจวเฟินก็พูดเตือนว่า “เสี่ยวหยุน คราวนี้นายก็ช่วยพวกเราหน่อยเถอะ! นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเราไปร่วมงานวันเกิดของท่านเซี่ย ถ้าคราวนี้ถูกคนดูถูกในงานวันเกิดแล้วละก็ งั้นต่อไปหลังจากที่ได้กลับเข้าไปอยู่ตระกูลเซี่ยแล้ว ก็ต้องถูกคนดูถูกไปทั่วอย่างแน่นอนเลย!”
เซี่ยหยู่เวยยืนอยู่ด้านข้าง สีหน้าเยือกเย็น ไม่พูดจาอะไรเลย
หลินหยุนไม่อยากจะไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในตระกูลเซี่ยจริงๆ แต่ว่า บุญคุณที่โจวเฟินและเซี่ยเจี้ยนโก๋ที่เลี้ยงดูเขามา เขาจำเป็นที่จะต้องตอบแทนบุญคุณ
“ได้ ฉันจะไปเป็นเพื่อนพวกคุณเอง”
เมื่อได้ยินว่าหลินหยุนตอบตกลง โจวเฟินก็ดีใจมาก “สุดยอดไปเลย ถ้ามีเสี่ยวหยุนอยู่ด้วย ฉันก็วางใจแล้ว”
“งั้นพรุ่งนี้ พวกเราไปด้วยกันทั้งครอบครัวเลย ไปร่วมงานวันเกิดของท่านเซี่ยกัน!” โจวเฟินพูดพลางมองดูหลินหยุนด้วยสีหน้าปลาบปลื้ม
ตระกูลเซี่ย คือตระกูลใหญ่ที่ปลีกตัวจากสังคม เป็นหนึ่งในบรรดาตระกูลใหญ่การแพทย์แผนจีนทั้งเจ็ด ที่สืบทอดกันมายาวนานนับหลายพันปี
แต่ว่า ด้วยเหตุที่ตระกูลเซี่ยในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ยังไม่ปรากฏมียอดฝีมือเก่งกาจที่โดดเด่นอะไรออกมาเลย ดังนั้น อำนาจบารมีของตระกูลเซี่ยในตอนนี้ นับได้ว่าเป็นตระกูลที่อ่อนแอที่สุดในบรรดาตระกูลใหญ่การแพทย์แผนจีนทั้งเจ็ด
แต่ว่า ตระกูลเซี่ยกลับเป็นตระกูลที่มีประวัติสืบทอดกันมายาวนานที่สุด ในบรรดาตระกูลใหญ่การแพทย์แผนจีนทั้งเจ็ด
ต่อให้เป็นตระกูลหลิ่วที่เป็นผู้นำในบรรดาตระกูลใหญ่การแพทย์แผนจีนทั้งเจ็ดในตอนนี้ก็ตาม ตระกูลเซี่ยก็ยังถือว่าเป็นตระกูลเก่าแก่ที่สืบทอดมายาวนานกว่าด้วยซ้ำไป
เป็นที่ลือกันว่า ช่วงเวลาที่รุ่งเรืองที่สุดของตระกูลเซี่ยนั้น สามารถเป็นผู้นำครอบคลุมไปทั่วทั้งตระกูลใหญ่การแพทย์แผนจีนทั้งหมด อีกทั้งยังมีอิทธิพลแผ่ข้ามไปยังโลกบู๊อีกด้วย
เพียงแต่เสียดายที่ว่า ความรุ่งเรืองของบรรพบุรุษ คนรุ่นหลังไม่สามารถรักษาสืบทอดต่อไปได้ จึงเป็นเหตุทำให้ต้องตกต่ำจนถึงทุกวันนี้
เจ้าบ้านตระกูลเซี่ยคนปัจจุบันชื่อเซี่ยชีเจว๋ เป็นวีรบุรุษที่น่ากลัวคนหนึ่ง ตั้งแต่ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นต้นมา ก็คิดอยากจะฟื้นฟูตระกูลเซี่ยให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาโดยตลอด
ยิ่งไปกว่านั้น ยังได้ตั้งกฎระเบียบที่ไร้มนุษยธรรมขึ้นมามากมาย ก็เพื่อหวังจะทำให้ตระกูลเซี่ยเจริญรุ่งเรืองกลับคืนมาเหมือนเดิม
