จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ – บทที่ 1010 แดนเทพสิบแปดคนมากดดันชางฉองกรุ๊ป

บทที่ 1010 แดนเทพสิบแปดคนมากดดันชางฉองกรุ๊ป

หลังจากตาเฒ่าและนักบวชจากไปแล้ว ซูจื่อเหลียงกลับไปที่ห้องทำงานของหวางซูเฟิน

“อาจารย์ซู คุณไม่เป็นไรใช่ไหม?”

หวางซูเฟินถามด้วยความกังวล

ถึงแม้หวางซูเฟินรู้ว่าซูจื่อเหลียงนั้นเป็นลูกศิษย์ของหลินหยุน แต่เธอยังคงสุภาพกับซูจื่อเหลียง

ซูจื่อเหลียงกล่าวว่า “ผมไม่เป็นไร ขอบคุณสำหรับความเป็นห่วงของประธาน เพียงแต่ ถึงแม้ผมจะชนะสองคนนั้น แต่ผมก็ไม่สามารถฆ่าพวกเขาได้”

“คราวหน้าเมื่อพวกเขากลับมาอีก เกรงว่าพวกเขาจะรวบรวมผู้แข็งแกร่งมาเพิ่มอีก”

“ท่านประธาน พวกเราควรเตรียมตัวไว้ก่อน!”

หวางซูเฟินขมวดคิ้ว “แล้วจะไปหลบซ่อนที่ไหนได้ล่ะ?”

“นักบู๊เหล่านั้นสามารถแทรกซึมไปได้ทุกที่ แล้วพวกเราจะไปหลบซ่อนที่ไหนได้ล่ะ?”

ซูจื่อเหลียงกล่าวว่า “ไปที่ตึกว่างเยว่ ตอนที่อาจารย์จากไป ได้ถ่ายทอดวิธีการควบคุมค่ายกลกระบี่ล้างผลาญห้าธาตุให้ผมแล้ว ถึงแม้ตอนนี้ผมจะควบคุมมันได้ไม่ค่อยดีมากนัก แต่ถึงแม้จะมีศัตรูมากกว่านั้น ผมก็มีความมั่นใจว่าสามารถขัดขวางพวกเขาอยู่ด้านนอกได้”

หวางซูเฟินยังไม่ยินยอมที่จะจากไป “รอดูอีกหน่อยเถอะ บางทีพวกเขาเห็นว่าไม่สามารถเอาชนะคุณได้ ดังนั้นพวกเขาอาจจะถอยไป?”

“เป็นไปไม่ได้ ประธานอย่าคิดเสี่ยงเลย ในโลกบู๊นั้นมีเฒ่าประหลาดแอบซ่อนอยู่มากมาย และพวกเขานั้นแข็งแกร่งมาก เหมือนกับตาเฒ่าและนักบวช และเพื่อให้ได้วิชาการบำเพ็ญเซียนไปครอบครอง พวกเขาสามารถทำเรื่องบ้าคลั่งได้ทั้งนั้น”

การแสดงออกของซูจื่อเหลียงนั้นจริงจัง และสิ่งที่เขาพูดนั้นคือความจริง

ดูเหมือนว่าหวางซูเฟินจะสามารถเข้าใจได้ แต่เธอไม่สามารถละทิ้งรากฐานของชางฉองกรุ๊ปได้เช่นกัน

หากเธอไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่ตึกว่างเยว่แล้ว ชางฉองกรุ๊ปจะขาดผู้นำ แล้วตระกูลหวางจะพลาดโอกาสที่ดีเช่นนี้ในการทำลายชางฉองกรุ๊ปได้อย่างไร?

