บทที่ 145 หม่ามี้เลือดออกแล้ว
ในตอนนี้ผู้คุ้มกันทั้งสองคนได้กดเจียงหยุนเอ๋อไว้กับพื้น จากนั้นมือชั่วร้ายก็เอื้อมไปที่คอเสื้อของเจียงหยุนเอ๋อ
“อย่านะ ไสหัวไป” เจียงหยุนเอ๋อตวัดมือและเท้าไปมา
ผู้คุ้มกันหัวเราะอย่างชั่วร้ายพร้อมเอ่ยว่า: “ตอนนี้ในห้องมีแค่พวกเราแล้ว ต่อให้เธอมีปีกก็หนีไปไม่รอดหรอก”
ในขณะที่พูดอยู่เขาก็กระชากคอเสื้อของเจียงหยุนเอ๋อออกอย่างป่าเถื่อน
เจียงหยุนเอ๋อได้ยินแค่เพียงเสียงเสื้อผ้าฉีกขาด
“อ๊า…” เจียงหยุนเอ๋อหลับตาแน่นและกรีดร้อง
เธอไม่กล้าลืมตามองท่าทางที่จนตรอกของตนเอง
ยิ่งได้ยินเสียงเจียงหยุนเอ๋อกรีดร้อง ผู้คุ้มกันทั้งสองก็ยิ่งรู้สึกเร้าใจ
มันยากที่จะเจอผู้หญิงที่ทั้งสวยและมีน้ำมีนวลอย่างนี้ แถมยังได้กินฟรีอีกด้วย ขอแค่เป็นผู้ชายก็ยากที่จะอดใจไหว
เจียงหยุนเอ๋อดิ้นรนสุดชีวิต แต่การขัดขืนของเธอก็เปล่าประโยชน์ เธอเป็นแค่ผู้หญิงอ่อนแอจะไปต่อกรกับผู้ชายแข็งแรงทั้งสองคนนั้นได้อย่างไร
ผู้คุ้มกันคนหนึ่งได้ตรึงมือทั้งสองข้างของเธอขึ้นไว้เหนือศีรษะ ส่วนอีกคนก็กำลังจะถอดกางเกงของเธอ
เจียงหยุนเอ๋อส่ายหัวสุดชีวิตและท่องวนไปวนมา: “อย่า อย่า”
ในขณะที่ผู้คุ้มกันกำลังปลดกระดุมกางเกงของเธอ เจียงหยุนเอ๋อก็ได้หลับตาลงอย่างสิ้นหวัง หยดน้ำตาค่อยๆ ไหลรินลงมาข้างแก้มที่แดงระเรื่อของเธอ จากนั้นเธอก็พึมพำเบาๆ ว่า: “จุนถิง ฉันขอโทษ”
ในขณะที่สถานการณ์กำลังขับขันอยู่นั้น ประตูห้องก็ถูกถีบจนเปิดออก
เห็นแค่เพียงผู้คุ้มกันลอยโค้งอยู่กลางอากาศอย่างสวยงาม ก่อนที่จะตกลงพื้น
ซู่จี้งยี้รีบพุ่งเข้ามา ในตอนที่เห็นเจียงหยุนเอ๋อถูกผู้คุ้มกันสองคนกดลงกับพื้น ก็รู้สึกตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ ราวกับหัวใจจะทะลุออกมาแล้ว
ซู่จี้งยี้ไม่กล้ารอช้าและรีบพุ่งเข้าไปหาเจียงหยุนเอ๋อ จากนั้นกระชากคอเสื้อของผู้คุ้มกันด้วยมือข้างเดียวแล้วโยนไปด้านหลังอย่างแรง
แล้วหันไปถีบผู้คุ้มกันที่อยู่ทางด้านขวาจนกระเด็นลงไปกองกับพื้น
พอจัดการด้านขวาเสร็จ ก็หันไปชกหน้าผู้คุ้มกันที่อยู่ทางซ้ายมือ
เขาลงมืออย่างรวดเร็วเสียจนทำให้ผู้คุ้มกันลงไปนอนคว่ำที่พื้น
เจียงหยุนเอ๋อใช้โอกาสนั้นกลิ้งตัวลงจากโซฟา แล้วจับคอเสื้อที่ถูกฉีกจนเกือบขาดของตนเองไว้แน่น จากนั้นคุกเข่าลงกับพื้นแล้วนั่งกอดเข่าตนเอง
ถวนจื่อเห็นพวกคนชั่วต่างก็ผละออกจากเจียงหยุนเอ๋อแล้ว จึงรีบพุ่งเข้ามาหา: “หม่ามี้ หม่ามี้ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ?”
