คู่ปราบเก่าคนหนึ่งของบริษัท ตงหวาง กรุ๊ป เหยียนชิงหัว เจ้าของบริษัทเหยียนซื่อกรุ๊ปมองดูหวางซูเฟิน ด้วยสีหน้าเหยียดหยามแล้วพูดว่า “หวางซูเฟิน คุณชายหวางมีความหวังดี ฉันขอเตือนคุณอย่าได้ขัดขืนไปเลย”
“บริษัท ตงหวาง กรุ๊ปตอนนี้มาถึงทางตันแล้ว นี่เป็นเพราะว่าคุณชายหวางและหวางโส่วเหรินเห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีต จึงได้ให้โอกาสคุณในการแก้ตัวใหม่ ถ้าหากเปลี่ยนเป็นฉันละก็ วันนี้คงไม่มาพูดเรื่องไร้สาระอยู่ที่นี่หรอก!”
“สำหรับสามีเฮงซวยของคุณคนนั้น ดิ้นรนมาตั้งหลายปีแล้ว ถึงกับยังเป็นแค่ระดับรอง ตำบลเท่านั้นเอง ผู้ชายแบบนี้คุณเอาเขาไว้มีประโยชน์อะไร?”
“ขอเพียงให้คุณกลับไปตระกูลหวาง ด้วยชื่อเสียงของตระกูลหวาง คนที่อยากแต่งงานกับคุณยังมีอีกเยอะแยะมากมาย แม้แต่คุณอยากได้เด็กเอ๊าะๆไว้ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้นะ!”
“ใช่แล้ว ยังมีลูกชายคนนั้นของคุณ ปรมาจารย์หลินบ้าบออะไรนั่น ชื่อเสียงโด่งดังมากเลยสิ เดิมทียังคิดว่าจะแน่ขนาดไหน ตอนนี้บริษัทของแม่แท้ๆตัวเองกำลังจะล้มละลายอยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาเลย”
“มีคำพูดอะไรนะที่เขาพูดกัน พ่อเป็นวีรบุรุษลูกก็ย่อมเป็นผู้กล้า พ่อเป็นสุนัขข้างถนนลูกก็ต้องเป็นสุนัขขี้เรื้อน มีผัวเฮงซวยอย่างแก ก็ต้องมีลูกชายใจเสาะอย่างแก!”
หวางซูเฟินสีหน้าขาวซีด โกรธจนหน้ามืดแทบจะเป็นลม
คำพูดของเหยียนชิงหัวนี้มันช่างโหดร้ายจริงๆ
“ต่ำทรามไร้ยางอาย!” ฉินหลันทำตาเขม็งใส่ แล้วตะคอกใส่เหยียนชิงหัวด้วยความโกรธ จากนั้นก็รีบไปพยุงหวางซูเฟินไว้ แล้วถามด้วยความเป็นห่วงว่า “ผู้อำนวยการ คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ?”
หวางซูเฟินส่ายหน้าเล็กน้อย พยายามอดกลั้นความโกรธไว้ แล้วพูดด้วยเสียงเบาๆว่า “ฉันไม่ได้เป็นอะไรหรอก!”
หลังจากนั้น หวางซูเฟินจ้องหน้าหวางโส่วเหริน เนื้อตัวสั่นไปหมดแล้วตะคอกเสียงเบาว่า:“นี่ก็คือทางออกที่นายเหลือไว้ให้ฉันเดินสิ!”
หวางโส่วเหรินพูดด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก: “ประธานเหยียนเป็นคนนอก คำพูดการกระทำของเขาฉันไม่มีสิทธิ์ก้าวก่าย นี่อาจจะเป็นเพราะเหตุผลที่ว่า ผู้ชมย่อมจะเห็นความชัดเจนมากกว่าผู้เล่นล่ะมั้ง!”
