บทที่381 ชดใช้ด้วยชีวิต
นี่เป็นบ้านอีกหลังหนึ่งที่ถูกซื้อไว้ในชื่อของเจียงเย่เฉิง ทว่าสภาพโดยรอบเทียบกับคฤหาสน์หลังเก่าไม่ได้เลยสักนิด ถึงแม้จะจ้างคนมาดูแล้วก็ตาม แต่เนื่องจากไม่มีคนอยู่มาเป็นเวลานานจึงทำให้ที่นี่ค่อนข้างเงียบเหงาวังเวง
“ต่อจากนี้ไปพวกเราต้องอยู่ที่นี่หรอ?”
หลังจากที่ขนกระเป๋าเดินทางเข้ามา ฟู้ชูเหม่ยก็มองจ้องจับผิดไปทั่วบ้าน
เธอเคยชินกับการอยู่ในบ้านที่มีสภาพโดยรอบหรูหรา ฉะนั้นบ้านหลังนี้จึงไม่เข้าตาเธอมากนัก
“อืม”เจียงเย่เฉิงขานตอบอย่างเฉยชา
ตอนนี้เขาแทบไม่สนใจแล้วว่าฟู้ชูเหม่ยกำลังคิดอะไร สำหรับเขาการมีที่ให้ซุกหัวนอนก็ถือว่าดีแค่ไหนแล้ว เขาไม่กล้าจู้จี้เรื่องมากหรอก
สุดท้ายเจียงเย่เฉิงแลฟู้ชูเหม่ยก็ลงเองด้วยการพักอยู่ที่นี่
เนื่องจากมีปัญหาทางด้านการเงิน เจียงเย่เฉิงจึงเลิกจ้างคนรับใช้และคนขับรถ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ไม่มีใครมาคอยบริการรับใช้เหมือนทุกๆวัน ไม่นานฟู้ชูเหม่ยก็เริ่มทนไม่ไหว
เจียงเย่เฉิงขลุกตัวอยู่ในบ้านทุกวัน เขาไม่ทำงานและก็ไม่คิดถึงอนาคตของตัวเองด้วย
ทว่าเมื่อเห็นฟู้ชูเหม่ยเริ่มออกไปเที่ยวอยู่ข้างนอกนานขึ้นเรื่อยๆ เจียงเย่เฉิงก็เริ่มเอะใจขึ้นมา คิดไปคิดมาเขาก็เลยจะรอให้ฟู้ชูเหม่ยกลับมาก่อนจะได้ถามให้ชัดเจนกันไป
ไม่รู้ว่าวันนี้ฟู้ชูเหม่ยออกไปที่ไหนอีก ดึกป่านนี้แล้วยังไม่กลับมาเลย
เจียงเย่เฉิงตัดสินใจโทรหาเธอ แต่กลับถูกเธอตอบกลับแบบขอไปที
เดิมทีเจียงเย่เฉิงกำลังจะเตรียมตัวเข้านอนแล้ว แต่สุดท้ายก็ถูกเรื่องของฟู้ชูเหม่ยกวนใจ เขาจึงนั่งรอให้ฟู้ชูเหม่ยกลับมาก่อน จากนั้นค่อยถามให้ละเอียดดีกว่า
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ จู่ๆประตูก็ถูกผลักเปิดออก ฟู้ชูเหม่ยเดินเอี๊ยดอ๊าดเข้ามา พอเจอเข้ากับเจียงเย่เฉิงที่นั่งรออยู่ที่โซฟา เธอจึงมีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย
“คุณยังไม่นอนอีกหรอ?”
เจียงเย่เฉิงมองไปที่เธออย่างเย็นชาแล้วพูดออกไปเชิงประชดประชัน “นี่รู้จักกลับมาบ้านด้วยหรอ? ”
ฟุ้ชูเหม่ยสีหน้าเปลี่ยนทันที เธอพูดว่า “นี่คุณหมายความว่ายังไง?”