ถวนจื่อถามไปด้วยและสำรวจตามร่างกายของเจียงหยุนเอ๋อไปด้วยว่ามีบาดแผลหรือเปล่า
เจียงหยุนเอ๋อตัวสั่นไม่หยุดด้วยความหวาดกลัว เรื่องที่เพิ่งจะเกิดขึ้นนั้นทำให้เธอสติหลุด
พอรู้สึกได้ถึงมือที่อ่อนนุ่มของถวนจื่อ เจียงหยุนเอ๋อก็มองถวนจื่ออย่างตื่นตระหนกเล็กน้อย แต่พอเห็นว่าเป็นเขาจึงยื่นมือที่สั่นระริกออกมาแล้วกอดเขาไว้แน่นโดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำเดียว
ส่วนทางนี้ ผู้คุ้มกันหลายคนที่ล้มอยู่กับพื้นก็ค่อยๆ ทยอยลุกขึ้นมา
พวกเขาเตรียมที่จะโจมตีซู่จี้งยี้อีกครั้ง
แต่ซู่จี้งยี้เคยฝึกศิลปะการต่อสู้มาก่อน เหมือนกับผู้คุ้มกัน เขาจึงไม่เห็นคนเหล่านี้อยู่ในสายตา แล้วจัดการพวกเขาจนล้มลงไปนอนคว่ำกับพื้นอย่างรวดเร็วและง่ายดาย ไม่ว่าจะลุกอย่างไรก็ลุกขึ้นมาไม่ได้
ซู่จี้งยี้เหยียบเท้าข้างหนึ่งลงบนแผ่นหลังของผู้คุ้มกันด้วยท่าทางที่สง่างาม จากนั้นควักโทรศัพท์มือถือออกมาโทรหาตำรวจ
กลางวันแสกๆ แท้ๆ แต่กลับพูดจาแทะโลมลวนลามสุภาพสตรีจำเป็นต้องส่งให้ตำรวจจัดการ
หลังจากที่วางสาย ซู่จี้งยี้ก็ยังคงภาคภูมิใจที่ตนเองสามารถล้มผู้คุ้มกันเหล่านี้ได้ แต่พอได้ยินเสียงถวนจื่อร้องเรียกแม่ไม่หยุดเขาถึงได้สติกลับมาแล้วมองไปที่เจียงหยุนเอ๋อ
เจียงหยุนเอ๋อในเวลานี้ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง สวมเสื้อผ้าไม่เรียบร้อย จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ในแววตาของเธอมีความตื่นตระหนกและหวาดระแวง แถมยังตัวสั่นอยู่เล็กน้อยและใช้มือกุมเสื้อผ้าตรงหน้าอกอย่างแน่น
เสียงหัวเราะที่แฝงด้วยเจตนาชั่วร้ายของผู้คุ้มกันพวกนั้นยังดังก้องอยู่ในหัวของเจียงหยุนเอ๋อ รวมถึงใบหน้าที่อัปลักษณ์นั้นของพวกเขาด้วย
“อย่า อย่า”เจียงหยุนเอ๋อเริ่มพูดพรึมพรําขึ้นอีกครั้ง
ถวนจื่อเพิ่งเคยเห็นหม่ามี้ของตนเองเป็นแบบนี้ครั้งแรก เขาทั้งร้อนใจทั้งเป็นกังวล แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ จึงตกตะลึงจนตัวเองร้องไห้ออกมา จากนั้นซุกหน้าลงบนร่างของเจียงหยุนเอ๋อแล้วพูดอย่างปลอบโยนว่า: “หม่ามี้ ไม่ต้องร้องแล้วนะครับ”
ซู่จี้งยี้รีบถอดเสื้อคุมตัวนอกของตนออกมาแล้วยื่นให้เจียงหยุนเอ๋อ: “คลุมไว้ก่อนนะครับ ผมจะพาพวกคุณกลับบ้าน”
เจียงหยุนเอ๋อเงยหน้าขึ้น เมื่อแน่ใจว่าซู่จี้งยี้ไม่ทำร้ายตนแน่นอน จึงยื่นมือที่สั่นเทาออกไปรับเสื้อคลุม: “ขอบคุณค่ะ”
พอซู่จี้งยี้เห็นรอยฟกช้ำน้อยใหญ่บนตัวเธอ แล้วยังมีบาดแผลอีก สุดท้ายจึงเปลี่ยนใจ: “ผมจะพาพวกคุณไปที่โรงพยาบาลก่อนดีกว่า แล้วไปทำแผลให้เรียบร้อย”
เจียงหยุนเอ๋อลังเลอยู่สักพัก ก่อนจะพยักหน้าอย่างช้าๆ แล้วอุ้มถวนจื่อขึ้นมา
