จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ – บทที่ 953 พัฒนาตน จัดระเบียบครอบครัว ปกครองประเทศ เพื่อความสงบสุขของประชนชน

บทที่ 953 พัฒนาตน จัดระเบียบครอบครัว ปกครองประเทศ เพื่อความสงบสุขของประชนชน

หงซิงกั๋วมีสีหน้าอาฆาตพยาบาท : “ไอ้หนุ่ม เก่งแต่ปากมันไม่มีประโยชน์หรอกนะ วันนี้ ฉันจะใช้เลือดของแก มาสังเวยหลานชายของฉันที่ตายไป!”

หลินหยุนกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วเอ่ยถาม : “เทพสงครามล่ะ?”

หงซิงกั๋วแสยะยิ้ม : “มาตั้งนานแล้ว”

พูดจบ หงซิงกั๋วได้มองไปด้านหลัง ตรงนั้น มีชายวัยกลางคนสวมชุดทหารสีดำอยู่คนหนึ่ง กำลังนั่งขัดสมาธิพักผ่อนอยู่บนหินบลูสโตน

ผู้ชายคนนี้รูปร่างหน้าตาธรรมดามาก ถ้าหากปะปนอยู่ในกลุ่มคน ก็คือแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร

แต่ว่า ผู้ชายคนนี้ กลับให้ความรู้สึกเหมือนเคยพบเห็นมาก่อน แม้เพิ่งเคยพบเจอกันเป็นครั้งแรก แต่กลับรู้สึกเหมือนเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ที่พลัดพรากจากกันไปนานหลายปี

เป็นความรู้สึกที่ขัดแย้งกันมาก แต่กลับเป็นเกิดขึ้นกับคนคนหนึ่งอย่างน่าประหลาด

ดังนั้น เทพสงครามคนนี้ดูธรรมดามาก แต่ก็ดูพิเศษมากเช่นกัน

“เทพสงคราม?” หลินหยุนเอ่ยถามอย่างเรียบ ๆ

ฝ่าบาทคาร์นอตวิลเลียมที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยพูด : “ใช่แล้ว คนนั้นแหละ ตอนนั้นฉันเคยพบเขา ถึงแม้ตอนนี้เขาดูแก่ขึ้น แต่เค้าโครงหน้าตาไม่ได้ดูเปลี่ยนไป”

“ท่านเองก็ไม่เปลี่ยนไปเลย ฝ่าบาทคาร์นอตวิลเลียมผู้สูงส่ง ผ่านไปตั้งหลายปี ฉันแก่ลงแล้ว แต่ท่านกลับยังอ่อนเยาว์เช่นนี้” เจียงร่อโจ๋ลืมตาขึ้น แล้วเอ่ยอย่างช้า ๆ น้ำเสียงสงบนิ่ง เหมือนกับชายชราผู้ใจดี ไม่ดูน่าเกรงขามเหมือนกับสมญานามเทพสงครามที่เรียกกันเลย

หลินหยุนไม่รู้จักกับเจียงร่อโจ๋ ถึงแม้รู้ว่าท่านนี้เป็นเทพสงคราม คอยปกป้องประเทศจีนมาตลอด แต่กลับไม่เคยพบเจอกันมาก่อน

เดิมทีหลินหยุนรู้สึกยกย่องชื่นชมเขา เคารพเขามาตลอด ที่เขาสามารถปกป้องรักษาความสงบสุขให้กับประเทศจีนด้วยตัวเอง

แต่ว่า ตอนนี้เขากลับเลือกที่จะแก้แค้นแทนอาจารย์ของตัวเอง เพิกเฉยต่อการปกป้องประเทศชาติ ทำให้ความรู้สึกดี ๆ ที่หลินหยุนมีต่อเขา หายไปจนหมดสิ้น

หลินหยุนขี้เกียจทักทายเขา จึงพูดไปตรง ๆ ว่า : “ในเมื่อมาแล้ว งั้นก็เริ่มสู้กันเลย!”

เจียงร่อโจ๋มองหลินหยุน ไม่ได้ตอบรับในทันที แต่ผ่านไปหลายวินาที ถึงได้พยักหน้าพลางเอ่ยอย่างจริงจัง : “ได้!”

พูดจบ เจียงร่อโจ๋ได้ลุกขึ้น แล้วแตะไปที่ก้อนหินเบา ๆ จากนั้นได้พุ่งตัวเข้าไปหาหลินหยุน

เจียงร่อโจ๋ลงมายืนอยู่ตรงหน้าหลินหยุนราวห้าเมตร แล้วค่อย ๆ พูดว่า : “ได้ยินชื่อเสียงปรมาจารย์หลินมานาน คิดอยากจะเยี่ยมเยียนมาตลอด แต่น่าเสียดายที่หน้าที่ทางทหารรัดตัวจนไม่มีโอกาสได้พบกัน”

“วันนี้ได้ยินข่าวร้ายของหลานชายอาจารย์ จึงได้รับเชิญให้มาที่นี่ โชคดีได้สู้รบกับปรมาจารย์หลิน ชีวิตนี้ไม่มีอะไรต้องเสียดายอีกแล้ว!”

“เพียงแต่ว่า ก่อนเปิดศึก ฉันมีคำพูดอยากจะโน้มน้าว”

หลินหยุนเอ่ยอย่างราบเรียบ : “พูดมาเถอะ”

เจียงร่อโจ๋เอ่ยพูดด้วยสีหน้าจริงใจ : “ปรมาจารย์หลินบำเพ็ญเพียรได้อย่างน่าตะลึง ถ้าหากทำเพื่อประเทศชาติ คงถูกจารึกชื่อไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ ประชาชนยกย่องสรรเสริญ”

“แต่ว่า ทำไมปรมาจารย์หลินถึงฆ่าทายาทของวีรบุรุษอย่างเปิดเผย โดยไม่เกรงกลัวกฎหมายของประเทศจีนเลย”

“พฤติกรรมเช่นนี้เหมาะสมกับการบำเพ็ญเพียรของปรมาจารย์หลินงั้นเหรอ?”

หลินหยุนเอ่ยพูดอย่างเรียบ ๆ ว่า : “มันข่มเหงเพื่อนของฉัน ฉันฆ่ามันทิ้ง เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว”

“พวกแกมองแค่ฉันฆ่ามันตาย แต่พวกแกกลับไม่มีใครสนใจไยดีเด็กสาวที่บริสุทธิ์คนหนึ่ง?”

“ในสายตาของพวกแก มันเป็นทายาทของวีรบุรุษ เป็นหลานของผู้มีอำนาจ ฉะนั้น มันเลยตายไม่ได้”

“ส่วนเด็กสาวที่เกือบจะโดนมันย่ำยีจนเกือบฆ่าต้องฆ่าตัวตาย เป็นเพียงเด็กสาวธรรมดาคนหนึ่ง เลยสมควรถูกมันข่มเหงรังแก”

“แต่เธอผิดตรงไหนกัน!”

“พวกแกเอาแต่พูดเรื่องความเป็นธรรม แต่เมื่อมีอำนาจพิเศษอยู่ในมือ กลับไม่มีค่าอะไรเลย”

“นี่คือสิ่งที่พวกแกเรียกมันว่าความชอบธรรมงั้นเหรอ?”

“จากที่ฉันเห็น คนอย่างพวกแก มันยังเทียบไม่ได้กับคนชั่วฆ่าคนตายพวกนั้นด้วยซ้ำ อย่างน้อย พวกนั้นก็กล้าทำกล้ารับ ไม่ได้เอาความชอบธรรมมาบังหน้า ปิดบังจุดประสงค์ที่ตัวเองไม่สามารถบอกคนอื่นได้”

คำพูดทั้งหมดนี้ ทำเอาเจียงร่อโจ๋หน้าแดงก่ำ

เป็นความจริง ที่เขาเอาแต่พูดเรื่องความชอบธรรม พูดเรื่องภาพรวม แต่ว่า เขากลับมองข้ามไปเลยว่าเด็กสาวคนนั้นเป็นผู้ที่ถูกรังแก

ในความคิดเขา นั่นเป็นเพียงเด็กสาวธรรมดาคนหนึ่ง ที่เพื่อความสงบสุขของบ้านเมือง เพื่อผลประโยชน์ของคนส่วนมาก สามารถสละไปได้ทุกเมื่อ

นี่เป็นสิ่งที่ผู้มีอำนาจเหมือนอย่างเจียงร่อโจ๋หลายคนคิดเห็นตรงกัน

“นายพูดไม่ผิดเลย เด็กสาวคนนั้นไม่มีความผิดอะไร แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลที่นายจะใช้วรยุทธมาฆ่าคนได้ตามใจชอบ”

“ลูกหลานตระกูลหงทำผิด เขาก็ต้องได้รับโทษทางกฎหมายของจีนอยู่แล้ว ไม่ใช่นายเป็นคนตัดสินโทษ”

“อีกอย่าง ที่นายพูดว่าพวกฉันเทียบกับนักโทษเหล่านั้นไม่ได้ด้วยซ้ำ ฉันไม่เห็นด้วยกับคำพูดนี้”

“ในฐานะที่ฉันเป็นทหารระดับสูงของประเทศจีน รับผิดชอบป้องกันประเทศชาติ ไหล่ของฉันแบกความสงบสุขของประชาชนชาวจีนหลายร้อยล้านคนเอาไว้”

“พวกเขาเรียกฉันว่าเทพสงคราม ฉันจะต้องปกป้องพวกเขาให้อยู่ดีมีสุขตราบเท่าที่ฉันยังมีลมหายใจ!”

“หนทางที่ฉันเลือกเดิน ไม่ผิดหวัง ไม่เสียใจ และไม่หวั่นกลัว!”

เสียงของเจียงร่อโจ๋สงบนิ่งมาก แต่ว่า คำพูดที่พูดออกมากลับเหมือนกับคลื่นที่ซัดเข้าฝั่ง เสียงดังสนั่น แข็งกร้าวเหมือนก้อนหินริมชายฝั่ง

หลินหยุนหัวเราะเยาะออกมาทันที น้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความรู้สึกดูถูกเหยียดหยาม : “จีนมีคำโบราณกล่าวไว้ว่า ฝึกฝนพัฒนาตน จัดระเบียบครอบครัว ปกครองประเทศชาติ สร้างความสงบสุขให้แก่ประชาชน”

“ไม่เก็บกวาดในบ้านให้เรียบร้อย แล้วจะไปเก็บกวาดโลกนี้ได้อย่างไร?”

“แม้แต่ความยุติธรรมของเด็กสาวผู้อ่อนแอคนหนึ่ง แกยังไม่สามารถรักษาปกป้องไว้ได้ แล้วจะปกป้องประชาชนกับประเทศชาติได้ยังไง?”

“ตั้งแต่ที่แกมายืนอยู่ที่นี่ในตอนนี้ แกก็ไม่คู่ควรกับการเป็นเทพสงครามของประเทศจีนอีกแล้ว”

“เพราะว่า ความเห็นแก่ตัวของแก ทำให้แกหลงทางไปแล้ว”

“วันนี้ หากแกสามารถเสียสละเพื่อเด็กผู้หญิงผู้อ่อนแอคนหนึ่งได้ พรุ่งนี้ แกถึงจะสามารถเสียสละปกป้องดูแลประชาชนชาวจีนได้!”

เจียงร่อโจ๋สีหน้าบึ้งตึงมาก แต่กลับไม่สามารถโต้เถียงหลินหยุนได้เลย

เขามีหนทางเดินของเขา ในใจของเขายืนหยัดยึดมั่นในหนทางของตัวเอง

ฉะนั้น ถึงแม้เขาไม่สามารถโต้เถียงหลินหยุนได้ แต่เขาก็ไม่ได้เห็นด้วยความคิดของหลินหยุน

“อุดมการณ์ต่างกัน ก็ต่างคนต่างไป!” เจียงร่อโจ๋เอ่ยพูดอย่างเคร่งขรึม

“งั้นก็ใช้หมัดพูดแทนแล้วกัน!” หลินหยุนเอ่ยพูดอย่างเรียบ ๆ

หงซิงกั๋วและฝ่าบาทคาร์นอตวิลเลียม ถอยออกไปอยู่ด้านข้างอย่างรู้ตัว

ทุกคนที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ต่างมีสีหน้ากดดันเคร่งเครียด จ้องเขม็งไปที่สองคนนั้น

คนหนึ่งคือเทพสงครามผู้น่าเกรงขามที่มีชื่อเสียงในจีนมานานหลายปี

อีกคนหนึ่งคือปรมาจารย์หลินที่มีชื่อเสียงโด่งดังในช่วงนี้ เพราะฆ่าเทพกระบี่เยนหนานเทียน

เมื่อทั้งสองคนลงมือ ฟ้าดินคงจะสะเทือน

แต่ว่า ไม่ได้เป็นเหมือนอย่างที่ทุกคนคาดเดาไว้

เจียงร่อโจ๋ไม่ได้ลงมือในทันที หลินหยุนเองก็เช่นกัน

“ทุกคนเรียกฉันว่าเทพสงคราม ที่จริง เทพสงครามชื่อนี้ ไม่ได้เป็นเรื่องจริงเลย”

“เยนหนานเทียนได้เข้าสู่แดนเทพในตอนสุดท้าย แต่กลับพ่ายแพ้แก”

“จนถึงวันนี้ฉันยังคงไม่สามารถก้าวเข้าสู่แดนเทพได้ ดังนั้น ฉันรู้ดีว่า ฉันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของแก”

“แต่ว่า ฉันอยากเดิมพันดูสักครั้ง เดิมพันว่าฉันสามารถทำลายโซ่ตรวน ก้าวข้ามเข้าสู่แดนเทพในสนามรบครั้งนี้ได้หรือไม่”

หลินหยุนเอ่ยพูดอย่างราบเรียบ : “สมใจแกแน่นอน”

ได้ยินคำพูดของเจียงร่อโจ๋ ผู้คนที่อยู่โดยรอบต่างมีสีหน้าประหลาดใจ

“ยังไม่ทันเริ่มสู้ เทพสงครามก็ยอมแพ้แล้วเหรอเนี่ย!”

“ปรมาจารย์หลิน เก่งกาจขนาดนั้นจริง ๆ เหรอ?”

จ้าวโม่เย้นผู้นำตระกูลจ้าวขมวดคิ้ว : “เทพสงครามท่านนี้ ไม่เก่งเหมือนอย่างชื่อเสียงเลย!”

“จากที่ผมรู้จักหงซิงกั๋ว เขาไม่น่าจะเป็นคนประมาทขนาดนี้ อาศัยแค่เจียงร่อโจ๋ จะเอาชนะหลินหยุนได้เหรอ?”

“หงซิงกั๋ว มีไพ่ตายอะไรกันแน่?”

หวางจิงหลงมองไปที่กลางสนามด้วยสีหน้านิ่งเฉย : “ไม่รู้เหมือนกัน แต่หงซิงกั๋วต้องมีไพ่ตายแน่นอน”

ทุกคนต่างสังเกตสีหน้าของหงซิงกั๋ว พบว่าเมื่อได้ยินว่าเจียงร่อโจ๋ยอมแพ้แล้ว แต่หงซิงกั๋วยังคงมีสีหน้าเหมือนเดิม

แสดงให้เห็นว่า เขายังมีไพ่ตายอยู่

หงซานเหอสีหน้าถมึงทึงเคร่งเครียดจนแทบจะกลั่นหยดน้ำออกมาได้ โมโหจนถอนหายใจออกมาไม่หยุด : “เจ้าหลินหยุนบ้าไปแล้วคนหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าแม้แต่เจียงร่อโจ๋ก็บ้าตามไปด้วย”

“ถ้าหากแดนเทพมันก้าวข้ามผ่านไปได้ง่ายดายขนาดนั้น งั้นนักบู๊มากมายคงหาเรื่องชกต่อยกันทุกวันแล้วล่ะ”

“ถ้าหากเขาพ่ายแพ้ คนคนนั้นต้องลงมือแน่นอน นี่ไม่ใช่เป็นการเปิดเผยความแข็งแกร่งของฝ่ายรัฐบาลจีนให้คนนอกได้รู้หรอกเหรอ!”

จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์

จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์

Status: Ongoing

มหากษัตริย์ชางฉองหลินหยุนที่ปราบปรามสามโลกไถ่บาปไม่สำเร็จ เกิดใหม่กลับสู่โลกมนุษย์เป็นเขยแต่งเข้าบ้าน ชาติปางก่อน ได้เมียที่สวยเซ็กซี่ดูเป็นผู้ใหญ่กลับครอบครองไม่ได้ ชาตินี้ หลินหยุนจะทำยังไง……ชาติก่อน เขาเป็นคนไร้ความสามารถที่ใครๆต่างดูถูก ชาตินี้ เขาเป็นหมอเทพหลินในวงการแพทย์ ตาทิพย์หลินในวงการของโบราณ อาจารย์หลินในวงการฮวงจุ้ย และหลินชางฉองในวงการบู๊ เมื่อเขากลับมาสู่เทวโลกอีกครั้ง พบว่าเทวโลกมีการเปลี่ยนแปลง หลายคนที่กำลังไถ่บาปรวมตัวกัน พวกเขาจะทำได้ดั่งใจหวังหรือไม่

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท