เงาร่างของหลินหยุนตกลงมาจากฟากฟ้า ขาข้างหนึ่งเหยียบลงไปบนยอดสูงสุดของชี่แท้คุ้มกายที่ทุกคนร่วมกันผนึกออกมาจากค่ายกลมหาปัทมานั้น
เมื่อมองมาจากทางไกลแล้ว ก็จะเห็นภาพที่หลินหยุนมือทั้งสองไขว้หลังไว้ แล้วยืนอยู่กลางอากาศด้วยขาเพียงข้างเดียว
โป๊ง!
ชี่แท้คุ้มกายที่ทุกคนร่วมกันผนึกขึ้นมานั้น ในที่สุดก็ไม่สามารถยืนหยัดต่อไปได้อีกแล้ว จนเกิดระเบิดพังทลายลง
เงาร่างของหลินหยุนก็ค่อยๆตกลงมายังพื้นดิน ทำให้แผ่นหินที่แข็งแกร่งนั้นถูกเหยียบจนแตกละเอียดเป็นผุยผง
ส่วนผู้อาวุโสทั้งเก้าและลูกศิษย์ทั้งหลายของตระกูลเซินที่ล้อมรอบเขาอยู่นั้น ต่างก็ล้มลงระเนระนาดแล้วนั่งอยู่กับพื้น มุมปากก็ยังมีเลือดซึมออกมาอีกด้วย
หลังจากที่ถูกโจมตีถึงสี่ครั้งจากหลินหยุนแล้ว ค่ายกลมหาปัทมาที่ได้ชื่อว่าสามารถสังหารเทพปราบเซียนได้นั้น ก็พังทลายลงอย่างสิ้นเชิง!
เซินถูสีหน้าขาวซีดไม่มีสีเลือด ในปากก็บ่นพึมพำไม่หยุดว่า “ไม่ เป็นไปไม่ได้ นี่เป็นไปได้ยังไง!”
“นี่เป็นถึงค่ายกลที่ตระกูลเซินเราสืบทอดกันมาหลายสิบปีเลยทีเดียว เป็นไปได้ยังไงที่ถูกพลังรุนแรงเช่นนี้พังทลายไปได้!”
เซินถูไม่มีทางที่จะยอมรับผลที่เกิดขึ้นตรงหน้าได้เลย
เจียงย่านหรงเกิดอาการช็อกจนใช้มือปิดปากไว้ “เขา ถึงกับสามารถทำลายค่ายกลมหาปัทมาของตระกูลเซินไปได้!”
“โอ้สวรรค์! พละกำลังของเขาเป็นยังไงกันแน่!”
หลินหยุนหันหน้ามามองเซินถู แล้วก้าวเดินเข้าไปหาทีละก้าวๆ
เซินถูรับรู้ได้ถึงจิตสังหารที่เยือกเย็น ในใจก็รู้สึกสะดุ้งทันที มองไปยังหลินหยุนอย่างหวาดกลัว แล้วค่อยๆเดินถอยหลังไป
ตอนนี้ ค่ายกลมหาปัทมาที่เขาหวังจะพึ่งพิงมากที่สุดนั้น ก็ได้ถูกทำลายไปแล้ว
ตอนนี้เขาก็เหมือนลูกแกะที่กำลังรอเชือดตัวหนึ่ง
เจียงย่านหรงจู่ๆก็ไปยืนขวางตรงหน้าหลินหยุนทันที พูดขอร้องว่า “อย่าฆ่าเขาเลยนะ!”
หลินหยุนหยุดก้าวเดิน แล้วมองไปยังเจียงย่านหรงอย่างเรียบเฉย “ทำไมเหรอ?”
“ตระกูลเจียงฉันกับตระกูลเซินมีความสัมพันธ์ฉันพี่น้องมานาน ฉันไม่อาจจะทนดูเขาต้องตายต่อหน้าโดยไม่ช่วยอะไรเลย” เจียงย่านหรงพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หลินหยุนพูดอย่างเรียบๆว่า “แล้วคุณช่วยเขาได้ไหมล่ะ?”