“รอดูอีกหน่อยเถอะ ถ้าพวกเราไม่สามารถต้านได้จริง ๆ พวกเราค่อยไปหลบซ่อนที่ตึกว่างเยว่”

“ครับ” ซูจื่อเหลียงเข้าใจความรู้สึกที่หวางซูเฟินมีต่อชางฉองกรุ๊ป ถึงแม้การทำเช่นนี้จะเป็นอันตรายอย่างยิ่ง แต่นั่นเป็นวิธีเดียว

หลังจากตาเฒ่าและนักบวชจากไปแล้ว

เกิดความโกลาหลในโลกบู๊อีกครั้ง

นอกจากนายท่านหลินแล้ว ชางฉองกรุ๊ปยังมีนักบู๊ระดับแดนเทพที่แข็งแกร่งอยู่อีกหนึ่งคน

เห็นได้ชัดว่านักบู๊คนนี้อาจเป็นผู้บำเพ็ญเซียนคนหนึ่ง

คราวนี้ ผู้คนที่อยู่ในโลกบู๊ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นไปอีก

เหมือนกับฉลามที่ได้กลิ่นเลือด

นี่แสดงให้เห็นว่าปรมาจารย์หลินต้องเก็บวิชาการบำเพ็ญเซียนไว้ในชางฉองกรุ๊ปแน่นอน

จากนั้นตาเฒ่าและนักบวชสองคนนั้น ได้รวบรวมยอดฝีมือระดับแดนเทพอีกสี่คน เมื่อรวมกับพวกเขาสองคนแล้ว เป็นยอดฝีมือระดับแดนเทพทั้งหมดหกคน

มาท้าทายที่ชางฉองกรุ๊ปอีกครั้ง

เดิมที พวกเขาวางแผนว่ายอดฝีมือระดับแดนเทพทั้งหกคนโจมตีพร้อมกัน ไม่ว่าซูจื่อเหลียงจะแข็งแกร่งขนาดไหน ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาอย่างแน่นอน

แต่ในช่วงเวลาวิกฤติ ได้ปรากฏแดนเทพรุ่นเยาว์ขึ้นอีกหนึ่งคนในชางฉองกรุ๊ป

ซูหนันมาถึงแล้ว

วิชาพินาศไม่สิ้นสูญนั้นประสบความสำเร็จเบื้องต้นแล้ว และตอนนี้ความแข็งแกร่งของซูหนันนั้นได้เข้าสู่ระดับแดนเทพแล้ว ซึ่งตอนนี้ฝีมือของเขานั้นสูสีกับซูจื่อเหลียง

วิชาพินาศไม่สิ้นสูญเป็นการป้องกัน และเมื่อฝึกฝนจนถึงระดับสูงสุดแล้วเรียกว่าวิชาพินาศไม่สิ้นสูญ

ผ่าล้างเก้ากระบี่เป็นที่รู้จักว่าเป็นกระบี่เดียวทำลายทุกสิ่ง และเป็นหนึ่งในวิธีการโจมตีที่ทรงพลังที่สุดในโลกบำเพ็ญเซียน

คนหนึ่งโจมตีและอีกคนหนึ่งป้องกัน เมื่อร่วมมือกันแล้วทำให้พลังของพวกเขาเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก

ภายใต้การร่วมต่อสู้ของทั้งสองคน ทำให้ยอดฝีมือแดนเทพทั้งหกกลับไปพร้อมกับความพ่ายแพ้อีกครั้ง

ทำให้ทุกคนได้เห็นถึงความเข้มแข็งของชางฉองกรุ๊ปอีกครั้ง

หลังจากการโจมตีติดต่อกันหลายครั้ง แต่ยังคงไม่เห็นหลินชางฉองปรากฏตัวออกมา

ผู้คนจำนวนมากเริ่มเชื่อว่าหลินชางฉองเสียชีวิตไปแล้วจริง ๆ

แม้แต่หวางซูเฟินและฉินหลันก็ค่อย ๆ เริ่มเชื่อข่าวการตายของหลินหยุน

พวกเฒ่าประหลาดที่เฝ้าสังเกต เริ่มลดความระแวง และเข้าร่วมกับกลุ่มที่โจมตีชางฉองกรุ๊ป

คราวนี้ พวกเขาได้รวบรวมผู้แข็งแกร่งแดนเทพทั้งหมดสิบแปดคน เพื่อจะมาโจมตีชางฉองกรุ๊ป

ในบรรดาผู้แข็งแกร่งแดนเทพสิบแปดคน มีคนหนึ่งที่เหมือนบัณฑิต ซึ่งเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด และความแข็งแกร่งของเขาได้ไปถึงระดับแดนเทพระดับสูงแล้ว

