บทที่ 133 อย่าให้เขาถูกรังแกเด็ดขาด
เจียงหยุนเอ๋อเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ“ไม่มีค่ะ”
“แม่เห็นวันนี้ลูกแปลกๆ รู้สึกว่าถูกคนรังแกมา”ทุกการกระทำของลูกสาว และทุกความคิดจะพลาดสายตาคนเป็นแม่ได้อย่างไร
เจียงหยุนเอ๋อรู้สึกสะดุ้งตกใจที่ซูม่านลีดูเธอออก“เป็นเรื่องงานค่ะ ไม่เป็นอะไร”
ซูม่านลีแตะเบาๆที่มือของเจียงหยุนเอ๋อ“ถ้าอย่างนั้นก็ดี มีอะไรต้องบอกแม่นะ ได้ยินหรือยัง?”
เจียงหยุนเอ๋อพยักหน้า “คุณแม่ อีกสองสามวันก็จะถึงวันเกิดแม่แล้ว แม่อยากได้ของขวัญอะไรคะ?”
ซูม่านลียิ้มพลางส่ายหัว “ตอนนี้แม่ไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น สิ่งเดียวที่อยากได้คือเห็นลูกกับถวนจื่อมีความสุข ได้ใช้ชีวิตที่สงบสุขไม่ถูกพ่อสารเลวใช้เป็นเครื่องมือกอบโกยผลประโยชน์ ถวนจื่อยังเด็กมาก อย่าให้เขาถูกรังแกเด็ดขาดนะ”
ซูม่านลีนึกถึงสามีของตนก็กัดฟันขึ้นมา เป็นเพราะตอนสาวๆตาบอด ถึงได้ไปรักผู้ชายอย่างนี้เข้า
ยังไม่พูดถึงเรื่องมีเมียน้อยข้างนอก แต่กลับทำกับลูกสาวแท้ๆได้ลงคอ
“วางใจได้ค่ะแม่ หนูดูแลถวนจื่อได้อยู่แล้ว”เจียงหยุนเอ๋อพยักหน้า
เจียงหยุนเอ๋อนึกขึ้นได้ว่ายังมีสร้อยคออีกเส้นหนึ่งที่เก็บไว้ในบ้านตระกูลเจียง เคยได้ยินซูม่านลีบอกว่า สร้อยคอเส้นนั้นเป็นมรดกที่คุณตาคุณยายมอบให้ จึงเป็นสิ่งที่ซูม่านลีหวงแหนเป็นอย่างมาก
หลังจากที่ซูม่านลีนอนอยู่ที่โรงพยาบาลก็ไม่ได้กลับไปที่นั่นอีกเลย
เจียงหยุนเอ๋อคิดว่าหากนำสร้อยคอเส้นนี้กลับมาเป็นของขวัญวันเกิดให้ซูม่านลี ซูม่านลีต้องดีใจแน่ๆ
เมื่อคิดสิ่งนี้ได้ เจียงหยุนเอ๋อคุยกับซูม่านลีต่ออีกสองสามประโยค จากนั้นก็บอกว่าตนยังมีธุระออกไปโรงพยาบาลก่อน
จากนั้นเธอก็กลับมาที่บ้านตระกูลเจียง
เมื่อมาถึงบ้านตระกูลเจียงพบว่าฟู้ชูเหม่ยกับเจียงหนิงเอ๋อก็อยู่บ้านด้วย
“อุ๊ย นี่ใครกัน?”ฟู้ชูเหม่ยเห็นเจียงหยุนเอ๋อเดินเข้ามาในบ้าน จึงพูดด้วยเสียงที่ดังลั่น
เจียงหนิงเอ๋อที่นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ที่โซฟา เงยหน้ามองเจียงหยุนเอ๋ออย่างดูถูกแวบหนึ่ง
ส่วนเจียงเย่เฉิงถึงแม้จะไม่ได้เต็มใจเป็นพิเศษ แต่ก็ยังคงเอ่ยปากถามว่า“ลูกกลับมาทำอะไร?”
“หนูกลับมาเอาของก็จะออกไปแล้ว”เจียงหยุนเอ๋อพูดพลางเดินเข้ามา
เห็นพ่อบังเกิดเกล้าของตนไม่ได้มีความดีใจที่ได้พบหน้าเลยสักนิด เหมือนราวกับเจอหน้าคนแปลกหน้าอย่างนั้น
ฟู้ชูเหม่ยนั่งอยู่บนโซฟาอย่างสง่าผ่าเผยได้เปลี่ยนท่านั่งใหม่ “บ้านที่ต่ำต้อยของพวกเราจะไปมีของที่ถูกคนอุ้มชูต้องการได้อย่างไร”
เจียงหยุนเอ๋อทำเหมือนไม่ได้ยิน เดินขึ้นตึกไป
ฟู้ชูเหม่ยเห็นแล้วไม่พอใจยิ่งนัก ตนกำลังคุยกับเจียงหยุนเอ๋ออยู่ แต่เธอกลับเห็นตนเป็นอากาศซักงั้น?
ฟู้ชูเหม่ยรีบลุกขึ้นยืนจากโซฟาทันที “หยุดเดี๋ยวนี้นะ ฉันยังไม่ได้ยินยอมให้เธอขึ้นไปสักหน่อย”
เจียงหยุนเอ๋อไม่ได้สนใจเธอเลยสักนิดเดียว แต่กลับเดินเข้าห้องเก็บของโดยตรง
ตั้งแต่ฟู้ชูเหม่ยมาอยู่ที่บ้านตระกูลเจียง เธอก็ได้นำสิ่งของของซูม่านลีไว้ที่ห้องเก็บของตรงนี้
เมื่อเจียงหยุนเอ๋อเดินเข้ามาถึงห้องเก็บของ รู้สึกว่ามีฝุ่นบินลอยมาเกาะจมูกของตน จนทำให้ต้องสำลัก
เห็นทีว่าห้องนี้ไม่มีคนเข้ามานานเสียแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้สร้อยคอของซูม่านลีคงจะยังอยู่ที่นี่แหละ
เจียงหยุนเอ๋อเริ่มค้นหาโดยไม่ได้ปริปากพูดสักคำเดียว
“เธอหูหนวกแล้วเหรอ?ที่นี่เป็นบ้านของฉัน เธอมาที่ห้องนี้ ฉันยังไม่ได้อนุญาตเลย”ขณะนี้ฟู้ชูเหม่ยเอามือกอดอกแล้วยืนพิงอยู่หน้าประตู
เจียงหยุนเอ๋อยังคงเลือกที่จะไม่สนใจเหมือนเดิม
ฟู้ชูเหม่ยรู้สึกสงสัย เจียงหยุนเอ๋อกำลังหาของอะไรอยู่ตรงนี้ “เธอกำลังหาอะไรอยู่?ของพวกนี้เป็นของผู้หญิงแซ่ซูที่ไม่มีค่าอะไรเลย”
และในเวลานี้ เจียงหยุนเอ๋อหาสร้อยคอของซูม่านลีเจอในลิ้นชักลับที่อยู่ด้านในของโต๊ะเครื่องแป้ง
เจียงหยุนเอ๋อรู้สึกโล่งใจ ถึงแม้จะเสียเวลาลงทุนหาไปบ้าง แต่ก็ยังดีที่ยังหาเจอจนได้
เจียงหยุนเอ๋อดึงสร้อยคอขึ้นมา พลางใช้เสื้อตัวเองเช็ดถู
ฟู้ชูเหม่ยเห็นสร้อยคอเส้นนั้นแล้วก็ตาโต ซึ่งในแววตาเต็มไปด้วยความโลภ
เมื่อดูแวบเดียวก็รู้ว่าสร้อยคอเส้นนี้ราคาไม่ธรรมดาเลยทีเดียว เธอคาดไม่ถึงว่า จากที่เธอเคยเก็บยึดเครื่องประดับของยัยบ้านั้นแล้ว ตอนนี้ยังมีของหลงเหลืออยู่อีก
และมาดูจี้ที่สอดใส่อยู่ตรงสร้อยคอ คงจะมีราคาแพงเช่นกัน จึงคิดว่าจะไม่ให้เจียงหยุนเอ๋อเอาไป
เจียงหยุนเอ๋อกำสร้อยคอไว้ที่มือแล้วเดินออกไป
ตอนแรกฟู้ชูเหม่ยกำลังคิดหาวิธีให้เจียงหยุนเอ๋อเอาสร้อยคอไว้ที่นี่ แต่พอรู้ตัวอีกทีก็พบว่าเจียงหยุนเอ๋อได้ออกจากห้องเก็บของเสียแล้ว จึงรีบตามไปทันที
“เธอหยุดเดินเดี๋ยวนี้เลย เอาสร้อยคอมานี่”ฟู้ชูเหม่ยตะโกนเรียก
เจียงหนิงเอ๋อเห็นว่าแม่ของตนคิดจะรั้งตัวเจียงหยุนเอ๋อไว้ จึงรีบลุกขึ้นมายืนขวางทางเจียงหยุนเอ๋อทันที
เจียงหยุนเอ๋อจ้องเขม็งเจียงหนิงเอ๋อแวบหนึ่ง “คุณคิดจะทำอะไร?”
“คุณไม่ได้ยินแม่ฉันกำลังเรียกคุณอยู่เหรอ?”เจียงหนิงเอ๋อพูดอย่างกับถูกต้องตามหลักมนุษยธรรม
เจียงหยุนเอ๋อหันหลังกลับไป
มองฟู้ชูเหม่ยที่กำลังเดินลงมาจากบันได พลางพูดเย้ยหยันว่า“คุณมายึดที่คนอื่นยังไม่พอ ยังโลภมากอยากได้แม้กระทั่งของของแม่ฉันอีกเหรอ คุณรู้จักคำว่าละอายใจบ้างไหม?”
ถูกเจียงหยุนเอ๋อต่อว่าเช่นนี้ แต่ฟู้ชูเหม่ยเหมือนจะไม่รู้สึกอับอายแม้แต่นิดเดียว “อันนี้เป็นของที่อยู่ในห้องของบ้านฉัน จึงถือว่าเป็นของบ้านฉัน เธอจะเอาไปไม่ได้”
เจียงหยุนเอ๋อรู้สึกทนไม่ได้กับความไร้ยางอายของฟู้ชูเหม่ย“อันนี้เป็นของแม่ฉัน คุณมีสิทธิ์อะไรมาบอกว่าเป็นของตัวเอง?”
“อยู่ที่บ้านฉันก็เลยต้องเป็นของฉัน”ฟู้ชูเหม่ยพูดพลางกระโจนเข้าหาเจียงหยุนเอ๋อ เพื่อที่จะแย่งสร้อยคอเส้นนั้นกลับมา
แต่ว่ายังดีที่เจียงหยุนเอ๋อได้เตรียมตัวไว้แล้ว เพียงแค่ค่อยๆเอียงกายไปด้านข้างก็สามารถหลบฟู้ชูเหม่ยได้แล้ว
เจียงหยุนเอ๋อดึงสร้อยคอในมือออกมา จากนั้นมองไปที่เจียงเย่เฉิง พลางพูดอย่างดูถูกเหยียดหยามเป็นอย่างมากว่า
“อะไรกัน?แม้กระทั่งของชิ้นเดียวของภรรยาเก่ายังคิดจะเอาไปอีกเหรอ?”
เจียงเย่เฉิงเห็นสร้อยคอเส้นนี้ก็รู้ว่าเป็นเส้นที่ซูม่านลีชื่นชอบเป็นอย่างมาก ตอนที่แต่งมาอยู่กับตนยังหวงจนไม่เอาออกมาใส่ บอกว่าซ่อนเก็บไว้แล้ว
ถ้าตนยังเอาของอย่างนี้ไว้ คงต้องถูกคนด่าว่าอย่างแน่นอน
เมื่อคิดถึงจุดนี้ สีหน้าของเจียงเย่เฉิงก็ไม่สู้ดีนัก พูดด้วยความตำหนิว่า “ชูเหม่ยคุณหลบไป ให้เธอเอาของออกไปเถอะ”
ฟู้ชูเหม่ยทำปากมุ่ย และยังมองเจียงเย่เฉิงอย่างออดอ้อน เธอคิดไม่ถึงว่าเจียงเย่เฉิงจะเข้าข้างเจียงหยุนเอ๋อ
“เร็วๆ”เห็นได้ชัดว่าเจียงเย่เฉิงรู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมาบ้างแล้ว
ถึงแม้ฟู้ชูเหม่ยจะไม่ได้ยินดีอะไรเลย แต่สุดท้ายก็ได้แต่หลบทางให้ด้วยความเกลียดชัง
เจียงหนิงเอ๋อก็หลบไปอย่างรู้ความ ซึ่งในใจก็ยังคงอยากได้สร้อยคอเส้นนั้นอย่างล้นหลาม
ตอนที่ได้เห็นอย่างใกล้ชิดก็เกิดอาการอยากจะแย่งมาให้รู้แล้วรู้รอดกันไปเลย
แต่เจียงเย่เฉิงพูดเช่นนี้แล้ว เธอก็พูดอะไรไม่ได้ จึงต้องหลบทางให้แต่โดยดี
เจียงหยุนเอ๋อเห็นเจียงเย่เฉิงให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เจียงหยุนเอ๋อจึงยิ้มเย็น พลางเก็บสร้อยคอเข้ากระเป๋าของตนอย่างระมัดระวัง
เห็นคนพวกนี้ไม่ได้รั้งตนอีกต่อไป เจียงหยุนเอ๋อจึงเตรียมจะออกไปจากบ้าน
ผลปรากฏว่าพอเดินมาถึงห้องโถง พอดีมีคนรับใช้ยกน้ำชามา ซึ่งถือว่ายังคงมีมารยาทต่อเธอ “คุณหนูใหญ่ค่ะ ไม่ดื่มชาให้หมดก่อนแล้วค่อยไปเหรอคะ?”