ณ ปราสาทโบราณใต้ดินที่ใหญ่โตหลังหนึ่งในประเทศฝรั่งเศส
ปราสาทโบราณที่มืดครึ้มลึกลับทั้งหลัง มีแสงสีเขียวส่องสว่างอยู่ข้างกำแพง ทำให้บรรยากาศนั้นเต็มไปด้วยความลึกลับน่ากลัว
ภายในห้องโถงปราสาทโบราณนั้น ผู้หญิงในเสื้อชุดดำคลุมมิดทั้งตัวคนหนึ่ง ยื่นมือที่ที่เรียวยาวขาวซีดออกมา ลูบไล้ไปมาบนคริสทัลคทากายสิทธิ์ที่อยู่ตรงกลางแท่นบูชาทรงกลม
ภายในห้องโถงใหญ่ปราสาทโบราณหลังนั้น มีผู้ชายชุดดำที่แต่งตัวเหมือนกันสองคนคุกเข่าอยู่ตรงหน้า ในมือของผู้ชายทั้งสองนั้นถือรูปภาพของธารน้ำพุใบหนึ่ง
หญิงชุดดำนั้นดวงตาทั้งคู่ส่องประกายแสงสีเขียววาววับออกมา น้ำเสียงดุร้าย ทำให้รู้สึกชวนขนหัวลุก
“เจ็ดสิบปีแล้วนะ น้ำศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ปรากฏขึ้นบนโลกอีกครั้งหนึ่งแล้ว!”
“รูปร่างอันงดงามที่เต็มไปด้วยบาดแผลรูพรุนของฉันนั้น ในที่สุดก็มีโอกาสฟื้นคืนให้เหมือนเดิมอีกแล้ว”
“พวกคุณสองคน ไปรวบรวมยอดฝีมือแม่ม่ายดำทั้งหมด เตรียมตัวไปทุ่งน้ำแข็งตอนเหนือสุดพร้อมกับฉัน”
สองคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นนั้น ยกมือทั้งสองกอดอก แล้วพูดอย่างนอบน้อมว่า “รับทราบ!”
องค์กรนี้ก็คือองค์กรแม่ม่ายดำที่มีพลังอำนาจเทียบเท่ากับองค์กรศักดิ์สิทธิ์ และเป็นหนึ่งในพลังอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดในกาฬโลกด้วย
ในหน่วยกองทัพทหารประเทศรัสเซีย ผู้มีอำนาจระดับสูงในกองทัพคนหนึ่งกำลังจ้องมองรูปภาพในมือถือ
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ เขาพูดอย่างมั่นใจด้วยเสียงหนักแน่นว่า “ถูกต้องแล้ว เป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์!”
ลูกน้องคนหนึ่งรีบลุกขึ้นยืน แล้วพูดด้วยความตื่นเต้นว่า “ท่านครับ คราวที่แล้วน้ำศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้นที่ประเทศอังกฤษ ทำให้ประเทศอังกฤษสามารถขยายอาณาจักรไปทั่วโลกเป็นเวลานับร้อยปี มีอาณานิคมจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน”
“คราวนี้น้ำศักดิ์สิทธิ์ได้มาปรากฏขึ้นที่ประเทศรัสเซียพวกเรา ก็ควรจะถึงเวลาที่เป็นความรุ่งเรืองของพวกเราบ้างแล้ว”
“ผมขออนุญาตนำทีมไปยังทุ่งน้ำแข็งตอนเหนือสุด เพื่อเอาน้ำศักดิ์สิทธิ์คืนมาครับ!”
