บทที่ 8 ก่อเรื่องแล้ว
เมื่อออกมาจากโรงเรียนอนุบาลแล้วเจียงหยุนเอ๋อก็รีบไปที่โรงพยาบาลต่อโดยทันที
เมื่อเปิดประตูห้องคนป่วยออก ภายในห้องยังคงมีบรรยากาศที่วิเวกวังเวงเช่นเดิม ซูม่านลียังคงนอนอยู่คนเดียวโดดเดี่ยวบนเตียงผู้ป่วย ทำให้เจียงหยุนเอ๋อรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก
เธอเดินผ่านห้องผู้ป่วยมาหลายห้อง ข้างกายของผู้ป่วยส่วนมาก ล้วนมีญาติและเพื่อนสนิทอยู่กันอย่างเนืองแน่น แต่แม่ของเธอล่ะ……ป่วยหนักขนาดนี้แล้ว เจียงเย่เฉิงยังไม่คิดจะมาดูดำดูดีเลย!
“แม่……” เจียงหยุนเอ๋อเดินไปข้างๆเตียงผู้ป่วย ใช้มือทั้งสองข้างกุมมือของซูม่านลี แล้วจึงร้องเรียกอย่างสะอึกสะอื้น
ซูม่านลีนอนไม่ได้สติมาเป็นเวลานาน ถึงแม้คุณหมอจะบอกว่านี่เป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อยังไม่เห็นซูม่านลีฟื้นขึ้นมา เจียงหยุนเอ๋อก็ไม่สามารถรู้สึกวางใจได้
จริงๆแล้วเธอก็ไม่ได้หวังว่าวันนี้ซูม่านลีจะฟื้นขึ้นมา แต่กลับกลายเป็นว่าหลังจากที่เธอร้องเรียก ซูม่านลีที่นอนไม่ได้สติอยู่ก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมา
เป็นเพราะหมดสติไปนานพอสมควร ตอนที่ซูม่านลีเริ่มลืมตาขึ้น ก็เห็นอะไรไม่ค่อยชัดเจนนัก และค่อยๆกะพริบตาที่พร่าเลือน เมื่อรู้สึกดีขึ้น ก็ค่อยๆมองไปที่เจียงหยุนเอ๋อ
หลังจากที่เจียงหยุนเอ๋อเห็นซูม่านลีฟื้นขึ้นมา ก็รู้สึกดีใจจนร้องไห้ออกมา: “แม่ อย่าร้องเลยนะคะ หนูกลับมาแล้ว……”
เมื่อรู้ว่าซูม่านลีฟื้นแล้ว คุณหมอก็รีบมาทันที แล้วจึงตรวจดูอาการของซูม่านลีอย่างละเอียด หลังจากนั้นจึงเรียกเจียงหยุนเอ๋อออกมาจากห้องผู้ป่วย
“คุณหมอ อาการของแม่เป็นยังไงบ้างคะ? ตอนนี้ดีขึ้นหรือยัง?” เมื่อเห็นคุณหมอเรียกตัวเองออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เจียงหยุนเอ๋อก็รู้สึกร้อนใจไม่น้อย
คุณหมอเห็นท่าทีร้อนใจของเธอก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ: “คุณหนูเจียงหยุนเอ๋อไม่ต้องกังวลไป อาการของคุณนายเจียงดีขึ้นไม่น้อย ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยรู้สึกตัวเลย ทำให้พวกเราบรรดาหมอรู้สึกจนปัญญา คิดไม่ถึงว่าเมื่อคุณกลับมาก็ฟื้นขึ้นทันที จะว่าไป คุณนายเจียงคงจะคิดถึงคุณมาก บางที สำหรับคนเป็นแม่แล้ว คนที่สำคัญที่สุดก็คือลูกสาวของตนเอง”
เมื่อได้ยินคำพูดของคุณหมอ เจียงหยุนเอ๋อก็ก้มหน้าก้มตา รู้สึกว่าซูม่านลีไม่ได้รับความเป็นธรรม ถ้าครั้งนี้ตนเองไม่ได้กลับมา แม่คงจะต้องถูกสองแม่ลูกนั่นใช้แผนการชั่วร้ายจนทำให้ต้องถึงแก่ความตายอย่างนั้นหรือ?
คุณหมอมองหน้าเจียงหยุนเอ๋อแล้วทำท่าเหมือนมีอะไรจะพูดเจียงหยุนเอ๋อจึงมองสบตากับเขาแล้วถามว่า: “คุณหมอ คุณมีอะไรจะพูดอีกหรือเปล่า?”