คำพูดของหวางโส่วเหรินเช่นนี้ มีความหมายชัดเจน ก็คือฉันไม่ก้าวก่ายเขา คนเขาก็พูดถูกต้องแล้ว
“นาย…….” หวางซูเฟินชี้หน้าหวางโส่วเหริน โกรธจนพูดอะไรไม่ออก
ความพ่ายแพ้มันไม่ได้น่ากลัวเลย ต่อให้ไม่เหลืออะไรแล้ว ก็ยังสามารถอยู่กับคนในครอบครัวได้ หวางซูเฟินไม่ถือโทษโกรธใครทั้งนั้น
แต่ว่า ในฐานะตระกูลหวาง ถึงกับปล่อยให้ลูกน้องของตัวเองมาดูถูกหยามเกียรติเธอได้ถึงเพียงนี้ ยิ่งไปกว่านั้นหวางโส่วเหรินกับเธออย่างน้อยก็เคยผูกพันเป็นพี่น้องกันมานานหลายสิบปี ทำให้หวางซูเฟินยากที่จะยอมรับได้จริงๆ
เหยียนชิงหัวก็ย่อมเข้าใจความหมายในคำพูดของหวางโส่วเหรินอย่างแน่นอน นี่เห็นได้ชัดว่ากำลังสนับสนุนเขาอยู่!
คราวนี้ เหยียนชิงหัวก็ยิ่งได้ใจ ยิ่งเหิมเกริมมากขึ้น
“หวางซูเฟิน คำพูดของฉันก็คงจี้จุดใจดำคุณแล้วสินะ! ดูไปแล้วคุณก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้ตัวตัวเองเลยนี่? ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว งั้นก็รีบตกลงเงื่อนไขของคุณหวางดีกว่านะ จะได้ไม่ ทำให้ตัวเองต้องตกต่ำไปกว่านี้!”
“แกหุบปาก!” หวางซูเฟินตะคอกเสียงดังด้วยความโกรธ “ถ้ายังกล้าพูดซี้ซั้วอีก ฉันจะฉีกปากแกให้เละเลย!”
เหยียนชิงหัวหัวเราะเสียงดัง: “ยังไงเหรอ? อับอายจนโกรธแล้ว คิดจะลงมือล่ะสิ!”
“มาๆมาเลย ฉันยอมให้ผู้อำนวยการหวางตบหน้าฉันเลย!”
พูดพลางเหยียนชิงหัวก็เหมือนพวกอันธพาล ยื่นหน้าเข้าไปท้าทายให้หวางซูเฟินลงมือ
หวางซูเฟินโกรธจนหายใจแรงขึ้น แต่กลับได้แต่ถอยหลังไป ถ้าทำร้ายคนก็ผิดกฎหมาย ตระกูลหวางก็ต้องฉวยโอกาสนี้มาโจมตีเธออย่างแน่นอน
เหยียนชิงหัวรู้อยู่แล้วว่าหวางซูเฟินไม่กล้าทำร้ายเขาแน่ ดังนั้นเขาจึงกล้ายื่นหน้าตัวเองเข้าไปให้ตบ
เมื่อเห็นหวางซูเฟินเดินถอยหลังไป เหยียนชิงหัวก็ยิ่งสะใจเหิมเกริมมากขึ้น “ตบเลย ตบฉันเลยสิ ผู้อำนวยการหวาง!”
“คุณแน่จริงก็ตบเลยสิ!”
ทันใดนั้นก็มีเงามืดแวบผ่านเข้ามา
หลังจากนั้น ก็ได้ยินเสียงตบดังลั่นหนึ่งที!
เพลี้ย!
เหยียนชิงหัวยังไม่ทันได้ตั้งตัวเลย ก็ถูกตบกระเด็นลอยออกไป
ระหว่างนั้น เหยียนชิงหัวก็กระอักเลือดออกมา พร้อมทั้งฟันในปากหลายซี่ก็หลุดกระเด็นปนมากับเลือดด้วย
หลินหยุนในชุดเสื้อดำ มายืนขวางอยู่ตรงหน้าหวางซูเฟินอย่างเงียบๆ จ้องมองหวางโส่วเหรินด้วยสีหน้าเยือกเย็น: “ดูแลสุนัขบ้านพวกคุณให้ดีด้วย!”
“เสี่ยวหยุน!” หวางซูเฟินตะโกนเสียงร้องออกมา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความยินดี
ฉินหลันก็ยิ้มออกมา ในขณะเดียวกันก็รู้สึกโล่งอก “เสี่ยวหยุน ในที่สุดคุณก็มาแล้ว!”
สีหน้าไร้ความรู้สึกของหวางโส่วเหริน ในที่สุดก็ปรากฏความรู้สึกสะทกสะท้านออกมาบ้างแล้ว
เขาหรี่ตาแล้วจ้องมองหลินหยุนอย่างเงียบๆ พูดด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า “แกกล้าทำร้ายคนเหรอ?”
หลินหยุนมองดูเขา ด้วยสายตาเรียบเฉย “ถ้าเขายังกล้ามาลบหลู่แม่ครับของฉันอีกละก็ ฉันก็จะฆ่าเขา”
น้ำเสียงของหลินหยุนเรียบเฉยมาก ก็เหมือนกับการพูดคุยเล่นตามปกติ แต่ว่าเนื้อหาในการพูดเล่น มันค่อนข้างสยดสยองไปหน่อย
แต่ว่ากลับไม่มีใครกล้าสงสัยความจริงเท็จในคำพูดของเขาเลย ทุกคนต่างก็เชื่อว่า ขอเพียงให้เหยียนชิงหัวกล้าลบหลู่หวางซูเฟินอีกคำเดียว หลินหยุนก็จะต้องลงมือฆ่าเขาอย่างแน่นอน
หวางโส่วเหรินนิ่งเงียบไป พอหลินหยุนมาถึง ก็ข่มขวัญฝ่ายของตระกูลหวางทันที
ถึงแม้ว่าหลินหยุนจะตบเหยียนชิงหัวก็จริง แต่ว่า นี่ก็ยังไม่นับว่าเป็นเรื่องอะไรใหญ่โตนัก
ปรมาจารย์นักบู๊คนหนึ่ง ทำร้ายคนธรรมดาทั่วไปคนหนึ่ง เหตุผลแค่นี้ยังไม่สามารถทำให้ ทางการรัฐบาลจีนยกกองทัพทหารมาถล่มเขาได้อย่างแน่นอน
นอกเสียจากหลินหยุนเข้ามาถึงก็สังหารเหยียนชิงหัวเลย เช่นนี้แล้วก็อาจจะเป็นช่องโหว่พอที่จะให้ตระกูลหวางใช้เป็นข้ออ้างได้
แต่ว่า ขณะที่หลินหยุนลงมือนั้นก็รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา เพียงแค่สั่งสอนเหยียนชิงหัวไปเท่านั้นเอง ไม่ใช่ลงมือสังหารเขาเสียทีเดียว
จะเห็นได้ว่า หลินหยุนก็ไม่ใช่เป็นคนวู่วามไร้มันสมอง ที่ได้แต่อาศัยพละกำลังอย่างเดียวพวกนั้น
ผู้คนทั้งหลายที่ยืนอยู่ข้างหลังหวางโส่วเหริน ซึมซับถึงพลังในตัวของหลินหยุนที่เปล่งออกมา ถึงกับถอยหลังไปหลายก้าวอย่างไม่รู้ตัว
มีแต่หวางโส่วเหรินและหวางเซิ่งเฉียนสองเท่านั้น ที่ยังคงยืนอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน
ขณะนี้เอง จึงปรากฏสถานการณ์อย่างหนึ่งขึ้นมา คือมีแต่หลินหยุนเพียงคนเดียวฝ่ายหนึ่งเผชิญหน้ากับหวางโส่วเหรินและหวางเซิ่งเฉียนอีกฝ่ายหนึ่ง
สีหน้าของหวางโส่วเหรินแลดูน่าเกลียดมาก เขารู้ว่า ถึงแม้ต่างฝ่ายต่างก็เพิ่งมาพบหน้ากันก็ตาม แต่การประลองครั้งแรกนี้ พวกเขาก็ได้พ่ายแพ้ไปแล้ว
ลำพังแค่หลินหยุนคนเดียวมายืนอยู่ฝ่ายตรงข้าม ก็สามารถกดดันให้คนตั้งมากมายของฝ่ายตระกูลหวางเงยหัวไม่ขึ้นแล้ว
เหยียนชิงหัวคลานขึ้นมาจากพื้น ใบหน้าครึ่งซีกก็บวมเป่งขึ้นมาราวกับหัวสุกร
ตอนนี้สมองยังมึนตึ๊บอยู่เลย
เขาเดินเข้าไปด้วยสีหน้าโกรธจัด ชี้หน้าหลินหยุนแล้วด่าตะคอกว่า “ไอ้เด็กเวร แกกล้าตบฉันเหรอ ฉันจะฆ่าแก!”
เพราะว่าฟันของเหยียนชิงหัวหลุดออกไปหลายซี่แล้ว ตอนเวลาพูดก็รั่วลมจึงพูดไม่ชัด
เหยียนชิงหัวยังไม่เคยเห็นหน้าหลินหยุนมาก่อน ไม่รู้ว่าหลินหยุนก็คือปรมาจารย์หลิน จึงชูหมัดขึ้นแล้วพุ่งไปหาหลินหยุน
แต่ว่ากลับถูกหวางโส่วเหรินห้ามไว้ก่อน
เหยียนชิงหัวถามด้วยความสงสัยว่า “คุณหวาง ทำไมคุณถึงมาห้ามฉันไว้ล่ะ? หรือว่าเจ้าเด็กนี่เป็นญาติตระกูลคุณเหรอ?
หวางโส่วเหรินทำตาถลนใส่เขา พูดด้วยเสียงเข้มว่า “เขาก็คือปรมาจารย์หลิน”
เหยียนชิงหัวก็พยายามจะดิ้นรนออกจากแขนของหวางโส่วเหริน แล้วกำลังจะเดินขึ้นไป ในปากก็ด่าด้วยเสียงอู้อี้ว่า “ฉันไม่สนหรอกว่าเขาจะเป็นปรมาจารย์หลินบ้าบออะไร ถ้ากล้ามาตบฉัน ฉันก็จะต้องฆ่าเขาให้ตายคามือไปเลย!”
หวางโส่วเหรินจึงวางแขนตัวเองลง ไม่ไปขัดขวางอีก “ได้ งั้นคุณก็ไปสิ!”
สายตาทุกคนในที่นั้น มองไปยังเหยียนชิงหัว ราวกับว่ากำลังมองดูตัวตลกอยู่
เมื่อได้ยินว่าหวางโส่วเหรินถึงกับยอมให้ตัวเองไปง่ายๆเช่นนี้ เหยียนชิงหัวก็รู้สึกอึ้งไปทันที
“รอเดี๋ยว เมื่อกี้คุณพูดว่าเขาเป็นใครนะ?”
หวางโส่วเหรินมองหน้าเขาอย่างไม่แยแส ขี้เกียจจะไปตอบ
เหยียนชิงหัวพูดอย่างเหลือเชื่อว่า “คุณบอกว่าเขาก็คือปรมาจารย์หลินเหรอ?”
หวางโส่วเหรินพยักหน้า
เหยียนชิงหัวกลืนกลืนน้ำลายเฮือก ชั่วพริบตาเดียว ทั่วทั้งแผ่นหลังก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ แล้ว
หวางโส่วเหรินมองดูเขาด้วยสายตาเย็นชา แล้วถามอย่างเรียบๆว่า “แล้วยังจะฆ่าอีกมั๊ย?”
สายตาที่เหยียนชิงหัวมองดูหลินหยุนนั้น ราวกับว่าเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดโบราณที่กินคนเข้าไปทั้งตัวจนไม่เหลือกระดูกเลย
เหยียนชิงหัวถอยหลังไปทีละก้าวทีละก้าว พูดพึมพำกับตัวเองว่า “ไม่ ไม่ฆ่าแล้ว”
หวางโส่วเหรินมองดูเหยียนชิงหัวด้วยสีหน้าเหยียดหยาม สำหรับบทบาทตัวละครเช่นนี้ เดิมทีเขาก็ไม่ได้หวังจะให้ช่วยอะไรมากอยู่แล้ว ก็เพียงแค่ใช้โจมตีหวางซูเฟินเท่านั้นเอง
อย่างน้อย คำพูดของพวกคนไร้ยางอายพวกนี้ ไม่ใช่ว่าใครๆก็จะสามารถทำได้ ทุกคนต่างก็มีหน้ามีตาอยู่ในสังคมชั้นสูง ต่างก็กลัวขายหน้ากันทั้งนั้น
หวางโส่วเหรินมองดูหลินหยุน แล้วพูดเยาะเย้ยด้วยสีหน้าดูถูกว่า “แกมาแล้ว จะทำอะไรได้ล่ะ คิดจะฆ่าพวกเราให้ตายหมดเลยเหรอไง?”