เมื่อชายชุดดำได้ยิน จึงถอนหายใจออกมาเบาๆ
จากนั้นยื่นมือถอดหมวกกุ้ยเล้ยบนศีรษะออก
หลินหยุนกับซิงเฟย เห็นหน้าตาที่แท้จริงของเขา
เป็นชายหนุ่มจริงๆ ดูยังเด็กเกินไปหน่อย
เหมือนยังอายุไม่ถึง 20 ปีเลย ประมาณ 17-18 ปี ยังเด็กกว่าหลินหยุนไม่น้อย
หน้าตายังดูมีความละอ่อน นี่ไม่สามารถหลอกคนอื่นได้
แทบจะไม่อยากเชื่อว่าคำพูดที่พูดตอนใส่หมวกกุ้ยเล้ย ออกมาจากปากคนอายุน้อยคนนี้
เอาหมวกกุ้ยเล้ยสะพายไว้ข้างหลังอย่างซื่อๆ
หมวกกุ้ยเล้ยนี้นานมากแล้ว และเก่ามากด้วย แต่เหมือนเขาให้ความสำคัญกับมันมาก
การกระทำของเขา เหมือนกำลังจัดวางสมบัติล้ำค่าอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อเขาสะพายหมวกกุ้ยเล้ยเรียบร้อย จึงมองหลินหยุนอีกครั้ง
นายไม่ใช่ศิษย์สำนักฉีซาน!
แต่กลับมีผลการฝึกตนแข็งแกร่ง
แข็งแกร่งจนขนาดฉัน ก็ไม่สามารถเอาชนะได้!
นี่ไม่สำคัญ
สิ่งสำคัญคือ
ฉันว่านาย
เหมือนจะเป็นคนมีเหตุผล
ใช่ไหม
หลินหยุนพูดเบาๆ ว่า ประมาณนั้น!
คนอายุน้อยหัวเราะ แล้วพูดว่า ใช่คือใช่ ไม่ใช่คือไม่ใช่ บนโลกนี้มีอะไรคลุมเครือด้วยเหรอ
หลินหยุนพูดว่า เหมือนโลกนี้ไม่ได้มีแค่ขาวกับดำไงล่ะ
คนอายุน้อยอึ้งไป จากนั้นพยักหน้าแล้วพูดว่า มีเหตุผล! ดูเหมือนนายเป็นคนมีเหตุผลจริงๆ! ฉันชอบทำความรู้จักกับคนมีเหตุผลที่สุด!
หลินหยุนพยักหน้า นายจะพูดเหตุผลกับฉันเหรอ
หนุ่มชุดดำพูดว่า ฉันต้องการผู้หญิงคนนี้ แต่ฉันเป็นคนมีเหตุผล ดังนั้นหวังว่านายจะตกลง!
หลินหยุนพูดว่า ถ้าฉันไม่ตกลงล่ะ
หนุ่มชุดดำพูดว่า งั้นแสดงว่านายไร้เหตุผลแล้ว! ฉันปรึกษากับนายดีๆ ถ้านายเข้าใจเหตุผล นายควรจะตอบตกลง!
แววตาหลินหยุนวูบไหว แล้วพูดว่า นี่คือเหตุผลของนายเหรอ
หนุ่มชุดดำพยักหน้า ถูกต้อง!
หลินหยุนพูดว่า มีเรื่องหนึ่งที่ฉันไม่ค่อยเข้าใจ
หนุ่มชุดดำพูดว่า ถามมาได้เลย การทำให้สรรพสิ่งหลุดพ้นจากความทุกข์ คลายข้อสงสัยให้สรรพสิ่ง ก็เป็นหน้าที่ของฉัน
หลินหยุนพูดว่า เหตุผลของนาย ใช้ได้กับทุกสถานการณ์หรือเปล่า มีตอนที่ใช้ไม่ได้หรือเปล่า
เมื่อชายชุดดำได้ยิน ก็ก้มหน้าครุ่นคิดอย่างจริงจัง
ผ่านไปนาน จึงเงยหน้าขึ้นมองหลินหยุน แล้วพูดว่า ไม่มี เพราะฉันพูดเพียงเหตุผลของฉัน ส่วนเหตุผลของคนอื่น ไม่เกี่ยวกับฉัน
เมื่อหลินหยุนได้ยิน จู่ๆ จึงหัวเราะออกมา
หัวเราะจริงๆ
นับตั้งแต่เกิดใหม่มานั้น เรื่องที่ทำให้เขาหัวเราะได้ มีน้อยลงทุกที
ถึงกระทั่งที่ลืมไปแล้ว ว่าเรื่องที่ตัวเองหัวเราะครั้งก่อนคือเรื่องอะไร
แต่ทว่าตอนนี้ เขาหัวเราะจริงๆ หัวเราะแบบเย้ยหยัน
น่าขำ
พูดแต่เหตุผลของตัวเอง ส่วนเหตุผลของคนอื่น ไม่เกี่ยวกับตัวเอง
ช่างมีเหตุผลเสียจริง!