คุณหมอถอนหายใจแล้วพูดว่า: “คุณก็เห็นแล้วว่า ตอนนี้อาการของคุณนายเจียงสามารถฟื้นฟูขึ้นได้ไม่น้อย ถ้าหากคุณจะสามารถอยู่ดูแลต่อได้ คงจะมีส่วนช่วยในการฟื้นฟูของเธอ ถ้ามองในมุมของหมอคนหนึ่ง ผมก็หวังว่าคุณจะอยู่ที่นี่ต่อเพื่อดูแลเธอ”
เดิมทีเจียงหยุนเอ๋อก็เตรียมที่จะอยู่ดูแลซูม่านลีอยู่แล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่คุณหมอพูดจึงไม่ได้พูดอะไรต่อ แล้วจึงรับปาก
“นี่เป็นเรื่องที่สมควรทำอยู่แล้ว”
ตอนบ่าย เจียงหยุนเอ๋อซื้อโจ๊กมา แล้วจึงนั่งป้อนซูม่านลีอยู่ที่ข้างๆเตียงผู้ป่วย
“คงจะร้อนนิดหน่อย แม่เป่าก่อนแล้วค่อยกินนะ” ขณะที่กำลังยื่นช้อนออกไป เจียงหยุนเอ๋อก็หยุดชะงัก แล้วมองโจ๊กที่มีไอร้อนลอยขึ้นมา จึงรีบนำกลับมาเป่า
ซูม่านลีหัวเราะเบาๆ แล้วมองเจียงหยุนเอ๋อด้วยความคิดถึงจับใจ ตอนที่เจียงหยุนเอ๋อทำเรื่องผิดมหันต์ครั้งนั้น จริงๆในใจของเธอก็เต็มไปด้วยความโกรธ แต่ต่อมาก็มานึกเสียใจทีหลัง ยังไงเสียเจียงหยุนเอ๋อก็เป็นลูกสาวของตัวเองแท้ๆ ทำไมจึงไม่สามารถติดต่อกันได้อีก
เดิมทีคิดว่าเจียงหยุนเอ๋อคงจะกล่าวโทษตนเองและโกรธเกลียดตนเอง แต่คิดไม่ถึงว่าตอนนี้ คนที่เต็มใจมาดูแลตัวเอง……ก็มีแค่เธอคนเดียว
คิดไปคิดมา น้ำตาของซูม่านลีก็ไหลออกมา เมื่อเจียงหยุนเอ๋อได้เห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า ในใจก็รู้สึกเจ็บปวด
เธอวางโจ๊กลง แล้วหยิบกระดาษขึ้นมาซับน้ำตาให้แก่ซูม่านลี แล้วพูดเบาๆว่า: “แม่ ไม่ต้องเป็นห่วงนะ หนูจะอยู่กับแม่ตลอด”
เมื่อทานเสร็จ เจียงหยุนเอ๋อก็เอาหมอนมาหนุนหลังให้ซูม่านลี ทั้งสองคนเพิ่งจะพูดคุยกันได้ไม่กี่ประโยค เสียงโทรศัพท์ของเจียงหยุนเอ๋อก็ดังขึ้น
“ฮาโหล สวัสดีค่ะ ฉันคือเจียงหยุนเอ๋อ” เจียงหยุนเอ๋อเห็นเบอร์แปลก จึงรับด้วยความสงสัย
เสียงปลายสายที่พูดมาเป็นเสียงที่แสดงถึงความโกรธ ฟังไปฟังมาก็รู้สึกคุ้นหู เป็นคุณครูในโรงเรียนที่พบกันเมื่อเช้านี้นี่เอง: “คุณเป็นผู้ปกครองของเจียงซิ่งหวีใช่ไหม? ลูกของคุณเป็นอะไรกันแน่? ทำไมมาโรงเรียนวันแรกก็ชกต่อยกับเพื่อนนักเรียนแล้ว?”
เจียงหยุนเอ๋อตกใจเป็นอย่างมาก จึงได้รีบชี้แจงแทนเจียงซิ่งหวี: “เป็นไปไม่ได้! ถวนจื่อของฉันเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย ไม่มีทางที่จะทำเรื่องเช่นนี้แน่!”