นายทหารคนนั้นก็พูดด้วยเสียงเข้มว่า “โรวัน ผมรู้สึกชื่นชมกับความกล้าหาญของคุณมากแต่ว่าทุกครั้งที่น้ำศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้น ก็จะต้องดึงดูดความสนใจจากทั่วโลกทั้งนั้น ถึงแม้ว่าประเทศพวกนั้นไม่กล้าแย่งชิงอย่างเปิดเผยเนื่องจากเกรงว่าจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศก็ตาม แต่ว่าก็จะต้องส่งพวกยอดฝีมือมาอย่างแน่นอน”
“ฉันได้ข่าวมาว่า พลังอำนาจในกาฬโลกทั้งหมด ตอนนี้กำลังเริ่มเคลื่อนไหวกันแล้ว”
“คราวนี้ ฉันจำเป็นจะต้องลงมือด้วยตัวเองซะแล้ว”
“แต่ว่า เพื่อป้องกันการผิดพลาดทั้งหมด ฉันยังอยากขอให้ท่านแม่ทัพช่วยฉันอีกแรงหนึ่ง”
นี่คือหน่วยรบพิเศษของประเทศรัสเซีย เป็นหน่วยงานหนึ่งที่จัดตั้งขึ้นจากพวกผู้บำเพ็ญพิเศษ ถึงแม้ว่าจะมีจำนวนคนไม่ถึงหนึ่งร้อยคนก็ตาม แต่ว่าก็สามารถสู้รบกับกองทัพแสนได้
ยอดฝีมือจากทั่วสารทิศก็ทยอยกันออกเดินทาง ถึงแม้ว่าประเทศพวกนั้นไม่กล้าแสดงออกว่าอยากได้น้ำศักดิ์สิทธิ์อย่างโจ่งแจ้งก็ตาม อย่างน้อยนี่คือของที่ปรากฏขึ้นในเขตแดนของประเทศรัสเซีย ก็ต้องเป็นสมบัติของประเทศรัสเซียอย่างแน่นอน
แต่ว่า ในที่ลับนั้นทุกคนต่างก็อยากจะได้ส่วนแบ่งกันทั้งนั้น
อย่างน้อยที่สุด สงครามเทพครั้งก่อนที่ผ่านมาหลายร้อยปีแล้วนั้น ถึงแม้ว่าประชาชนคนธรรมดาทั่วไปส่วนใหญ่จะลืมไปหมดแล้ว แต่ว่าผู้บริหารบ้านเมืองของแต่ละประเทศพวกนั้นก็ยังจำได้อย่างแม่นยำไม่รู้ลืม
สงครามเทพ คือสงครามระหว่างยอดฝีมือแดนเทพของแต่ละประเทศ
ในสงครามครั้งนั้น ประเทศอังกฤษเป็นฝ่ายได้ครอบครองน้ำศักดิ์สิทธิ์ ทำให้เพิ่มพูนพลังอาจอย่างมหาศาล จนสามารถเอาชนะประเทศอื่นๆได้ มีประเทศที่เป็นอาณานิคมจากทั่วโลกจำนวนมากมาย
ในการต่อสู้ครั้งนั้น ทำให้แต่ละประเทศได้เห็นความเก่งกาจของยอดฝีมือแดนเทพอย่างแท้จริง พวกอาวุธยุทโธปกรณ์ เครื่องบิน ปืนใหญ่พวกนั้นเมื่ออยู่ตรงหน้ายอดฝีมือแดนเทพแล้ว ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลยแม้แต่นิดเดียว
จนกระทั่งมีระเบิดนิวเคลียร์เกิดขึ้น จึงทำให้สถานการณ์พลิกผันไปโดยสิ้นเชิง
สำหรับยอดฝีมือแดนเทพพวกนั้น ผู้บริหารระดับประเทศพวกนั้นจึงได้มีอาวุธที่ใช้ข่มขู่คุกคามพวกเขาได้แล้วในที่สุด
สงครามที่โด่งดังที่สุดก็คือสงครามเชชเนีย ในประเทศรัสเซีย มียอดฝีมือแดนเทพหลายสิบคน สามารถกวาดล้างกองทัพรัสเซีย ทั้งรถถัง เครื่องบิน เครื่องบินทิ้งระเบิด หรือแม้แต่ขีปนาวุธ เมื่ออยู่ตรงหน้ายอดฝีมือแดนเทพที่ไปมาไร้ร่องรอยพวกนั้นแล้ว ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลยแม้แต่นิดเดียว
สุดท้ายแล้ว ผู้บริหารประเทศรัสเซียจึงจำเป็นจะต้องทิ้งอาวุธนิวเคลียร์จำนวนสิบลูกลงไปในเขตบริเวณสนามรบอย่างไม่มีทางเลือก