“ที่ผมพูดหมายความว่ายังไงงั้นเหรอ?” เจียงเย่เฉิงลุกพรวดขึ้นจากโซฟา “คุณยังมีหน้ามาถามอีกหรอ? หลายวันมานี้คุณมัวแต่ออกไปเที่ยวเตร่อยู่ข้างนอก คิดว่าผมไม่รู้หรอ? ”
ฟู้ชูเหม่ยแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาแวบหนึ่ง แต่เธอก็หันหน้าหนีอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็พูดขึ้น “ฉันก็แค่ออกไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนนิดหน่อย แปลกตรงไหน?”
“หึ จำเป็นต้องออกไปข้างนอกทุกวันเลยว่างั้น? ต้องเที่ยวทุกวันเลยหรอ? ” เจียงเย่เฉิงยิ้มออกอย่างอย่างเยือกเย็น และไม่ได้หยุดพูดเพียงแค่นั้น
ในที่สุดคำถามจู้จี้จุกจิกขอเขาก็ทำให้ฟู้ชูเหม่ยรู้สึกรำคาญขึ้นมาจริงๆ “คุณพูดจบรึยัง?ตัวเองไร้ความสามารถแท้ๆ ยังมีหน้ามาว่าฉันอีก? ”
“ไร้ความสามารถ” คำๆนี้พังทลายศักดิ์ศรีของเจียงเย่เฉิงเข้าอย่างจัง เขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาทันที “ถ้าคุณกล้าก็พูดอีกครั้งสิ!”
ฟู้ชูเหม่ยแค่นเสียงหึออกมาแล้วเดินออกไปโดยไม่ปรายตามองเจียงเย่เฉิงด้วยซ้ำ
เจียงเย่เฉิงยืนตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ
ซักพักฟู้ชูเหม่ยก็ปรากฏตัวขึ้นในสายตาเขาอีกครั้งพร้อมกับกระเป๋าเดินทางในมือหนึ่งใบ
“ช่วงนี้ฉันจะออกไปเที่ยวพักผ่อนซักหน่อย คุณไม่ต้องตามหาฉันนะ” พูดจบฟู้ชูเหม่ยก็หันหลังจากไปโดยไม่แม้แต่จะชายตามองสีหน้าของเจียงเย่เฉิง
เจียงเย่เฉิงทั้งโมโหทั้งอายจึงตะโกนออกไป “หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
ฟู้ชูเหม่ยไม่มีปฏิกิริยาอะไรตอบกลับทั้งสิ้น และไม่แม้แต่จะหยุดเดินด้วย
“เพล้ง!”
หลังจากที่แผ่นหลังของฟู้ชูเหม่ยค่อยๆเลือนหายออกไปจากสายตา เจียงเย่เฉิงก็หยิบแก้วบนโต้ะขึ้นมาแล้วเขวี้ยงลงไปบนพื้นจนแตกกระจาย
แม่งเอ้ย!ครอบครัวดีๆ จะแตกหักกันอย่างนี้จริงๆหรอ?
ตอนนี้เจียงเย่เฉิงไม่รู้จะพูดอะไรดี และไม่รู้เลยว่าจะบรรยายความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้ออกมายังไง
หลังจากที่ฟู้ชูเหม่ยจากไป บ้านก็ยิ่งเงียบเหงากว่าเดิมอีก เจียงเย่เฉิงทำได้เพียงแต่ขลุกตัวอยู่ในบ้าน ไม่ออกไปไหน และไม่ลุกไปทำอะไรเลย
ผ่านไปอีกสองวัน เจียงเย่เฉิงที่กำลังนั่งเหม่ออยู่โซฟาก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น
เจียงเย่เฉิงขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย แล้วเดินไปเปิดประตู พอเห็นกลุ่มคนที่ยืนอยู่ด้านนอกเขาก็รู้เลยทันทีว่าพวกมันไม่ได้มาดีแน่
เจียงเย่เฉิงเริ่มระมัดระวังตัวขึ้นมาทันที “พวกคุณเป็นใคร?”
“แกคือสามีของฟู้ชูเหม่ยใช่ไหม?ภรรยาของแกเป็นหนี้ที่บ่อนของเรากว่าสิบล้าน หล่อนบอกให้พวกเรามาเอาที่แก”
เจียงเย่เฉิงตื่นตระหนกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “อะไรนะ?ฉัน ฉันไม่มีเงินหรอก!ถ้าพวกคุณต้องการเงินก็ไปเอาที่เธอสิ!จะมาหาผมทำไม!”
พวกอันธพาลที่ยืนอยู่ข้างนอกสามสี่คนต่างจ้องมาที่เขาอย่างเลือดเย็น และดูเหมือนว่าพวกมันจะไม่เชื่อคำพูดของเขาซักเท่าไหร่ด้วย พวกมันเอื้อมมือไปผลักเจียงเย่เฉิง “ถ้าไม่มีเงินมาคืน ก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิตน่ะสิ?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้เจียงเย่เฉิงก็ยิ่งร้อนรนมากกว่าเดิม เขาเริ่มสั่นเทิ้มไปทั้งตัวอย่างอดไม่ได้
ชดใช้ด้วยชีวิต…….
ไม่ได้นะ!
“ขอ ได้โปรด ปล่อยผมไปเถอะ!ผมไม่มีเงินจริงๆ!”
ไอ้หัวหน้าของแก๊งอันธพาลปรายตามองเขาอย่างเหยียดหยาม จากนั้นก็ยกเท้าขึ้นมาแล้วเตะเข้าไปที่เขาเต็มแรง “เลิกพล่ามสักที”
พอไม่มีเจียงเย่เฉิงขวางทางอยู่ พวกกลุ่มอันธพาลก็บุกเข้ามาอย่างรวดเร็ว พวกเขาขนเอาของมีค่าในบ้านออกไป
เมื่อเห็นหนึ่งในนั้นกำลังจะยกภาพวาดบนผนังออก เจียงเย่เฉิงก็รีบวิ่งเข้าไปขวางทันที
“เดี๋ยวก่อน!เอาภาพนั้นไปไม่ได้นะ!”
เจียงเย่เฉิงประมูลภาพวาดนั้นมาในราคาสูงหลายสิบล้านเมื่อตอนที่เขายังมีเงินอยู่มากมาย ฉะนั้นเขาจึงไม่อาจปล่อยให้คนพวกนี้เอาไปได้ง่ายๆ
ทว่าอย่างไรก็ตามเขาคนเดียวไม่อาจหยุดการกระทำของคนพวกนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังโดนกระทืบไปอีกยกใหญ่เพราะเข้าไปขวาง ทั้งใบหน้าและร่างกายของเขาบอบช้ำไปหมด
“พวก…….พวกแกทำแบบนี้!บาปกรรมจะต้องตามสนองพวกแกแน่!” เจียงเย่เฉิงนั่งทรุดลงกับพื้นพร้อมกับชี้นิ้วไปที่คนกลุ่มนั้นด้วยมือที่สั่นเทา
ทว่าคนพวกนั้นก็ขี้เกียจจะต่อปากต่อคำกับเขาแล้ว ทุกคนต่างตั้งใจหาของมีค่าในบ้านอย่างเอาจริงเอาจัง
หลังจากขนของมีค่าในบ้านออกมาจนหมด พวกเขาถึงได้หันมามองเจียงเย่เฉิง สายตาที่มองมานั้นทำเจียงเย่เฉิงสั่นสะท้านขึ้นมาทันที
“พวกแก……พวกแกคิดจะทำอะไร……” เจียงเย่เฉิงถอยครูดไปข้างหลังอย่างไม่รู้ตัว
“เมื่อกี้แกว่าอะไรนะ?บอกว่าพวกเราจะโดนกรรมตามสนองใช่ไหม?”
เจียงเย่เฉิงกลัวจนเหงื่อแตกพลั่ก เขาส่ายหน้าปฏิเสธอย่างร้อนรน “ไม่ ไม่ใช่ ผมไม่ได้……”
ขณะที่กำลังพูดอยู่ จู่ๆก็มีคนเดินออกมาผลักเขาอย่างแรง เขาล้มลงหัวฟาดกับพื้นทันที ไม่นานเลือดก็ไหลนองเต็มพื้น