เสิ่นหลินพูดจบ ก็กวาดสายตามองไปรอบบริเวณงาน จากนั้นก็มองเห็นชายวัยกลางคนอายุ
ห้าสิบปี ที่มีรูปร่างอ้วนท้วมกว่าเขา โดยด้านข้างของชายวัยกลางคนผู้นี้ ก็มีหญิงสาวที่อายุเพียง
ยี่สิบต้น ๆ ยืนอยู่ด้วย
“ฮ่าฮ่า พานซ่วย! พี่ไป๋ พวกเราไปถามเขากันเถอะ! ” เสิ่นหลินสีหน้าท่าทางยิ้มแย้ม ชัดเจนว่า
เขาสนิทสนมกับชายคนนั้น
ไป๋จ่านถังตกใจ และถามขึ้นว่า: “นั่นคือประธานพานแห่งตงซานกรุ๊ปใช่ไหม? ”
“นอกจากเขาแล้ว ยังจะเป็นใครไปได้อีกล่ะ! ”
“ไปกันเถอะ! ”
เสิ่นเหยียนเดินพุงโย้อย่างรวดเร็ว เพื่อไปหาประธานพาน
ไป๋จ่านถังตามติดอยู่ด้านหลัง โดยทั้งสองคนก็ได้มาถึงที่ด้านข้างของประธานพาน
“พานซ่วย ไม่เจอกันนานเลย! ” เสิ่นหลินตบไปที่บ่าของประธานพานอย่างเป็นกันเอง พร้อมกับยิ้ม
และกล่าวทักทาย
ประธานพานเตรียมที่จะด่าออกไป แต่หันมาเห็นว่าเป็นเสิ่นหลิน จึงตื่นเต้นดีใจและพูดว่า: “ไอ้เสิ่น ทำไมถึงเป็นนายไปได้! ”
“ใช่แล้ว นายรู้จักกับเจ้านายของชางฉองกรุ๊ปด้วยเหรอ? รีบพูดให้ฉันฟังหน่อยสิว่าเจ้านาย
เบื้องหลังของชางฉองกรุ๊ปมีความเป็นมาอย่างไรกันแน่! ”
เสิ่นหลินตื่นตกใจ: “พานซ่วย ตกลงว่านายก็ไม่รู้จักกับเจ้านายของชางฉองกรุ๊ปอย่างนั้นเหรอ? ”
ประธานพานพูดขึ้นว่า: “ฉันได้รับบัตรเชิญเข้าร่วมพิธีเปิดกิจการของชางฉองกรุ๊ปอย่างสับสน
งุนงง จากนั้นฉันก็เกิดความอยากรู้อยากเห็น จึงได้มาร่วมงานเพื่อจะได้ทราบถึงข้อเท็จจริง”
เสิ่นเหยียนปรบมือขึ้น: “ประธานพาน พวกเราก็เช่นเดียวกันกับนาย! ฉันเองก็ไม่รู้จักเจ้านาย
เบื้องหลังของชางฉองกรุ๊ป เป็นเพราะได้รับบัตรเชิญ ดังนั้นจึงได้มาดูว่าชางฉองกรุ๊ปนี้ตกลงเป็น
ของบุคคลยิ่งใหญ่คนไหนกันแน่! ”
ประธานพานมองไปที่เสิ่นหลินด้วยความสงสัย: “ที่นายพูดคือความจริงงั้นเหรอ? ”
เสิ่นหลินได้ยกมือที่อ้วนท้วมขึ้น: “ฉันขอสาบานต่อสวรรค์เบื้องบน! ”
ประธานพานแสดงสีหน้าท่าทางเหยียดหยาม: “โธ่ นายสาบานก็เหมือนกับนายผายลม ฉันไม่เชื่อ
เด็ดขาด ใช่แล้ว คนที่อยู่ข้างนายผู้นี้คือใคร? ”
เสิ่นหลินรีบชี้ไปที่ไป๋จ่านถังพร้อมกับแนะนำว่า: “ตระกูลไป๋แห่งเจียงหนาน ไป๋จ่านถัง! ”
ประธานพานรีบยกมือแสดงความเคารพและพูดว่า: “พี่ไป๋ ขออภัยที่เสียมารยาท! ”
ไป๋จ่านถังก็ยกมือแสดงความเคารพตอบกลับ: “ประธานพานมีชื่อเสียงโด่งดัง ฉันไป๋จ่านถังนับถือ
เลื่อมใสมานาน! ”
เสิ่นหลินพูดขึ้นว่า: “พอได้แล้ว ทุกคนไม่ต้องเกรงกันกันแล้ว พี่ไป๋ ประธานพานไม่เชื่อในสิ่งที่ฉันพูด นายมาบอกเขาแทนแล้วกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น! ”
ไป๋จ่านถังมองไปที่ประธานพาน และพูดอย่างจริงจังว่า: “ที่พี่เสิ่นพูดนั้นล้วนแต่เป็นความจริง พวกเราเองก็ได้รับบัตรเชิญอย่างน่าประหลาดใจ จากนั้นจึงเกิดความอยากรู้อยากเห็น และได้มา ที่นี่เพื่อค้นหาคำตอบ! ”
ประธานพานพูดขึ้นอย่างตกตะลึงว่า: “ถ้าพูดแบบนี้ พวกนายก็ไม่รู้จักเจ้านายของชางฉองกรุ๊ป
ด้วยเหมือนกัน! ”
“ไปหาคนอื่นเพื่อสอบถามกันดูอีก! ”
จากนั้น ทั้งสามคนก็ได้แยกย้ายกันไปหาพวกคนที่ตนเองรู้จัก หลังจากที่สอบถามแล้ว คิดไม่ถึงว่า
ทุกคนต่างก็มาเพื่อร่วมงานสร้างบรรยากาศอันคึกคักเท่านั้น โดยที่ไม่มีใครรู้จักเจ้านายของชางฉองกรุ๊ปเลย
หลังจากที่สอบถามไปโดยรอบแล้ว พวกคนเหล่านี้ก็รวมตัวกันขึ้น และดุด่าว่ากล่าวชางฉองกรุ๊ป
กันยกใหญ่
ไป๋จ่านถังพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า: “ทุกท่าน ฉันคิดว่าเป็นไปได้ที่พวกเราทุกคนอาจจะถูกเจ้านาย
ของชางฉองกรุ๊ปหลอกใช้แล้ว! ”
เสิ่นหลินพยักหน้า หรี่ตาลงและพูดว่า: “ถูกต้อง เจ้านายของชางฉองกรุ๊ป บางทีอาจจะต้องการ
หลอกใช้ความอยากรู้อยากเห็นของพวกเรา เพื่อสร้างภาพลักษณ์และชื่อเสียงที่ดีให้กับตัวของ
เขาเอง! ”
“มิน่าล่ะที่ก่อนหน้านี้โฆษณาของชางฉองกรุ๊ปได้ประชาสัมพันธ์ไปทั่วทุกหนทุกแห่ง แต่กลับไม่มี
การเปิดเผยถึงข้อมูลรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับชางฉองกรุ๊ปเลยแม้แต่น้อย ที่จริงแล้วเจ้านายของ
ชางฉองกรุ๊ป กำลังใช้อุบายหลอกล่อให้ตายใจก่อนแล้วจึงลงมือจัดการ โดยใช้ความอยากรู้อยาก
เห็นของพวกเรา เป็นเครื่องชักจูงให้พวกเรามาที่นี่”
อีกคนหนึ่งพูดขึ้นว่า: “ฉันว่าชางฉองกรุ๊ปนี้ ก็คือบริษัทต้มตุ๋นหลอกลวง ไม่อย่างนั้นทุกคนก็
แยกย้ายกันไปดีกว่า ถึงจะอยู่ต่อไปก็คงไม่มีความหมายอะไร! ”
“พี่หลิวอย่าได้ร้อนใจไป ในเมื่อมาแล้ว ก็ดูกันต่อไปเถอะ! ”
และในเวลานี้ พิธีกรหญิงสาวสวยคนหนึ่ง ก็ได้เดินขึ้นไปบนเวทีที่อยู่เบื้องหน้า
พิธีกรมือถือไมโครโฟน และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะว่า: “ยินดีต้อนรับผู้มีเกียรติทุกท่านที่ได้
มาร่วมงานพิธีเปิดกิจการของชางฉองกรุ๊ป ในโอกาสนี้ ฉันในนามตัวแทนของชางฉองกรุ๊ป ขอขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมงาน! ”
เมื่อพิธีกรสาวสวยได้เริ่มพูดขึ้น สายตาของทุกคนต่างก็จ้องมองมาที่เธอกันหมดแล้ว
แต่ว่า ความอดทนของพวกคนเหล่านี้ใกล้ที่จะถึงขีดสูงสุดแล้ว ซึ่งเมื่อพิธีกรสาวสวยพูดจบ ก็ได้มีคนตะโกนพูดขึ้นเสียงดังว่า: “คุณคือใครในชางฉองกรุ๊ป? ”
พิธีกรสาวสวยยิ้มพร้อมกับอธิบายว่า: “ฉันไม่ใช่คนของชางฉองกรุ๊ป ฉันเป็นเพียงแค่พิธีกรที่
ชางฉองกรุ๊ปเชิญมาทำหน้าที่ในงานพิธีเปิดกิจการในครั้งนี้เท่านั้น! ”
“ฮึ ไม่ใช่คนของชางฉองกรุ๊ป! พวกเราไม่อยากที่จะฟังคุณพูดอะไรไร้สาระอยู่ที่นี่ รีบให้คนของ
ชางฉองกรุ๊ปออกมาพบเจอกับพวกเราเดี๋ยวนี้ เพื่อให้พวกเขาชี้แจงรายละเอียดให้กับพวกเรา! ”
“ใช่แล้ว ลงไป แล้วเรียกให้คนของชางฉองกรุ๊ปออกมา! ”
“รีบลงไปจากเวทีเดี๋ยวนี้ ถ้าหากคนของชางฉองกรุ๊ปยังไม่ยอมออกมา อย่างนั้นพวกเราก็จะ
กลับกันไปเดี๋ยวนี้! ”
“ลงไป แล้วให้คนหลอกลวงของชางฉองกรุ๊ปออกมาเดี๋ยวนี้! ”
ทุกคนที่อยู่ด้านล่างเวทีต่างก็พากันโกรธเคือง ซึ่งถ้าหากทุกคนไม่คำนึงถึงสถานะของตนเองแล้ว ก็คงจะเกิดการทะเลาะวิวาทถึงขั้นทุบทำลายโต๊ะไปแล้ว
พิธีกรสาวสวยมีสีหน้าท่าทางที่อึดอัด สถานการณ์แบบนี้ เธอจะสามารถเป็นพิธีกรต่อไปได้
อย่างไร?
“ทุกคนอย่าได้ใจร้อนกันไปก่อน เดี๋ยวฉันจะรีบไปตามผู้รับผิดชอบของชางฉองกรุ๊ปออกมาให้! ”
พูดจบ สาวสวยก็ถือกระโปรง แล้วรีบวิ่งเข้าไปด้านหลังเวทีทันที
“ฮึ ใช้พิธีกรมาเป็นตัวหลอกล่อพวกเรา ชางฉองกรุ๊ปนี้มันคิดว่าพวกเราเป็นอะไรกันแน่! ”
“เขาคิดว่าพวกเราต่างก็เป็นคนโง่อย่างนั้นเหรอ? พวกเขาถึงคิดจะมาหลอกลวงกันโดยง่ายดาย
แบบนี้! ”
“พี่หลี่พูดได้ถูกต้องเลย ถ้าหากครั้งนี้ผู้รับผิดชอบของชางฉองกรุ๊ปยังไม่สามารถอธิบายให้พวกเรา
พึงพอใจได้ พวกเราก็จะทำลายพิธีเปิดกิจการของเขา! ”
“ตกลง เขากล้าที่จะล้อเล่นกับพวกเราแบบนี้ พวกเราก็จะสร้างความวุ่นวายให้กับพิธีเปิดกิจการ
ของเขา ทำให้ค่าการโฆษณาประชาสัมพันธ์ของพวกเขานั้น ต้องสูญเปล่าไปโดยไร้ประโยชน์! ”
“ถูกต้อง ถ้าหากทำลายพิธีเปิดกิจการของพวกเขาลงได้ ชางฉองกรุ๊ปนั้นก็คงจะกลายเป็นตัวตลก
ในวงการธุรกิจอย่างที่สุดแน่นอน! ”
ในขณะที่ทุกคนกำลังจะเคลื่อนไหวทำเรื่องโง่ ๆ โดยได้ปรึกษากันอยู่ว่าจะสร้างความวุ่นวายต่อพิธีเปิดกิจการของชางฉองกรุ๊ปอย่างไรดีนั้น ซูจื่อเหลียงก็ค่อย ๆ เดินออกมาจากด้านหลังของเวที
โดยซูจื่อเหลียงได้กวาดสายตามองไปยังทุกคนที่อยู่ด้านล่าง ด้วยสีหน้าท่าทางที่หม่นหมอง
“ฉันก็คือผู้รับผิดชอบของชางฉองกรุ๊ป ได้ยินว่าพวกคุณกำลังตามหาฉันอยู่?” ซูจื่อเหลียงพูดขึ้น
ด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา พร้อมกับจ้องมองไปยังทุกคนด้วยสายตาที่เยือกเย็น
ในตอนนี้ซูจื่อเหลียงเป็นยอดฝีมือที่ได้ก้าวเข้าสู่ขั้นแดนดั่งเทพไปครึ่งหนึ่งแล้ว อีกทั้งเขาเองก็ไม่ได้
ตั้งใจที่จะเก็บกดลมหายใจของเขาเอาไว้ ดังนั้น ลมหายใจที่ออกมาจากร่างกายของซูจื่อเหลียง ก็มากพอที่จะทำให้คนธรรมทั่วไป เกิดความหวาดกลัวขึ้นในจิตใจ
เมื่อซูจื่อเหลียงปรากฏตัวขึ้น ทุกคนที่อยู่ด้านล่าง ต่างก็เงียบสงบลงในทันที ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ
ผ่านไปชั่วครู่ จึงได้มีคนพูดกระซิบกันขึ้น: “เขา เขาคือนักบู๊! ”
จิตใจของทุกคนต่างก็เกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดีขึ้น โดยคิดไม่ถึงว่าผู้รับผิดชอบของชางฉองกรุ๊ป จะเป็นนักบู๊ไปได้
นอกจากนี้ ลมหายใจที่ออกมาจากร่างกายของเขา คงน่าจะเป็นนักบู๊ที่มีพลังความสามารถ
ไม่ธรรมดาอีกด้วย
ถึงขนาดที่ว่าอาจจะเป็นปรมาจารย์นักบู๊ก็เป็นได้
ปรมาจารย์นักบู๊ระดับนี้เชิญตนเองมาร่วมงาน ตกลงคิดที่จะทำอะไรกันแน่?
ทุกคนก็ทราบกันดีอยู่ในใจแล้ว ถึงขนาดมีบางคน ที่กำลังแอบเคลื่อนไหวไปยังประตูทางออก เพื่อเตรียมที่จะหลบหนีเอาตัวรอด
มองเห็นทุกคนอยู่ในสภาพที่เงียบสงบ ซูจื่อเหลียงก็ทำเป็นยิ้มเยาะดูถูกขึ้น: “ทำไมไม่พูดไม่จากัน
แล้วล่ะ? ”
“เมื่อครู่ยังเห็นอยู่ว่ากำลังพูดคุยกันอย่างคึกครื้นไม่ใช่เหรอ? และยังคิดที่จะสร้างความวุ่นวายใน พิธีเปิดกิจการของชางฉองกรุ๊ปด้วย แต่ทำไมตอนนี้ถึงไม่พูดไม่จากันแล้วล่ะ? ”
“ความกล้าหาญของพวกคุณ ไปอยู่ที่ไหนหมดแล้ว? ”
น้ำเสียงของซูจื่อเหลียง มีความเหยียดหยามเป็นอย่างมาก แต่ว่า พวกบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ที่คุ้นเคย
กับการวางมาดโอ้อวดเป็นปกตินั้น กลับไม่มีใครกล้าที่จะพูดจาออกมาเลย
แม้ว่าคนเหล่านี้จะหลงระเริง แต่การที่สามารถขวนขวายจนมีสถานะในทุกวันนี้ได้ ทุกคนต่างก็
ไม่ใช่คนโง่ ล้วนแต่ฉลาดหลักแหลมกันทั้งหมด
พวกเขาไม่มีทางที่จะไปพูดจาด้วยหลักเหตุผลกับนักบู๊เด็ดขาด นอกเสียจากว่าไม่อยากจะมีชีวิต อยู่อย่างยืนยาว
แต่ว่า มีตระกูลหวางคอยเป็นผู้สนับสนุนพักพิงอยู่เบื้องหลัง คนเหล่านี้ก็ไม่ใช่ว่าจะเกรงกลัว
ซูจื่อเหลียงเลยซะทีเดียว
นักบู๊เก่งกาจยอดเยี่ยม แต่ ก็ต้องอยู่ภายใต้การปกครองควบคุมของทางการจีน
อีกทั้งตระกูลหวางที่มีสถานะเป็นหนึ่งในวงศ์ตระกูลใหญ่ทั้งสี่ของจีน เกรงว่าก็คงจะมีนักบู๊
อยู่ไม่น้อยเช่นกัน
ไป๋จ่านถังมองไปที่ซูจื่อเหลียง แล้วถามขึ้นอย่างแปลกประหลาดว่า: “ในเมื่อคุณคือผู้รับผิดชอบของชางฉองกรุ๊ป อย่างนั้นสามารถพูดได้ไหมว่า ที่ส่งบัตรเชิญให้กับ
พวกเรานั้น มีความหมายว่าอย่างไร? ”