ฉากสงครามที่วินาศสันตะโรคราวนั้น ทำให้ยอดฝีมือแดนเทพทั้งหมด รวมทั้งกองทัพของประเทศรัสเซียเอง ถึงกับถูกระเบิดแหลกเป็นจุณสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน ภายใต้แรงระเบิดนิวเคลียร์จำนวนสิบลูกนั้น
สงครามครั้งนี้ สั่นสะเทือนไปทั่วโลก
หลังจากสงครามครั้งนี้แล้ว มียอดฝีมือแดนเทพจำนวนมากก็หายสาบสูญไปภายในชั่วค่ำคืนทันที
เพราะว่ายอดฝีมือแดนเทพพวกนี้ ได้เห็นถึงภัยพิบัติเช่นนี้แล้ว
เมื่ออยู่ตรงหน้าอาวุธสังหารร้ายแรงที่เต็มไปด้วยอำนาจทำลายล้างที่กว้างไกลเช่นนี้แล้ว ต่อให้เป็นยอดฝีมือแดนเทพก็ตาม ก็ไม่สามารถที่จะต้านทานได้เลยแม้แต่นิดเดียว
ถ้าหากยอดฝีมือแดนเทพยังคงอยู่ในโลกมนุษย์ต่อไปอีกละก็ จะต้องเผชิญกับการสังหารหมู่ของอาวุธนิวเคลียร์อย่างแน่นอน
นี่คือเหตุผลที่ธรรมดามาก ผู้ปกครองของแต่ละประเทศพวกนั้น ต่างก็ไม่ต้องการเห็นยอดฝีมือแดนเทพพวกนี้ที่คอยคุกคามข่มขู่อยู่ข้างกายเช่นนี้อย่างแน่นอน
ถ้าหากยอดฝีมือแดนเทพพวกนี้ยังไม่ยอมหลบซ่อนตัวอีกละก็ จะต้องถูกกวาดล้างอย่างใหญ่หลวงอีกครั้งอย่างแน่นอน
ดังนั้น ยอดฝีมือแดนเทพพวกนี้จำเป็นจะต้องยอมจำนนต่ออำนาจอิทธิพลของโลกมนุษย์ ยอมเป็นนักฆ่าที่ก้มหัวรับฟังคำสั่งอย่างเดียว
หรือไม่ก็ต้องไปหลบซ่อนตัวไว้ เพื่อไม่ให้คนพบเห็นพวกเขาได้
แต่ว่าการถอยร่นของยอดฝีมือแดนเทพ ไม่ได้หมายความว่าโลกมนุษย์ได้ลืมเขาไปจนหมดสิ้นไปแล้ว
พวกเขาเคยอยู่ในยุคสมัยที่รุ่งเรืองที่สุด ผู้ปกครองแต่ละประเทศต่างก็ไม่เคยลืมเลย
อาวุธนิวเคลียร์เป็นอาวุธสังหารชนิดร้ายแรง สามารถทำลายล้างข้าศึกนับพันแต่ตัวเองก็ต้องสูญเสียสูญเสียไปถึงแปดร้อย ฉะนั้นแล้วถ้าไม่ถึงภาวะจำยอมจริงๆแล้ว ก็ไม่มีใครยอมที่จะนำมาใช้เลย
ดังนั้น พลังอำนาจที่เหนือมนุษย์พวกนี้ ก็ยังคงเป็นเป้าหมายของผู้ปกครองประเทศทั้งหลาย ที่ยังคงมุ่งมั่นจะสนับสนุนส่งเสริมอย่างเต็มที่เช่นเดิม
โดยเฉพาะเป็นยอดฝีมือแดนเทพที่อยู่ในชุดเครื่องแบบติดอาวุธเต็มหนึ่ง สามารถเทียบเท่าอาวุธนิวเคลียร์ในร่างคนทีเดียว
สวนน้ำศักดิ์สิทธิ์นั้น ก็เคยได้ชื่อว่าเป็นสารเร่งในการบรรลุแดนเทพ
ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับความยากลำบากขนาดไหน แต่ละประเทศก็ไม่เคยละทิ้งในการที่จะไปแย่งชิงมา
วันรุ่งขึ้น พวกหลินหยุนทั้งสี่คน ก็พักแรมอยู่ที่โรงแรมแห่งหนึ่งของเมืองกอร์ล
ภายในห้องนั้น ทั้งสี่คนก็มารวมตัวกันเพื่อปรึกษาการปฏิบัติการในขั้นตอนต่อไป
ตางอู่หยิบแผนที่มาชุดหนึ่ง แล้วชี้ไปตรงที่มีสัญลักษณ์สีแดงบนนั้น แล้วพูดว่า “ที่นี่ก็คือตำแหน่งคร่าวๆที่น้ำศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้น”
“ที่นี่ก็คือเมืองกอร์ลที่พวกเราอาศัยอยู่ตอนนี้ แต่ว่าที่นี่ก็เป็นเมืองที่อยู่เหนือสุดเมืองหนึ่งแล้ว ถ้าคิดจะไปถึงตำแหน่งของแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ละก็ เกรงว่าจะต้องเดินเท้าเข้าไปแล้ว”