จู่ๆ หลินหยุนรู้สึกสะอิดสะเอียนขึ้นมา
คนที่อยู่ตรงหน้า น่าจะเหมาะกับการเป็นเกรียนคีย์บอร์ดในโลกภายนอก ถือคีย์บอร์ดเดินไปทั่ว
สูดหายใจลึก หลินหยุนมองอีกฝ่าย แล้วพูดว่า คนอย่างฉัน บางครั้งก็ชอบพูดแต่เหตุผลของตัวเอง ส่วนเหตุผลของคนอื่น ก็ไม่เกี่ยวกับฉันเหมือนกัน
เพราะเหตุผลของฉันคือ
คนอื่นพูดเหตุผลกับฉันอย่างไร
ฉันก็พูดเหตุผลกับเขาด้วยวิธีเดียวกัน!
นี่ยุติธรรมไหม
หนุ่มชุดดำพยักหน้า ยิ้มแล้วพูดว่า ยุติธรรมมาก! แต่ฉันต้องบอกนายว่า ทุกคนที่ไม่พูดเหตุผลของฉัน เมื่ออยู่ต่อหน้าฉัน พูดแต่เหตุผลของตัวเอง จนถึงตอนนี้ ล้วนตายไปหมดแล้ว!
หลินหยุนพูดอย่างราบเรียบ บังเอิญจัง นี่ก็เป็นสิ่งที่ฉันอยากพูดเหมือนกัน
หนุ่มชุดดำพูดว่า ดูเหมือนว่าการได้เจอคนที่เหมือนฉัน เป็นเรื่องโชคดี! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นให้ฉันโปรดสัตว์แบบนายเถอะ! นี่เป็นเรื่องปกติที่ฉันชอบทำมากที่สุด!
โลกเข้าสู่ทะเลความทุกข์
การโปรดสัตว์คือการหลุดพ้นความทุกข์ได้เร็วที่สุด เป็นวิธีที่จะทำให้ถึงนิพพาน
หลินหยุนยิ้มเย้ยหยัน แล้วพูดว่า นายอยู่ในทะเลแห่งความทุกข์เช่นกัน นายจะนำพาสรรพสิ่งก้าวพ้นจากความทุกข์ไปสู่นิพพาน ไม่รู้นายเคยเห็นอีกนิพพานหรือเปล่า รู้หรือเปล่าว่านิพพานเป็นยังไง
เมื่อหนุ่มชุดดำได้ยิน ถึงกับอึ้งไปทันที
เหมือนเขาจะไม่เคยครุ่นคิดปัญหานี้มาก่อน
ลมปราณทั้งตัวแปรเปลี่ยนเป็นไม่ค่อยมั่นคง
หลินหยุนรีบส่งสายตาให้ซิงเฟย ซิงเฟยเข้าใจทันที รีบลอยตัวถอยไปด้านหลัง
เมื่อเข้าใกล้หลินหยุนที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า
เพราะเกิดความเคลื่อนไหว ทำให้หนุ่มชุดดำตั้งสติได้
ในแววตาของเขา มีความแน่วแน่กลับมาอีกครั้ง มองหลินหยุนแล้วพูดว่า สรรพสิ่งที่นิพพานมีความเท่าเทียมอย่างแท้จริง จะเห็นแดนสุขาวดีสูงสุดไปทำไมกัน!
หลินหยุนส่งเสียงหึ แล้วพูดว่า ในเมื่อนายไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเองอย่างแท้จริง! จะรู้หน้าตาที่แท้จริงของสิ่งที่เรียกว่าแดนสุขาวดีได้อย่างไร ในเมื่อไม่รู้ นายจะนำพาผู้คนไป ไม่น่าขำเหรอ
เมื่อหนุ่มชุดดำได้ยิน จึงตำหนิอย่างโมโหว่า พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่านิพพานคือความสุขอันล้นพ้น งั้นนิพพานก็คือความสุขอันล้นพ้น พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่านำพาสรรพสิ่งให้หลุดพ้นจากความทุกข์ ถ้าอย่างนั้นโลกนี้ก็คือความทุกข์! พระพุทธเจ้าต้องมีเหตุผลนี้แน่นอน!