ซู่จี้งยี้เห็นว่าเจียงหยุนเอ๋อรับความตกใจไม่น้อย แถมยังเพิ่งจะต่อสู้ขัดขืนมาอีก ตอนนี้จะต้องอ่อนล้าอย่างแน่นอน จึงยื่นสองมือของตนเองออกไป: “ให้ผมอุ้มคุณชายน้อยเถอะครับ”
พอเห็นว่าซู่จี้งยี้ทำท่าจะอุ้มถวนจื่อ เจียงหยุนเอ๋อก็รีบหันไปอีกด้านและส่ายหน้าสุดชีวิต
เธอกำเสื้อผ้าของถวนจื่อไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
เธอกลัวว่าถ้าปล่อยไปอีกครั้งเธอจะสูญเสียถวนจื่อไป
ซู่จี้งยี้ช่วยเจียงหยุนเอ๋อเปิดประตูรถและพยุงเธอขึ้นไป
หลังจากที่ซู่จี้งยี้ปิดประตูรถเสร็จ ก็ไม่รอช้ารีบสตาร์ทรถและขับไปที่โรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว
ในตอนที่อยู่บนรถเจียงหยุนเอ๋อก็ยังคงกอดถวนจื่อไม่ยอมปล่อย แต่พอออกจากวิลล่าของลี่จีถองมาได้สักพัก เจียงหยุนเอ๋อถึงได้ผ่อนคลายลงบ้าง
เจียงหยุนเอ๋อปล่อยถวนจื่อที่อยู่ในอ้อมแขน: “ถวนจื่อ ลูกไปนั่งด้านข้างก่อนได้ไหม?”
ถวนจื่อฉลาดมาก ดวงตากลมโตใสแจ๋วมองเจียงหยุนเอ๋ออย่างเป็นกังวล
ถึงแม้เจียงหยุนเอ๋อจะปล่อยถวนจื่อแล้ว แต่มืออีกข้างหนึ่งก็ยังคงกุมมือเล็กๆ ของถวนจื่อไว้แน่นไม่ยอมปล่อย เพราะลึกๆ เธอกลัวว่าถ้าปล่อยไปแล้ว ถวนจื่อจะถูกคนอื่นพาไปอีก
บรรยากาศในรถเปลี่ยนเป็นเงียบสงบมาก ด้วยสภาพแวดล้อมที่สงบเงียบจึงทำให้เจียงหยุนเอ๋อผ่อนคลายลงมาบ้าง
เจียงหยุนเอ๋อรู้สึกแค่เพียงว่าศีรษะของเธอหนักอึ้ง ก่อนที่เธอจะค่อยๆ หลับไป
แต่ไม่รู้ว่าทำไมที่หว่างขาของเธอกลับมีเลือดสีแดงไหลออกมา
ถวนจื่อที่นั่งอยู่ด้านข้าง จู่ๆ ก็ได้กลิ่นคาวเลือดรุนแรง
ในขณะที่เขากำลังดมอยู่ ก็เห็นว่ามีเลือดไหลในรถ
ถวนจื่อตื่นตระหนกไปสักพัก ก่อนจะรีบร้องของความช่วยเหลือจากซู่จี้งยี้: “คุณลุงซู่ หม่ามี้เลือดออกแล้ว หม่ามี้เลือดออกแล้ว”
ซู่จี้งยี้เหลือบมองดูที่กระจกหลังแวบหนึ่ง ก็เห็นเจียงหยุนเอ๋อฟุบนอนอย่างอ่อนแรงอยู่ในรถ จึงไม่เห็นว่าเธอเลือดออกที่ตรงไหน แต่เขาก็รีบเหยียบคันเร่งให้เร็วที่สุด
หลังจากที่มาถึงโรงพยาบาล ซู่จี้งยี้ก็รีบลงจากรถ ในตอนที่เปิดประตูก็เห็นรอยเลือดที่นองอยู่ในรถ จึงร้องว่าแย่แล้ว
และรีบอุ้มเจียงหยุนเอ๋อขึ้นมาแล้วเดินเข้าไปในโรงพยาบาล
ถวนจื่อเดินตามหลังซู่จี้งยี้และมองเลือดสดๆ ที่หยดไปตามพื้น ถวนจื่อรู้สึกราวกับหัวใจของตนเองก็กำลังมีเลือดไหลอยู่เช่นเดียวกัน
เขาเริ่มนึกเสียใจภายหลัง ทำไมตอนนั้นตนเองต้องฟังที่ผู้หญิงชั่วคนนั้นพูดด้วย ทำไมถึงเชื่อเธอง่ายขนาดนั้น
ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าผู้หญิงชั่วคนนั้นมีท่าทีที่ไม่ดีกับหม่ามี้มาก แต่ตนเองก็ยังเชื่อเธอ