มีกฎระเบียบข้อหนึ่งในนั้น ก็คือตระกูลเซี่ยจะไม่เลี้ยงคนไร้ความสามารถ
ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ถ้าไม่สามารถที่จะฝึกวิชาบู๊ได้ จะไม่สามารถเรียนวิชาการแพทย์ได้ด้วย ก็จะต้องถูกขับไล่ออกจากตระกูลไป
เซี่ยเจี้ยนโก๋ ก็เป็นเพราะว่าไม่สามารถที่จะฝึกฝนวิชาบู๊ได้ จึงถูกขับออกจากตระกูลเซี่ย
วันนี้เป็นวันเกิดครบ 76 ปีของนายท่านเซี่ยชีเจว๋
ลูกหลานตระกูลเซี่ยทุกคน ต่างก็รีบทยอยกันกลับมา เพื่ออวยพรวันเกิดให้นายท่าน
ภายในห้องโถงใหญ่ลานบ้านตระกูลเซี่ย
เวลายังเช้าอยู่ ท่านเซี่ยก็ยังมาไม่ถึง แต่ว่า พวกลูกหลานตระกูลเซี่ยทั้งหลายที่ได้รีบเดินทางมาจากทั่วสารทิศ ได้มาถึงก่อนนานแล้ว ต่างก็รวมตัวอยู่ในห้องโถงใหญ่
ไม่ว่าจะเป็นตระกูลไหนก็ตาม หลังจากที่ญาติพี่น้องอยู่ด้วยกันแล้ว การแข่งขันเปรียบเทียบกันดูเหมือนจะกลายเป็นประเพณีอย่างหนึ่งไปแล้ว
ตระกูลเซี่ยซึ่งเป็นตระกูลใหญ่ที่สืบทอดกันมายาวนาน ก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน
แต่ว่า ตระกูลเซี่ยเป็นตระกูลใหญ่การแพทย์แผนจีน เรื่องที่แข่งขันเปรียบเทียบกันก็ย่อมต้องเป็นด้านวิชาการแพทย์เป็นธรรมดา
ถ้าอยู่ในตระกูลเซี่ย คุณบอกว่ามีเงินทองมากมายเท่าไหร่ มีธุรกิจใหญ่โตมากมายขนาดไหน ก็รังแต่จะทำให้คนอื่นเขาหัวเราะเยาะทั้งนั้นเอง
ในตระกูลใหญ่การแพทย์แผนจีนที่มีประวัติสืบทอดกันมายาวนานอย่างตระกูลเซี่ยเช่นนี้สิ่งที่พวกเขาให้ความสำคัญมากที่สุด ก็มีเพียงแต่วิชาการแพทย์เท่านั้น
โดยเฉพาะนายท่านเซี่ยชีเจว๋ ที่มุ่งมั่นแต่จะฟื้นฟูตระกูลเซี่ยให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น ถ้าอยากจะคิด ฟื้นฟูความรุ่งเรืองให้กับตระกูลเซี่ยละก็ มีแต่จะต้องยกระดับความรู้ทางด้านการแพทย์ให้สูงขึ้นเท่านั้น
ดังนั้น ลูกหลานพวกนี้ ได้เตรียมของขวัญวันเกิดให้กับนายท่าน ส่วนมากแล้วก็ล้วนเป็นสิ่งของที่เกี่ยวกับวิชาการแพทย์ทั้งนั้น
“พี่สาม ได้ข่าวว่าเพื่อเตรียมของขวัญวันเกิดให้กับนายท่านแล้ว พี่ถึงกับไปที่หุบเขาหนอนที่เตียนหนานด้วยตัวเองเลย แล้วได้ของดีอะไรกลับมาบ้างล่ะ?” ผู้ชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์ ถามพลางมองไปยังชายวัยกลางคนอีกคนที่รูปร่างผอมสูงชะลูด
“อย่าเพิ่งพูดไป ฉันได้ของดีวิเศษมาชิ้นหนึ่งจริงๆด้วย นายท่านจะต้องชอบแน่นอนเลย” ผู้ชายที่ผอมสูงสีหน้าที่ภาคภูมิใจพูดด้วยรอยยิ้ม