ฉับ!
เสียงดังขึ้นอย่างชัดเจนและรวดเร็วอย่างมาก
ชุดเกราะบนร่างของผู้เข้าแข่งขันชาวอเมริกาสองคนนั้น รวมไปถึงทั่วทั้งร่างกาย ได้ถูกฟันขาดออกเป็นสองท่อน
พลังที่แข็งแกร่งทางเทคโนโลยีนั้นขึ้นอยู่กับว่า ต่อให้ผู้ใช้มีพลังความสามารถที่อ่อนด้อยเพียงใด เพียงแค่ชุดเกราะมีความแข็งแกร่งทนทานมากเพียงพอ พลังใด ๆ ก็ตามก็จะไม่สามารถทำร้ายอะไรพวกเขาได้
แต่ว่า เมื่อการป้องกันของชุดเกราะได้ถูกทำลายลง ถ้าอย่างนั้นแม้แต่โอกาสที่พวกเขาจะบีบยันต์หยกให้แตกก็คงจะไม่มีแล้ว
“ดาบเฮ่าเทียนที่ปลดปล่อยพลังอานุภาพออกมาทั้งหมด ช่างแข็งแกร่งไร้เทียมทานจริง ๆ! ”
หลินหยุนเดินก้าวเข้ามา และได้ค้นพบแก้วหินจำนวนสิบกว่าลูกในร่างกายของเขาทั้งสองคน
“ทำไมน้อยขนาดนี้”
มองไปยังสองคนที่ตายลงอย่างไม่เต็มใจ หลินหยุนจึงได้บีบยันต์หยกในร่างของเขาทั้งสองคนจนแตกละเอียด
ด้านนอก ผู้รับผิดชอบชาวอเมริกาที่เฝ้าอยู่ด้านข้างของช่องทางพิเศษ ได้ตะโกนเสียงดังอย่าง น่าสะพรึงกลัวขึ้น
การที่นำส่งร่างศพออกมาแบบนี้ ซึ่งนับตั้งแต่ที่มีสนามล่าเจ็ดเผ่าเป็นต้นมานั้น ถือว่าปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรก
ผู้รับผิดชอบชาวอเมริการู้สึกว่าหน้าตาร้อนผ่าว
ที่จริงแล้ว ภายในชุดเกราะเครื่องกลทั้งสองชุดนี้ ยังมีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทรงพลังอยู่อีกมาก และยังมีวิธีการรักษาชีวิตที่หลากหลาย ซึ่งถ้าหากผู้เข้าแข่งขันชาวอเมริกาทั้งสองคนไม่ประมาท ถึงแม้จะไม่สามารถเอาชนะหลินหยุนได้ ก็ยังสามารถที่จะหลบหนีเอาชีวิตรอดได้
แน่นอนว่า ถ้าหากหลินหยุนต้องการที่จะจัดการพวกเขาจริง ๆ ก็คงไม่มีใครที่จะสามารถหลบหนีรอดพ้นไปได้
ในฐานะที่เป็นกษัตริย์เซียน ซึ่งไพ่เด็ดใบสุดท้ายของหลินหยุนนั้น เหนือจินตนาการของคนธรรมดาทั่วไปอย่างมาก
หลินหยุนมุ่งหน้าต่อไป สนามล่าเจ็ดเผ่ามีทั้งหมดสามวัน เมื่อถึงกำหนดเวลายันต์หยกก็จะแตกละเอียดเอง แล้วการแข่งขันสนามล่าเจ็ดเผ่าก็จะสิ้นสุดลง
หลินหยุนต้องการที่จะล่าสัตว์ประหลาดให้ได้จำนวนมากเท่าที่จะทำได้ แม้ว่าเขาจะไม่ได้ให้คำมั่นสัญญาต่อหงซานเหอว่าจะเอาชนะให้ได้ แต่ว่า ในเมื่อหลินหยุนตัดสินใจที่จะเข้าร่วมแข่งขันสนามล่าเจ็ดเผ่าแล้ว อย่างไรก็ต้องได้อันดับหนึ่งมาครองอย่างแน่นอน
“ความสามารถของสองคนนี้ สามารถที่จะต่อสู้กับปรมาจารย์ระดับใหญ่ได้เลย โดยเวลาที่นานขนาดนี้แล้ว ทั้งสองคนเพิ่งจะล่าแก้วหินได้แค่สิบกว่าเม็ด มันช่างช้าเหลือเกิน”
แก้วหินที่ตัวของหลินหยุน มีจำนวนทะลุเกินเลขสามหลักไปนานแล้ว และส่วนใหญ่ก็เป็นระดับสูงด้วย ถ้าหากนับคำนวณแล้ว เกรงว่าน่าจะมีจำนวนหลายร้อย
ส่วนผู้เข้าแข่งขันชาวอเมริกาสองคนรวมกัน เพิ่งจะสิบกว่าเม็ด ไม่แปลกใจที่ว่าทำไมหลินหยุนจึง ดูถูกว่ามีจำนวนน้อย
ที่จริงแล้วหลินหยุนก็ไม่ชัดเจน ซึ่งสัตว์ประหลาดที่ผู้เข้าแข่งขันชาวอเมริกาสองคนนี้ได้ล่านั้น ถือว่ามีจำนวนที่มากแล้ว
โดยทั่วไปในตอนที่ทุกชาตินั้นได้ทำการล่าเสร็จสิ้นลง แก้วหินของสัตว์ประหลาดที่ทั้งห้าคนสามารถล่าได้รวมกันนั้น ก็ยากที่จะมีจำนวนถึงเลขสามหลัก
หลินหยุนสามารถล่าได้จำนวนมากขนาดนี้ เพราะว่าเขามีความเร็วเหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไป อีกทั้งยังมีพลังความสามารถที่กล้าแกร่ง
ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับผู้เข้าแข่งขันคนอื่นแล้ว มีประสิทธิภาพที่รวดเร็วกว่าหลายเท่านัก
หลินหยุนยังคงมุ่งหน้าต่อไป เพื่อค้นหาสัตว์ประหลาด
เวลานี้ ที่ประเทศจีน ท่ามกลางตระกูลหวางแห่งเมืองหลวง
หวางเจ๋อได้รับฟังคำรายงานจากลูกน้อง ในที่สุดก็ยิ้มแย้มขึ้นอย่างดีอกดีใจ
“เทพกระบี่ ในที่สุดก็ออกมาจากการบำเพ็ญฝึกฝนแล้ว! ”
เทพกระบี่เยนหนานเทียน
ชื่อนี้ เคยเป็นถึงธงสัญลักษณ์ที่ยิ่งใหญ่ในโลกบู๊ของจีน โดยเป็นที่หนึ่งในโลกบู๊ของจีนอย่างสมเกียรติสมศักดิ์ศรี
ในตารางการจัดอันดับปรมาจารย์ของอันดับหอพันกล ชื่อของเทพกระบี่เยนหนานเทียน ก็เคยขึ้นติดอันดับหนึ่งในช่วงเวลาหนึ่งมาแล้วด้วย
แต่ว่า หลังจากที่เยนหนานเทียนเก็บตัวบำเพ็ญฝึกฝนนั้น ตำนานนี้ก็ค่อย ๆ ถูกคนหลงลืมกันไป
จนกระทั่งภายหลัง เทพแห่งสงครามเจียงร่อโจ๋ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น จึงได้ทดแทนชื่อเสียงของเทพกระบี่ กลายเป็นธงสัญลักษณ์ที่ยิ่งใหญ่ในโลกบู๊ของจีน
แต่ว่า ในยุคสมัยนั้น ที่เคยเป็นของเทพกระบี่เยนหนานเทียน และเทพแห่งทวนโล่อู๋จี๋ พวกคนชราอาวุโสในโลกบู๊ตอนนั้น ไม่เคยมีใครที่จะหลงลืม
ในยุคสมัยนั้น พวกอาวุธที่หลากหลายในโลกบู๊ มีช่วงหนึ่งที่เหลือเพียงแค่กระบี่และทวน
ในความเป็นจริงแล้ว แม้แต่เทพแห่งทวนโล่อู๋จี๋ ก็ถือกำเนิดขึ้นหลังจากที่เทพกระบี่เยนหนานเทียนเก็บตัวบำเพ็ญฝึกฝนไปแล้วห้าปี
ถ้าหากเยนหนานเทียนไม่เก็บตัวบำเพ็ญฝึกฝน สมญานามเทพแห่งทวนนี้จะมีหรือไม่มีนั้น ก็ยังไม่อาจทราบได้
วันนี้ เทพกระบี่ในยุคอดีต ที่ได้เก็บตัวบำเพ็ญฝึกฝนมานานสามสิบกว่าปีนั้น ได้ออกมาจากการ บำเพ็ญฝึกฝนแล้ว
โลกบู๊จีน จะเกิดปรากฏการณ์อะไรขึ้นอีก?