คาร์นอตวิลเลียมรู้สึกสะท้านใจ “เทพสว่างที่สมควรตาย นักผจญภัยพวกนั้นคงว่างเกินไปไม่มีอะไรทำ ถึงกับดั้นด้นไปในทางที่เปลี่ยวขนาดนั้น”
ฉูเหอทำตาค้อนใส่เขา แล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เจ้าเด็กน้อย คุณควรจะขอบคุณนักผจญภัยพวกนั้น ไม่งั้นก็จะไม่มีใครได้พบน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏขึ้นแล้ว อาจไม่แน่พลาดโอกาสครั้งนี้ไปแล้ว ก็ต้องรออีกหลายสิบปีทีเดียว”
คาร์นอตวิลเลียมหัวเราะแฮะๆ “ต่อให้คุณจะขอบคุณนักผจญภัยพวกนั้น ก็ควรจะรอให้คุณได้น้ำศักดิ์สิทธิ์มาก่อนเถอะ ถ้าหากคนอื่นได้น้ำศักดิ์สิทธิ์ไปแล้วล่ะก็ งั้นคงต้องเป็นเรื่องที่แย่ที่สุดแล้ว”
ฉูเหอพูดด้วยความมั่นใจเต็มร้อยว่า “วางใจเถอะ มีฉันอยู่ทั้งคน แม้แต่น้ำศักดิ์สิทธิ์สักหยดก็จะไม่ยอมให้คนอื่นเอาไปได้เลย”
“อะแฮ่ม…….” ตางอู่ไอกระแอมเบาๆอยู่ข้างๆ แล้วกระตุกชายเสื้อของฉูเหอเบาๆ ส่งสัญญาณให้เธออย่าได้พูดจาจนเกินเหตุไป
หลินหยุนก็พูดขึ้นมาทันทีว่า “ในเมื่อต้องเดินด้วยเท้าเข้าไป งั้นฉันเสนอว่าคืนนี้ก็ควรจะออกเดินทางได้แล้ว”
คาร์นอตวิลเลียมยักคิ้ว แล้วพูดอย่างภูมิใจว่า “พวกเราเผ่าโลหิตมีความชำนาญในการเดินทางกลางคืนที่สุด ฉันเห็นด้วยที่ออกเดินทางคืนนี้”
ฉูเหอทำเสียงฮื่อใส่ “การมองในความมืดสำหรับพวกเราแล้ว ไม่มีความแตกต่างอะไรกับกลางวันเลย แต่ว่าฉันอยากรู้ว่าทำไมคุณถึงต้องออกเดินทางกลางคืนด้วย?”
หลินหยุนพูดอย่างเงียบๆว่า “คิดจะไปเอาน้ำศักดิ์สิทธิ์ ก็ต้องอยู่นำหน้าคนอื่น เผื่อว่ามีคนไปถึงก่อน งั้นการเดินทางคราวนี้ก็ไม่มีความหมายแล้ว”
ตางอู่พยักหน้า “ปรมาจารย์หลินพูดมีเหตุผล ฉันก็เห็นด้วยที่เร่งออกเดินทางทันที”
ฉูเหอลุกขึ้นยืนแล้วรีบเก็บข้าวของ “งั้นทำไมจะต้องจองห้องพักโรงแรมอะไรอีก เปลืองเงินเปล่าๆ”
ทั้งสี่คนก็ออกจากเมืองกอร์ลในค่ำคืนนั้น มุ่งหน้าเดินสำรวจไปยังทุ่งน้ำแข็งตอนเหนือสุดตามสัญลักษณ์บนแผนที่นั้น
ทุ่งน้ำแข็งไซบีเรียในยามค่ำคืน อากาศหนาวเหน็บเป็นพิเศษ หิมะขาวโพลนสุดลูกหูลูกตา
บางครั้งก็มีสัตว์ที่ทนความหนาวเย็นบางชนิดออกมาเคลื่อนไหวบ้าง เมื่อเห็นพวกหลินหยุนทั้งสี่คน ถึงกับไม่วิ่งหนีเพราะความตกใจเลย กลับยืนอยู่กับที่แล้วจ้องมองอย่างเงียบๆ
เห็นได้ชัดว่า ไม่ค่อยมีร่องรอยผู้คนปรากฏอยู่ที่นี่ สัตว์พวกนี้จึงไม่ค่อยเห็นมนุษย์ ดังนั้นจึงไม่ตื่นตกใจกลัว
พลังการฝึกฝนของทั้งสี่คนสูงส่งมาก จึงไม่เกรงกลัวต่อความเหน็บหนาว อีกทั้งความเร็วก็ยังคงว่องไวอีกด้วย
แต่ว่า เพราะว่าท่ามกลางหิมะที่ขาวโพลนนั้น เป็นการยากลำบากสำหรับการค้นหาทิศทางที่ถูกต้องได้ คิดจะหาตำแหน่งของน้ำศักดิ์สิทธิ์จึงไม่ได้ง่ายเลย
ดังนั้น ทั้งสี่คนก็ไม่ละทิ้งในการใช้ความเร็วอย่างเต็มที่เพื่อเร่งการเดินทางต่อไป