เจียงย่านหรงพูดอย่างยืนหยัดว่า “ต่อให้ช่วยไม่ได้ ฉันก็ยอมสู้ตาย”
หลินหยุนไม่พูดอะไรอีก มองดูเจียงย่านหรงอย่างเงียบๆ
เจียงย่านหรงรู้สึกว่าตัวเองเหมือนถูกสัตว์ประหลาดกินคนตัวหนึ่งกำลังจ้องมองอยู่ ราวกับว่า พร้อมที่จะมีอันตรายถึงชีวิตได้ตลอดเวลา
ในไม่ช้า หน้าผากที่มันเงาใสสะอาดของเจียงย่านหรง ก็มีเหงื่อไหลซึมออกมา
ในที่สุดหลินหยุนก็ไม่ได้ลงมือ
ไม่ว่าจะเป็นเพราะก่อนหน้านั้นเจียงย่านหรงเคยช่วยขอชีวิตตัวเองก็ดี หรือเป็นเพราะว่าได้รับความช่วยเหลือในงานประลองสัญญาตอนนั้นก็ตาม หลินหยุนก็ต้องเห็นแก่หน้าเธอบ้าง
สายตาของหลินหยุน ค่อยๆเคลื่อนจากร่างของเจียงย่านหรง แล้วมองไปยังเซินถูที่สีหน้าหวาดกลัว
“ปล่อยคนออกมา แล้วจะไว้ชีวิตแก”
เซินถูแอบถอนหายใจ แล้วตอบตกลงว่า “ได้!”
เซินถูก็เดินไปด้านหลังของคฤหาสน์นั้นด้วยตัวเอง
เจียงย่านหรงก็ถอนหายใจเฮือก รู้สึกเหมือนว่าเรี่ยวแรงในตัวเองถูกดูดออกไปจนหมดแล้ว มองดูหลินหยุนแล้วพูดอย่างหมดแรงว่า “ขอบคุณค่ะ!”
“ไม่ต้องเกรงใจ” หลินหยุนมองเธอแวบเดียว “ฉันไม่ได้เป็นหนี้บุญคุณคุณอีกแล้วนะ”
เจียงย่านหรงรู้สึกอึ้งเล็กน้อย ที่แท้เขาก็ยังจำได้มาโดยตลอด
แต่ว่าในใจของเจียงย่านหรง จู่ๆก็รู้สึกหดหู่เล็กน้อย
ในที่สุด เซินถูก็พาหลินโร่หลันออกมา
หลินโร่หลันนอกจากสีหน้าที่ซีดเสียวแล้ว ก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร ดูเหมือนว่าตระกูลเซินไม่ได้ทำร้ายเธอ
ตอนที่เห็นหลินหยุนนั้น สายตาของหลินโร่หลันก็แสดงความรู้สึกที่เหนือความคาดหมายออกมา
“ฉันคิดไม่ถึงว่า คุณจะมาช่วยฉัน” หลินโร่หลันมองดูหลินหยุนด้วยสายตาเศร้าหมอง พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนล้า
หลินหยุนมองเธอแวบเดียว แล้วพูดอย่างเรียบๆว่า “เพราะว่าคุณแซ่หลิน”
“ไปกันเถอะ!”
พอพูดจบ หลินหยุนก็เดินไปข้างนอก
หลินซื่อเฉิงก็เดินเข้าไป มองดูหลินโร่หลันด้วยสีหน้าเอ็นดู พูดด้วยเสียงอบอุ่นว่า “พวกเขารังแกหลานหรือเปล่า?”
“คุณปู่วางใจเถอะ พวกเขาไม่ได้ทำอะไรหลานเลยค่ะ” หลินโร่หลันพูดแล้วโค้งคำนับ
“ขอบคุณคุณปู่ที่มาช่วยหลานด้วยตัวเองค่ะ”
หลินซื่อเฉิงพูดด้วยเสียงหัวเราะว่า “เจ้าเด็กโง่เอ้ย ยังจะมาพูดขอบคุณกับปู่อีก!”
“ไป พวกเรากลับบ้านกัน!”
“อึม” หลินโร่หลันก็เดินตามหลังหลินซื่อเฉิงอย่างสงบเรียบร้อย เพียงแต่ว่าดวงตาที่สับสนวุ่นวายคู่นั้นของเธอ ยังคงจ้องมองไปยังเงาร่างที่ผอมบางนั้น
หลังจากที่คนตระกูลหลินจากไปแล้ว เซินถูก็กลับสู่สภาพความเป็นผู้นำเจ้าบ้าน “หลานเจียง วันนี้ต้องขอขอบคุณหลานจริงๆเลย!”
เจียงย่านหรงพูดอย่างเกรงใจว่า “คุณอาเกรงใจไปแล้วค่ะ”
“คุณอาทีหลังอย่าไปยุ่งกับตระกูลหลินอีกเลย หลานรู้สึกว่าพละกำลังของเขาน่ากลัวมากจริงๆ!”
สายตาเซินถูส่องประกายความเคียดแค้น แต่ว่าไม่ได้แสดงอะไรออกมา
“หลานเจียงวางใจเถอะ ต่อไปอาก็จะไม่ไปรังควานเขาอีกแล้ว”
เจียงย่านหรงพยักหน้า “งั้นหลานขอตัวลาไปก่อนนะคะ”
“ฝากความระลึกถึงพ่อของหลานด้วยนะ” เซินถูพูด
“ค่ะ”
หลังจากที่เจียงย่านหรงกลับไปแล้ว ผู้อาวุโสทั้งหลายของตระกูลเซินก็รวมตัวกันมายืนอยู่ข้างกายเซินถู
ผู้อาวุโสใหญ่พูดด้วยสีหน้าหวาดผวาว่า “เจ้าบ้านครับ เจ้าเด็กนั่นเกิดมาจากท้องมานที่ไหนกันแน่? ถึงกับทำลายค่ายกลมหาปัทมาของพวกเราได้โดยลำพังคนเดียว!”
เซินถูพูดว่า “ถ้าฉันเดาไม่ผิดละก็ สถานะของเจ้าเด็กนี่ น่าจะเป็นอันดับหนึ่งในผังลำดับเทพ หลิงชางฉอง!”
อาวุโสรองหัวเราะเยาะแล้วพูดว่า “ผังการจัดลำดับเทพรวบรวมแต่เฉพาะยอดฝีมือที่กล้าแสดงออกพวกนั้นเท่านั้น มียอดฝีมือแดนเทพที่ปลีกตัวออกจากสังคมอีกมากมายก็ไม่ได้คิดรวมเข้าไปด้วย”
“ยิ่งไปกว่านั้นโลกบู๊โบราณพวกเรา ก็ไม่เคยได้นับรวมอยู่ในผังลำดับเทพเลย ดังนั้น ผังลำดับเทพจึงไม่ได้มาตรฐานอะไรเลย”
ผู้อาวุโสสามพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า “แต่ว่า พละกำลังของเจ้าเด็กนั่น มันแข็งแกร่งมากจริงๆ!”
เซินถูสีหน้าบูดบึ้ง “สามารถทำลายค่ายกลมหาปัทมาของพวกเราได้ พลังความสามารถเช่นนี้แม้แต่ในโลกบู๊โบราณตอนนี้ ก็ยังต้องถือว่าเป็นระดับสุดยอดแล้ว”
“แต่ว่า ไม่ใช่ว่าไม่มีใครที่จะจัดการเขาได้ ห้าสำนักใหญ่ในโลกบู๊โบราณจะต้องมีคนที่สามารถปราบเขาให้อยู่หมดได้”
“ยิ่งไปกว่านั้น ที่สูงขึ้นไปอีกก็ยังมีสี่ผู้ตั้งมั่นรักษาอีกด้วย นั่นจึงจะนับว่าเป็นเสาหลักของโลกบู๊โบราณที่แท้จริง”
อาวุโสทั้งหลายต่างก็พยักหน้า สี่ผู้ตั้งมั่นรักษา นั่นคือที่สุดของโลกบู๊โบราณที่ยังคงมีอยู่ เป็นเพราะพวกเขาที่สามารถปกป้องดูแลความเป็นระเบียบวินัยของโลกบู๊โบราณมาโดยตลอด
เซินถูพูดเยาะเย้ยว่า “ต่อให้หลินชางฉองนั้นจะเก่งกาจมากกว่านี้ ถ้าเพียงแค่คุกคามไปถึงโลกบู๊โบราณละก็ สี่ผู้ตั้งมั่นรักษาก็จะต้องออกหน้าอย่างแน่นอน”
“ตอนนี้ เขาอาศัยแค่พลังของตัวเองคนเดียว มาหยามเกียรติตระกูลเซินเรา ก็ถือว่าได้คุกคามถึงโลกบู๊โบราณแล้ว”