เมืองหลวง คฤหาสน์ประธานาธิบดีจีน
สมาชิกของหน่วยมังกร หลงอี ยืนอยู่ด้านข้างอย่างสงบเงียบ โดยเพิ่งจะรายงานเรื่องราวของเยนหนานเทียนเสร็จสิ้น
ประธานาธิบดีจีนมีสีหน้าท่าทางที่เคร่งขรึม
ทั้งตระกูลเยน แทบจะถูกหลินหยุนสังหารไปจนหมดแล้ว แม้แต่ข้ารับใช้ดูแลกระบี่มาอย่างยาวนานของเยนหนานเทียน ก็ถูกหลินหยุนสังหารเช่นกัน
ครั้งนี้เยนหนานเทียนออกจากการบำเพ็ญฝึกฝน คิดต้องการจะทำอะไร เหมือนกับว่าไม่พูดก็คงจะทราบกันดี
หลงอีเคยเห็นประธานาธิบดีจีนเคร่งขรึมขนาดนี้น้อยครั้งมาก ต่อให้สหรัฐอเมริกาจะประกาศศึกสงครามการค้าระหว่าประเทศ ประธานาธิบดีจีนเองก็ยังพูดไปพลางยิ้มไปพลาง
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ประธานาธิบดีจีนได้แสดงอาการที่เคร่งขรึมมากขนาดนี้
แต่ในครั้งนี้ เยนหนานเทียนออกจากการบำเพ็ญฝึกฝน กลับถึงขนาดต้องทำให้ประธานาธิบดีจีนแสดงอาการที่เคร่งขรึมขนาดนี้ขึ้นอีกครั้ง
หลงอีลองสอบถามขึ้น: “หากไม่ได้จริง ๆ ก็ให้เจียงร่อโจ๋ไปขัดขวางเขาเอาไว้! ”
ประธานาธิบดีจีนส่ายศีรษะ: “เจียงร่อโจ๋เฝ้าอารักขาประตูของประเทศจีน ห้ามเคลื่อนไหวไปไหนโดยเด็ดขาด”
“อีกทั้ง ต่อให้เป็นเจียงร่อโจ๋ ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของเยนหนานเทียนได้”
หลงอีตกใจขึ้นทันที: “เทพกระบี่เยนหนานเทียนเก่งกาจมากขนาดนั้นเชียวเหรอ? ”
“เก็บตัวบำเพ็ญฝึกฝนมาสามสิบกว่าปี ลำพังแค่อาศัยความเด็ดเดี่ยวนี้ บนโลกนี้จะหาใครมาเปรียบเทียบได้? ” ประธานาธิบดีจีนถอนหายใจอย่างใจหาย ผู้ที่มีทิฐิหัวแข็งแบบนี้ ช่างน่ากลัวที่สุด
เพราะว่า เวลาที่พวกเขาคิดจะทำอะไรแล้ว มีน้อยคนมากที่จะสามารถหยุดล้มเลิกความคิดของพวกเขาได้
ถ้าหากเขาคิดที่จะไปแก้แค้นกับหลินหยุน กลัวว่าผู้ใดก็ไม่สามารถที่จะขัดขวางได้
เดิมทีคิดว่ารอให้เยนหนานเทียนออกมาจากการบำเพ็ญฝึกฝน หลินหยุนเองก็คงเติบโตถึงระดับขั้นที่มีความแกร่งกล้าสามารถที่เพียงพอ นั่นก็คงจะไม่ต้องไปเกรงกลัวเยนหนานเทียน
แต่ คิดไม่ถึงว่าเยนหนานเทียนจะออกจากการบำเพ็ญฝึกฝนอย่างกะทันหัน อีกทั้งยังเลือกเวลาตอนที่หลินหยุนอยู่ในสนามล่าเจ็ดเผ่าอีกด้วย
ถ้าหากหลินหยุนต่อสู้เพื่อประเทศชาติในสนามล่าเจ็ดเผ่า แต่ทางการของจีนกลับไม่สามารถที่จะปกป้องญาติพี่น้องของเขาได้ รอเมื่อหลินหยุนกลับออกมาจะมีหน้าไปพบกับเขาได้อย่างไร?
หลงอีขมวดคิ้วและพูดขึ้นว่า: “แต่ว่า ถ้าหากไม่ให้เจียงร่อโจ๋ออกหน้า ผู้ใดจะมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะไปเจรจากับอดีตเทพกระบี่ได้ล่ะ? ”
ประธานาธิบดีจีนสายตาลึกซึ้ง ไตร่ตรองสักครู่หนึ่ง และพูดว่า: “ให้หวางจิงหลงไปสิ! ”
“อะไรนะ! ”
หลงอีตกตะลึงอย่างมาก แสดงสีหน้าท่าทางที่ไม่อยากจะเชื่อ
หวางจิงหลงคือเจ้าบ้านของตระกูลหวางที่เป็นวงศ์ตระกูลที่ยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งในสี่วงศ์ตระกูลยิ่งใหญ่แห่งเมืองหลวง เดิมทีเขาก็มีตำแหน่งหน้าที่สำคัญอยู่ในทางการของจีน ซึ่งเบื้องหลังของเขายังเป็นตัวแทนของอิทธิพลอำนาจที่น่ากลัวเหล่านั้นด้วย
แต่ว่า หากจะอาศัยหวางจิงหลงเป็นตัวแทนของสี่วงศ์ตระกูลยิ่งใหญ่แห่งเมืองหลวง ที่มีการต่อสู้ทั้งต่อหน้าและลับหลังต่อประธานาธิบดีจีนมาโดยตลอด ซึ่งพวกเขาเป็นตัวแทนของผลประโยชน์ทางอิทธิพลอำนาจที่น่ากลัวเหล่านั้น
ถ้าหากให้หวางจิงหลงออกหน้า บางทีอาจจะสามารถหยุดยั้งขัดขวางเยนหนานเทียนได้ แต่ว่า หากเป็นเช่นนี้ ก็เท่ากับว่าประธานาธิบดีจีนได้ยอมก้มศีรษะลงต่อหวางจิงหลง
ระดับสถานะที่สูงส่งอย่างประธานาธิบดีจีน จะยอมรับความอับอายนี้ได้อย่างไรกัน?
“ประธานาธิบดีจีน หากไม่ได้จริง ๆ ก็ให้ข้าพาคนไปจัดการเถอะ! ท่านไม่จำเป็นที่จะต้องก้มศีรษะต่อหวางจิงหลง” หลงอีพูดขึ้นอย่างเจ็บใจเล็กน้อย
ประธานาธิบดีจีนยิ้มและพูดว่า: “ต่างก็เป็นชาวจีน จะเป็นการก้มศีรษะอะไรไม่มีทั้งนั้น อีกทั้ง หากนายไปแล้วสามารถที่จะพูดเกลี้ยกล่อมเยนหนานเทียนได้ไหม? ”
หลงอีก้มหน้าลง รู้สึกท้อแท้ใจอยู่บ้าง: “ไม่ได้”
“สามารถที่จะทำให้เยนหยานเทียนหวาดกลัวบ้าง อาจจะเหลือเพียงแค่อิทธิพลอำนาจในพื้นที่แล้วก็เป็นได้” ประธานาธิบดีจีนพูดขึ้นอย่างจำใจ
“แต่ว่า……” หลงอีต้องการที่จะพูดอะไรอีก แต่กลับถูกประธานาธิบดีพูดแทรกขึ้น: “ไม่ต้องแต่ว่าอะไรอีกแล้ว ไปจัดการเถอะ! ”
หลงอีจำใจ กัดฟันอดกลั้น: “รับทราบ! ”
แล้วก็หันหลังเดินจากไป
เมืองหลวง ตระกูลหวาง
หวางเจ๋อมองไปที่หวางจิงหลงที่มีสีหน้าท่าทางเย็นชา โค้งคำนับและถามขึ้นว่า: “คุณปู่ ท่านจะไปพบกับเยนหนานเทียนใช่ไหม? ท่านทราบดีว่า ข้าได้วางหมากนี้เอาไว้นานมากแล้ว! ”
หวางจิงหลงมองไปที่เขาเล็กน้อย ใบหน้าแสดงท่าทางดีใจออกมาเล็กน้อย: “วางหมากนี้ได้ดีมาก”
“แต่ว่า เขาคือกษัตริย์ ข้าคือขุนนาง เขาต้องการให้ข้าออกหน้า ข้าก็จำต้องไป”
หวางเจ๋อกังวลใจอยู่บ้าง: “แต่ว่า หากท่านไป แล้วเยนหนานเทียนยอมถอยร่นจะทำอย่างไร? โดยแผนการที่วางไว้มาเป็นเวลานานขนาดนี้ ก็จะสูญสิ้นไปโดยเปล่าประโยชน์”
หวางจิงหลงยิ้มเยาะเล็กน้อย: “หากว่าเยนหนานเทียนเกิดความหวาดกลัว อย่างนั้นเขาก็ไม่เทพกระบี่แล้ว! ”
“อีกทั้ง เทพกระบี่ที่มีความหวาดกลัว ต่อให้ไปหาไอ้หนุ่มน้อยนั่นก็ไม่เกิดประโยชน์ คงเป็นการเอาชีวิตไปทิ้งเสียเปล่า และยังเป็นการสร้างชื่อเสียงให้กับไอ้หนุ่มน้อยนั่นอีกด้วย! ”
หวางเจ๋อแสดงสีหน้าท่าทางที่กระจ่างเข้าใจขึ้นทันที: “ข้าเข้าใจแล้ว คุณปู่มองได้อย่างทะลุปรุโปร่งจริง ๆ ”