“คุณเป็นแม่ของเขา ก็ต้องเข้าข้างเขาอย่างแน่นอน คุณรีบมาตอนนี้เลย มาดูว่าลูกชายตัวดีของคุณก่อเรื่องอะไรไว้!” น้ำเสียงของครูประจำชั้นฟังดูรุนแรงมาก น้ำเสียงฟังแล้วเหมือนกำลังกล่าวหาอยู่
หลังจากวางสายโทรศัพท์ เจียงหยุนเอ๋อก็จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ซูม่านลีเองก็พอจะได้ยินเนื้อหาในโทรศัพท์ จึงรีบเอ่ยถาม: “มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นใช่ไหม?”
เจียงหยุนเอ๋อพยักหน้าเบาๆ: “ถวนจื่อก่อเรื่องขึ้นที่โรงเรียนอนุบาลแล้ว……”
เมื่อครู่ที่ทั้งสองคนพูดคุยกัน เจียงหยุนเอ๋อได้พูดถึงถวนจื่อให้ซูม่านลีฟังแล้ว ดังนั้นเมื่อซูม่านลีได้ยินจึงรีบพูดว่า: “ถ้าอย่างนั้นเธอรีบไปดูที่โรงเรียนเร็วเข้าว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“แต่ว่าแม่……ทางนี้……” เจียงหยุนเอ๋อรู้สึกเป็นห่วง
“แม่ไม่เป็นไร เธอรีบไปเถอะ” ซูม่านลีโบกมือเพื่อให้วางใจ
เมื่อเห็นดังนั้น เจียงหยุนเอ๋อจึงจัดการให้ซูม่านลีนอนลงอย่างเรียบร้อย แล้วจึงรีบไปโรงเรียนอนุบาล
ในห้องสำนักงาน ถวนจื่อยืนอยู่ที่มุมคนเดียว บนหน้าผากยังมีรอยแดงบวมปูดอยู่ เมื่อเจียงหยุนเอ๋อเห็นเข้า ก็รีบเข้าไปถามด้วยความเป็นห่วง: “ถวนจื่อ ไม่เป็นไรใช่ไหมลูก?”
ถวนจื่อส่ายหน้า แล้วพูดเบาๆว่า: “หยุนเอ๋อ เป็นเขาที่เข้ามาแย่งโทรศัพท์ของผมก่อน แถมยังทำโทรศัพท์ของผมหล่นพื้น ผมก็เลยชกเขา……”
“เธอพูดเหลวไหล!เห็นชัดๆว่าเธอเป็นคนหาเรื่อง ตอนนี้ยังจะมาโกหกอีก!” ครูประจำชั้นยืนด่าอยู่ไม่ไกล
เจียงหยุนเอ๋อเห็นสายตาของถวนจื่อ ก็เชื่อว่าเขาไม่ได้โกหก จึงนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้ เคยเห็นในห้องเรียนทุกห้องมีการติดตั้งกล้องวงจรปิด จึงพูดขึ้นว่า: “คุณครูคะ เอาอย่างนี้ดีกว่า พวกเราลองเปิดกล้องวงจรปิดดูดีไหม?”
“เรื่องเล็กแค่นี้ ทำไมต้องถึงขนาดเปิดกล้องวงจรปิดดูด้วย? ยังไงซะ เรื่องนี้ลูกชายคุณก็ต้องรับผิดชอบ! ถ้าพวกคุณไม่ยอมรับผิด ก็รีบออกไปซะ พวกเราที่นี่ไม่ต้อนรับพวกคุณ!” คุณครูพูดอย่างไม่ไยดี
ถวนจื่อทำปากบูด รู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ส่วน “ผู้เสียหาย” คนนั้น กลับยืนทำหน้าตาสะใจอยู่ไม่ไกล
เจียงหยุนเอ๋อหันไปมองเด็กผู้ชายคนนั้น ทั้งตัวใส่ของแบรนด์เนม คงจะมาจากครอบครัวที่มีฐานะ
พอคิดๆดู เจียงหยุนเอ๋อก็พอจะเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว เธอทำได้เพียงเกลียดตัวเองที่ไม่มีอำนาจที่จะปกป้องถวนจื่อได้ ทำได้เพียงมองเขาโดนรังแก
“ถวนจื่อ……” เจียงหยุนเอ๋อพึมพำ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
ถวนจื่อกลับบอกว่า: “หม่ามี้ ผมไม่กลัวเขาหรอก แล้วผมก็ไม่ไปไหนด้วย ต้องมีคนมาช่วยผมแน่นอน”