และเขาก็กลายเป็นผู้นำของสิบแปดคนนี้

เขาชื่อข่งหรูหยุน คนอื่นเรียกเขาว่าบัณฑิตหนุ่ม ได้ยินคนพูดว่าบุคคลนี้มีชีวิตอยู่กว่า 200 ปีแล้ว เมื่อก่อนเขาเป็นบัณฑิต และเขาได้ฝึกบู๊ด้วยความบังเอิญ

ข่งหรูหยุนนำคนเหล่านี้ไปล้อมชางฉองกรุ๊ปเอาไว้ แต่ยังไม่ได้โจมตีทันที

เขาให้เวลาหวางซูเฟินหนึ่งวัน หรือไม่ก็มอบวิชาการบำเพ็ญเซียนออกมา หรือไม่ก็ตาย

ดูเหมือนว่าตอนนี้ท้องฟ้าที่อยู่เหนือชางฉองกรุ๊ปนั้นถูกปกคลุมไปด้วยเมฆดำ

เป็นแรงกดดันที่ใหญ่

สีหน้าของซูจื่อเหลียงเคร่งขรึม ส่วนสีหน้าของซูหนันนั้นเย็นชา ทั้งสองยืนอยู่ข้างกำแพงในห้องทำงานของหวางซูเฟิน

หวางซูเฟินมองทั้งสองคนและถามว่า “ถ้าพวกคุณสองคนออกไปต่อสู้กับพวกเขา พวกคุณมีโอกาสชนะกี่เปอร์เซ็นต์?”

ซูจื่อเหลียงคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี

สองคนเผชิญหน้ากับแดนเทพหกคน และชนะได้ด้วยความลำบาก

ถึงแม้จะเผชิญหน้ากับแดนเทพแปดคน พวกเขายังมีความมั่นใจที่จะต่อสู้

เพียงแต่มันเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะต่อสู้กับแดนเทพสิบแปดคน

ไม่มีโอกาสชนะ

เพียงแต่ซูจื่อเหลียงไม่สามารถพูดได้ เพราะว่าเขาต้องการออกไปต่อสู้

ถ้าเขาพูดออกไป หวางซูเฟินจะต้องขัดขวางเขาอย่างแน่นอน

ซูจื่อเหลียงยังไม่ได้พูดอะไร ทันใดนั้นซูหนันกล่าวว่า “ไม่รู้ครับ เพราะยังไม่เคยต่อสู้กัน”

คำตอบนี้ทำให้ซูจื่อเหลียงรู้สึกว่าเป็นคำตอบที่ไม่เลว

หวางซูเฟินคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “งั้นเชิญนายท่านหลินมาดีกว่า ดูว่าจะสามารถสู้กับพวกเขาได้ไหม?”

ซูจื่อเหลียงพยักหน้า

ถ้านายท่านหลินสามารถมาช่วย งั้นพวกเขายังมีโอกาสชนะอยู่บ้าง

หวางซูเฟินให้ฉินหลันโทรหานายท่านหลินทันที

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ฉินหลันกล่าวด้วยท่าทางตกใจว่า “แย่แล้ว ประธาน เมื่อเช้านายท่านหลินได้รับบาดเจ็บสาหัสจากยอดฝีมือลึกลับคนหนึ่ง”

“ยอดฝีมือลึกลับคนนั้นให้เวลานายท่านหลินหนึ่งวัน เพื่อให้นายท่านหลินมอบวิชาการบำเพ็ญเซียนออกมา มิฉะนั้น…พวกเขาจะฆ่าล้างตระกูลหลิน!”

หวางซูเฟินรู้สึกตกใจมาก “อะไรนะ?!”

“นายท่านหลินได้รับบาดเจ็บ!”

“ใครที่สามารถทำร้ายนายท่านหลินได้?”

นายท่านหลินทำลายค่ายกลมหาปัทมาของตระกูลเซินด้วยตนเอง เขาน่าจะแข็งแกร่งกว่าซูจื่อเหลียงและซูหนัน

นึกไม่ถึงว่ายังมีคนที่สามารถทำร้ายเขาได้ ความแข็งแกร่งของบุคคลนั้นช่างน่าสะพรึงกลัว!

ซูจื่อเหลียงตกใจเช่นกันและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมว่า “ถ้าเขาสามารถทำร้ายนายท่านหลินได้ ความแข็งแกร่งของเขานั้นลึกจนคาดเดาไม่ถูก!”