ผู้อาวุโสใหญ่อึ้งไปสักครู่ มองไปยังเซินถูด้วยสีหน้าตกใจ แล้วพูดอย่างสงสัยว่า “ความหมายของเจ้าบ้านก็คือ……”
สายตาของเซินถูก็ส่องประกายความเคียดแค้นออกมา “พวกเรารีบกลับไปยังโลกบู๊โบราณก่อน แล้วฉันจะไปหาสี่ผู้ตั้งมั่นรักษาด้วยตัวฉันเอง ให้พวกเขามาจัดการกับหลินชางฉอง”
“แต่ว่า เจ้าบ้านไม่ใช่รับปากกับคุณหนูเจียงแล้วหรือ ว่าจะไม่ไปเป็นศัตรูกับหลินชางฉองอีกไม่ใช่เหรอ?” ผู้อาวุโสรองถาม
เซินถูพูดเยาะเย้ยว่า “เด็กๆคิดอะไรมักใช้แต่อารมณ์เป็นเครื่องตัดสิน ฉันเชื่อว่าตระกูลเจียงจะต้องสนับสนุนการกระทำของฉันอย่างแน่นอน”
……
บริเวณลานบ้านตระกูลหวางในเมืองหลวง
ภายในห้องของหวางเซิ่งเฉียน
หวางเจ๋อยืนอยู่ข้างๆหวางเซิ่งเฉียน มองดูหวางเซิ่งเฉียนที่กำลังหรี่ตาลิ้มลองรสชาติขององุ่นพวงหนึ่งที่ส่งมาจากทางเหนือของซินเจียง
“คุณชายตระกูลหงคนนั้น ได้รับข่าวแล้ว ก็รีบกลับมาจากอเมริกาเลย”
“ถ้าไม่มีอะไรเหนือคาดหมายละก็ เขาคงลงมือกับอีหลิงไปแล้ว” หวางเจ๋อพูดอย่างเรียบเฉย
หวางเซิ่งเฉียนก็มัวแต่กินองุ่นของตัวเอง ปากก็ทำเสียงจับๆแล้วพูดว่า “องุ่นพวกนี้อร่อยจริงๆเลยนะ!”
“นายได้แต่มอง แต่ไม่ได้กิน รู้สึกไม่ค่อยพอใจใช่ไหมล่ะ?”
สีหน้าหวางเจ๋อไร้ความรู้สึก และไม่ได้ตอบคำถาม
หวางเซิ่งเฉียนสีหน้าเจ้าเล่ห์ แล้วพูดต่อไปว่า “ในเมื่อไม่พอใจ งั้นทำไมไม่มาแย่งไปล่ะ!”
หวางเจ๋อก็มองเขาแวบเดียว แล้วพูดว่า “ต่อให้คุณชายตระกูลหงกล้าจะไปแย่งชิง คนของตระกูลหงก็จะต้องขัดขวางไว้อย่างแน่นอน”
“ตอนนี้ชื่อเสียงของปรมาจารย์หลินดังทั่วประเทศจีนไปแล้ว นายท่านตระกูลหงคนนั้น ก็คงไม่โง่พอที่จะไปหาเรื่องกับตัวซวยนั้นอย่างแน่นอน”
หวางเซิ่งเฉียนหัวเราะ แล้วถามว่า “นายรู้ไหมว่าทำไมฉันจึงอยากให้ตระกูลหงลงมือล่ะ?”
ด้วยไอคิวของหวางเจ๋อ ย่อมไม่ต้องให้หวางเซิ่งเฉียนอธิบายเลย “เพราะว่านายท่านตระกูลหงคนนั้น มีฐานะใหญ่โตในกองทัพทหารจีน”
“และยังเพราะว่าเบื้องหลังของตระกูลหง มีตระกูลจ้าวที่เป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่อยู่อีกด้วย”
“นายคิดจะให้ตระกูลจ้าวออกหน้ามาทดสอบพละกำลังของเขาว่าถึงระดับไหนแล้วกันแน่”
หวางเซิ่งเฉียนกลืนองุ่นที่เนื้อใสลูกหนึ่งเข้าไป แล้วยกหัวนิ้วโป้งให้กับหวางเจ๋อ “นายคิดได้รอบคอบมาก พวกนี้ก็นับว่าเป็นเหตุผลเพียงบางส่วนเท่านั้นเอง แต่ยังไม่ใช่เหตุผลที่สำคัญที่สุด