นายกล้าสงสัยในพระพุทธเจ้า งั้นคงไม่มีโอกาสไปแดนสุขาวดีแล้วล่ะ
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ฉันจะนำพานายขึ้นสวรรค์เอง!
เมื่อพูดจบ หนุ่มชุดดำทำมือทั้งสองข้างเป็นสัญลักษณ์ต่างๆ ซึ่งเรียกว่ามุทรา
ทันใดนั้น แสงสีทองสว่างวาบขึ้นมา
แสงสีทองสัญลักษณ์มืออันหนึ่งถูกปล่อยออกมา กดลงมาทางหลินหยุน
หลินหยุนเห็นดังนั้น แววตาวูบไหวไปมา
ท่ามุทรานี้ เต็มไปด้วยพลังความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
แต่ในความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนั้น กลับแฝงไปด้วยความเกรี้ยวกราดและความอาฆาตนับไม่ถ้วน
อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์นี้ ทำให้เขารู้สึกคุ้นตา
ในโลกบำเพ็ญเซียนชาติที่แล้ว คล้ายกับมหามุทราธรรมจักรสิบสองของสำนักพระธรรมมาก
ธรรมจักร เป็นสัญลักษณ์สำคัญของนักบุญสำนักพระธรรม
นักบุญสำนักพระธรรม ธรรมจักรอยู่เหนือหัว
ธรรมจักรสิบสอง คือระดับสูงสุด ถึงจะเรียกได้ว่านักบุญสำนักพระธรรม
อยู่ในระดับเดียวกันกับผู้บำเพ็ญชั้นมหากษัตริย์โดยทั่วไป
ว่ากันว่า สำนักพระธรรมมีสิบสองนักบุญ เรียกว่ามหาพุทธะ
ส่วนอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์มหามุทราธรรมจักรสิบสอง เป็นสิ่งที่สิบสองนักบุญถ่ายทอดต่อมา
โลกบำเพ็ญเซียน พุทธศาสนาถ่ายทอดมาอย่างยาวนาน
อย่าบอกนะว่า เทศนามาถึงโลกแห่งนี้ด้วย
ใช่แล้ว!
เขาสงสัยมานานแล้ว โลกคุนชางแห่งนี้
โลกแห่งนี้ สมัยโบราณเคยมีอารยธรรมการฝึกฝนบำเพ็ญเซียน อันรุ่งโรจน์
งั้นมีสำนักพระธรรมเทศนามาที่นี่ จึงไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจยาก
แต่……นี่แสดงว่า อารยธรรมการฝึกฝนบำเพ็ญเซียนสมัยโบราณของโลกนี้
มีร่องรอยของผู้ที่มาจากนอกอาณาเขต
อย่าบอกนะว่า เหตุที่ตอนนั้นอารยธรรมการฝึกฝนบำเพ็ญเซียนสูญหายไป เหลือเพียงพื้นที่แคบๆ อย่างโลกคุนชาง
ถึงขนาดที่ไม่เหลือการถ่ายทอดที่สมบูรณ์แบบเอาไว้ เกี่ยวข้องกับผู้ที่มาจากนอกอาณาเขตพวกนั้นด้วยงั้นเหรอ
หลินหยุนคิดอยู่ครู่หนึ่ง มีความเป็นไปได้สูงมาก!
แต่หลักๆ แล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ยังไม่สามารถพูดได้อย่างชัดเจน
เดิมที เขาก็กำลังคิดว่าการขาดหายไปของการฝึกฝนบำเพ็ญเซียนสมัยโบราณ เกี่ยวข้องกับการค่อยๆ หายไปของชี่ทิพย์บนโลกนี้หรือเปล่า
ดูเหมือนตอนนี้ จะไม่ใช่แบบนั้นเสียแล้ว
โดยเฉพาะว่ากันว่าในโลกคุนชางแห่งนี้ เหมือนยังมีสนามรบขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ตอนนี้กลายเป็นสถานที่อันตรายไปแล้ว
ทะเลกวางยักษ์แห่งนั้น ถ้ามีโอกาส ต้องไปดูให้ได้
บางทีอาจจะได้อะไรอย่างอื่นมาก็ได้