“ประธาน ตอนนี้พวกเราทำได้เพียงไปหลบซ่อนอยู่ที่ตึกว่างเยว่เท่านั้น”

หวางซูเฟินกล่าวด้วยความจำใจ “คงต้องทำเช่นนั้น”

“เพียงแต่ ตอนนี้พวกเรายังสามารถออกไปจากที่นี่ได้หรือ?”

ซูจื่อเหลียงไม่ได้พูดอะไร แม้ว่าตนเองกับซูหนันจะสู้พวกเขาไม่ได้ แต่การหลบหนีนั้นไม่ใช่ปัญหา

เพียงแต่ หากต้องการพาคนธรรมดาอย่างหวางซูเฟินหลบหนีไป โอกาสหลบหนีอาจจะมีเพียงยี่สิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น

“แทนที่จะนั่งรอความตาย สู้พวกเราต่อสู้จนถึงที่สุดดีกว่า ผมกับซูหนันจะคุ้มครองประธานหลบหนีไปที่ตึกว่างเยว่ จากนั้นค่อยไปที่อูซู แล้วคุ้มครองคนตระกูลหลินมาที่นี่”

ซูจื่อเหลียงมองหวางซูเฟิน “ประธาน ตอนนี้เป็นเวลาวิกฤติ คุณต้องรีบตัดสินใจ!”

หวางซูเฟินส่ายศีรษะ “ไม่ได้ ถ้าหากฉันหนีไปแล้ว คนมากมายของชางฉองกรุ๊ปจะทำอย่างไร?”

“ฉันจะอยู่ที่นี่ เป้าหมายของพวกเขาคือฉัน ถ้าฉันหนีไปแล้ว พวกเขาจะระบายความโกรธกับพวกคุณแน่นอน”

ซูจื่อเหลียงล่าวว่า “ประธานวางใจเถอะ ข้อตกลงระหว่างโลกบู๊กับโลกมนุษย์ยังคงอยู่ ขอเพียงแค่คุณหนีไปแล้ว พวกเขาสูญเสียเป้าหมาย พวกเขาจะไม่ทำให้คนของชางฉองกรุ๊ปนั้นลำบากใจ”

“เพื่อวิชาการบำเพ็ญเซียนแล้ว พวกเขากล้าที่จะละเมิดข้อตกลงและโจมตีชางฉองกรุ๊ป หากเป็นเพียงการแก้แค้น พวกเขาอาจไม่กล้าละเมิดข้อตกลง”

“เพราะอย่างไรเสีย อาวุธนิวเคลียร์ของรัฐบาลนั้นก็ไม่ใช่เครื่องประดับตกแต่ง”

หวางซูเฟินยังคงส่ายศีรษะ “อย่าพูดอีกเลย ฉันจะไม่มีวันทิ้งทุกคนและหนีไปตามลำพังแน่นอน”

เมื่อเห็นว่าหวางซูเฟินตั้งใจแน่วแน่ ซูจื่อเหลียงทำได้เพียงถอนหายใจด้วยความจำใจ “เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราทำได้เพียงสู้ตายกับพวกเขา”

จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์

จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์

Status: Ongoing

มหากษัตริย์ชางฉองหลินหยุนที่ปราบปรามสามโลกไถ่บาปไม่สำเร็จ เกิดใหม่กลับสู่โลกมนุษย์เป็นเขยแต่งเข้าบ้าน ชาติปางก่อน ได้เมียที่สวยเซ็กซี่ดูเป็นผู้ใหญ่กลับครอบครองไม่ได้ ชาตินี้ หลินหยุนจะทำยังไง……ชาติก่อน เขาเป็นคนไร้ความสามารถที่ใครๆต่างดูถูก ชาตินี้ เขาเป็นหมอเทพหลินในวงการแพทย์ ตาทิพย์หลินในวงการของโบราณ อาจารย์หลินในวงการฮวงจุ้ย และหลินชางฉองในวงการบู๊ เมื่อเขากลับมาสู่เทวโลกอีกครั้ง พบว่าเทวโลกมีการเปลี่ยนแปลง หลายคนที่กำลังไถ่บาปรวมตัวกัน พวกเขาจะทำได้ดั่งใจหวังหรือไม่

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท