วันรุ่งขึ้น ก่อนเปิดกล้องถ่ายภาพยนตร์ อี้อวิ๋นฉังมาหาช่างฝ่ายอุปกรณ์การแสดงของกองถ่าย
“คุณหลิน ไม่ทราบว่าต้องการให้ผมทำอะไรครับ? มีอะไรคุณสั่งได้เต็มที่เลยครับ” ช่างพูดกับอี้อวิ๋นฉังอย่างนอบน้อม
ตอนนี้อี้อวิ๋นฉังก็คือหลินหว่าน เธอเป็นนางเอกของหนังเรื่องนี้ เป็นแฟนสาวของเซียวจิ่งสือ เป็นคนที่มีภูมิหลังแข็งปั๋งที่สุดในกองถ่าย ทั้งกองพากันเอาอกเอาใจเธอ ด้วยเกรงว่าจะทำให้เธอไม่พอใจ
อี้อวิ๋นฉังเห็นว่ารอบข้างไม่มีคน ก็กระซิบที่ข้างหูช่างอุปกรณ์ บอกเล่าแผนการของเธอออกมา
ที่ไหนได้พอช่างได้ฟังแล้วก็หวาดหวั่นขึ้นมา พูดกับอี้อวิ๋นฉังว่า “คุณหลิน ท…ทำไม่ได้หรอกครับ สลิงค์ห้อยโหนถ้าตัดสั้นแล้วจะอันตรายมาก นอกจากนี้ อาจทำให้ถึงตายได้นะครับ ผมรับผิดชอบไม่ไหวหรอกครับ!”
อี้อวิ๋นฉังขมวดคิ้ว พูดอย่างไม่พอใจมากๆ ว่า “บอกให้แกตัดก็ตัดสิ เรื่องมากไปได้! เกิดเรื่องขึ้นฉันรับผิดชอบเอง แกก็ทำไปเถอะ”
“ต…แต่ว่า…” แต่ว่าถ้าเกิดเรื่องขึ้น เขาจะตกงานเอานะสิ ช่างอึกอักพูดไม่ออก ตัดสินใจไม่ได้
อี้อวิ๋นฉังพูดอีกว่า “ฉันจะบอกให้นะ คนหนุนหลังฉันแกก็รู้ดีนี่ เรื่องนี้ถ้าแกไม่ทำ ฉันก็หาคนมาทำแทนแกได้ แกลองคิดดูให้ดีนะ!”
ความหมายของอี้อวิ๋นฉังก็คือ ใช้หน้าที่การงานมาข่มขู่เขา ถ้าไม่ตัดสายสลิงค์ ‘หลินหว่าน’ จะทำให้เขาตกงาน ตัดสายสลิงค์ ถ้าไม่เกิดเรื่องก็ไม่แน่ว่าจะตกงาน ช่างคิดดูแล้วตอบว่า “งั้นก็ได้ครับ คุณหลิน ผมจะทำตามที่คุณบอกก็แล้วกัน”
“แกสบายใจได้ ถึงตอนนั้นขอเพียงแกยืนยันว่าสายสลิงค์ขัดข้องก็ได้แล้ว เรื่องอื่นแกไม่ต้องห่วง” พอเห็นว่าช่างตอบตกลง อี้อวิ๋นฉังก็พอใจมาก ฝากคำพูดนี้ไว้แล้วจากไป
อินเสี่ยวเสี่ยวเป็นตัวแสดงแทนของอี้อวิ๋นฉัง ดังนั้นฉากแรกอินเสี่ยวเสี่ยวก็เริ่มแสดงเลย เพราะฉากแรกเป็นฉากต่อสู้
คนทำงานผูกลวดสลิงค์ให้อินเสี่ยวเสี่ยว พอจัดเตรียมเสร็จ ผู้กำกับมองผ่านกล้องเห็นอินเสี่ยวเสี่ยวไม่ได้มีท่าทีตื่นกลัวเลย ก็แอบนึกชมความกล้าหาญชาญชัยของเธออยู่ในใจ ดูไปแล้วไม่เหมือนเป็นมือใหม่เอาซะเลย แถมยังเป็นตัวแสดงแทนซะอีก ท่าทางนิ่งและหนักแน่นของเธอเหมือนกับผ่านการแสดงมาไม่น้อยแล้วอย่างนั้น
“เออะ” ผู้กำกับได้สติกลับมา ถามอินเสี่ยวเสี่ยวว่า “อี้อวิ๋นฉัง เป็นไงบ้าง? เธอพร้อมรึยัง?”
อินเสี่ยวเสี่ยวตอนนี้ใช้สถานภาพอี้อวิ๋นฉังเป็นตัวแสดงแทน พอได้ยินคำถามของผู้กำกับ อินเสี่ยวเสี่ยวก็ตอบกลับเสียงเรียบทั้งที่ในใจสับสนอยู่บ้าง “ฉันพร้อมแล้วค่ะ ผู้กำกับ”
“เอาล่ะ สาม สอง หนึ่ง แอ๊กชั่น!” ผู้กำกับร้องสั่งออกไป กล้องเริ่มถ่ายทำ ส่วนอี้อวิ๋นฉังนั่งเล่นมือถืออยู่ที่ด้านล่าง
สายลวดสลิงค์ค่อยๆ ถูกดึงขึ้นสูง ตามบท อินเสี่ยวเสี่ยวควรจะถือกระบี่ร่ายรำกระบวนท่าต่อสู้อย่างงดงามชุดหนึ่งอยู่กลางอากาศคนเดียว จากนั้นจบด้วยท่าเท่ห์ๆ เป็นอันจบฉากนี้
ใช่เลย ฉากนี้ของอินเสี่ยวเสี่ยวไม่มีบทพูด เพราะเธอเป็นแค่ตัวแสดงแทนเล็กๆ คนหนึ่งเท่านั้น
แต่ว่า อินเสี่ยวเสี่ยวเพิ่งถูกดึงขึ้นกลางอากาศ มือเธอถือกระบี่เพิ่งเริ่มขยับ ก็รู้สึกว่าลวดสลิงค์ไม่ค่อยนิ่ง จากนั้น เธอยังไม่ทันได้ตั้งหลักทำอะไร สายลวดสลิงค์เส้นหนึ่งที่ห้อยตัวอินเสี่ยวเสี่ยวอยู่ก็ขาดผึง เสียงดัง “ฟึ่บ” อินเสี่ยวเสี่ยวร่วงลงมาจากกลางอากาศ ตกกระแทกพื้น
“คัท! เกิดอะไรขึ้น? อี้อวิ๋นฉังเป็นไงมั่ง รีบไปดูเร็ว!” ผู้กำกับเห็นภาพนี้ผ่านทางจอมอนิเตอร์ เขาร้องตะโกนออกมาดังลั่น
ชั่วพริบตาเดียว คนทำงานทุกคนก็ห้อมล้อมเข้าหาอินเสี่ยวเสี่ยว “อี้อวิ๋นฉัง คุณไม่เป็นไรนะ?” “อี้อวิ๋นฉัง คุณเป็นยังไงบ้าง?” แต่ละคนถามเหมือนเป็นห่วงซะเหลือเกิน
แต่คนที่ตกลงมาจากที่สูงขนาดนั้น จะไม่เป็นไรได้ยังไงกัน?
หน้าผากอินเสี่ยวเสี่ยวปูดโนขึ้นมาเป็นก้อนใหญ่ เคราะห์ดีที่ตอนเธอตกลงมา ด้านล่างมีเบาะรองรับน้ำหนักไปส่วนหนึ่ง ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าอาการจะหนักหนาสาหัสขนาดไหน พอนึกถึงตรงนี้ อินเสี่ยวเสี่ยวก็นึกกลัวขึ้นมา
ผู้กำกับก็แหวกวงล้อมเข้ามาดู เขาตรวจดูอาการบาดเจ็บของอินเสี่ยวเสี่ยวแล้ว พอเห็นว่าแค่หัวโนก็ถอนใจอย่างโล่งอก เขาถามว่า “อี้อวิ๋นฉัง คุณไม่เป็นไรนะ”
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณค่ะผู้กำกับ” อินเสี่ยวเสี่ยวตอบ
“งั้นก็ดีแล้ว ฉันว่าอาการบาดเจ็บที่หน้าผากของเธอไม่มากนัก เรามาถ่ายกันต่อเถอะ” ผู้กำกับพูดขึ้น ถึงยังไงอี้อวิ๋นฉังก็เป็นแค่ตัวแสดงแทนของหลินหว่าน ต่อให้ถ่ายก็เห็นแค่ข้างหลังกับฉากระยะไกลเท่านั้น ไม่ต้องถ่ายใบหน้าของเธอ ผู้กำกับต้องการเร่งถ่ายให้ได้ตามแผนที่วางไว้ ไม่อยากมาเสียเวลากับนักแสดงตัวเล็กๆ อย่างเธอ
อินเสี่ยวเสี่ยวเพิ่งตกลงมาจากลวดสลิงค์เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ เธอยังนึกกลัวอยู่เลย พอเห็นว่าผู้กำกับให้เธอแสดงต่อ อินเสี่ยวเสี่ยวก็รู้สึกรับไม่ได้ จึงปฏิเสธไปว่า “แต่ว่า ผู้กำกับคะ ฉันเพิ่งตกลงมาจากสลิงค์ ยังปวดศีรษะอยู่เลย ฉันอยากจะขอไปตรวจที่โรงพยาบาลสักหน่อยค่ะ”
ผู้กำกับฟังแล้วก็ชักสีหน้าทันควัน “เป็นอะไรของเธอ? เมื่อครู่เธอยังบอกว่าไม่เป็นไรไม่ใช่รึไง? ทำไม ไม่อยากแสดงใช่ไหม? เธอคิดจะถ่วงเวลาคนอื่นเขารึไง?”
“ไม่ใช่นะคะ ผู้กำกับ…” อินเสี่ยวเสี่ยวยืนขึ้นคิดจะอธิบายกับผู้กำกับ แต่รู้สึกเจ็บแปลบขึ้น เธอสะดุ้งเฮือก สูดปากด้วยความเจ็บปวดอย่างลืมตัว อินเสี่ยวเสี่ยวดึงชุดแสดงของตัวเองขึ้น ท่อนขาเรียวยาวและขาวสะอาดทั้งคู่ภายใต้ชุดแสดงนั้น หัวเข่าทั้งสองข้างเขียวช้ำไปหมด เกิดจากเมื่อครู่ตกลงมากระแทกพื้นนั่นเอง
ผู้กำกับเห็นแล้วก็สีหน้าเปลี่ยนไปอยู่บ้าง จากนั้นได้ยินเสียงอี้อวิ๋นฉังดังใกล้เข้ามา “ผู้กำกับ มีอะไรหรือคะ? เกิดอะไรขึ้น?”
พอเห็นว่าเป็นหลินหว่าน ผู้กำกับก็รีบเล่าเรื่องทั้งหมดให้อี้อวิ๋นฉังฟัง
อี้อวิ๋นฉังฟังแล้ว แกล้งทำเป็นพูดอย่างเป็นกลางว่า “เกิดอะไรขึ้น? จู่ๆ ทำไมลวดสลิงค์ถึงขาดได้ล่ะ?”
ช่างอุปกรณ์ที่ดูอยู่ด้านข้างเห็นเช่นนั้นก็รีบพูดว่า “ขอโทษครับ คุณหลิน เรื่องลวดสลิงค์เป็นความผิดของพวกเราครับ แต่ก่อนหน้านี้ลวดสลิงค์ก็ยังดีๆ อยู่เลยนี่ครับ คิดไม่ถึงว่าจะเกิดขัดข้องเอาตอนนี้”
“ก่อนหน้านี้ยังดีๆ อยู่?” อี้อวิ๋นฉังถาม
“ครับ เรื่องนี้เป็นอุบัติเหตุแน่นอนครับ พวกเราก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน” ช่างอุปกรณ์พูด
อี้อวิ๋นฉังมองดูอินเสี่ยวเสี่ยว แกล้งพูดปลอบว่า “อินเสี่ยวเสียว ดูท่าว่าคุณโชคไม่ดีจริงๆ ทำให้มาเจอกับเรื่องแบบนี้เข้า แต่ว่าคุณตกจากลวดสลิงค์สูงขนาดนี้ รู้สึกกลัวก็เป็นเรื่องปกติ ผู้กำกับคะ ฉันว่าให้เธอหยุดพักไปหาหมอตรวจดูก่อนเถอะคะ” ประโยคหลังนี้อี้อวิ๋นฉังหันมาพูดกับผู้กำกับ
“เอาเถอะๆ คุณหลิน ทำตามที่คุณว่ามาทั้งหมดนั่นล่ะ” ผู้กำกับพูด
พูดจบ ผู้กำกับก็หันมาทางอินเสี่ยวเสี่ยว สีหน้าไม่พอใจนัก “ยังจะงงอยู่ทำอะไร ยังไม่รีบขอบคุณคุณหลินอีก คุณหลินนี่ทั้งสวยทั้งใจดีจริงๆ เลยนะ”
“ขอบคุณคุณหลินค่ะ” อินเสี่ยวเสี่ยวพูด แต่ในใจกลับรู้สึกประหลาด ทำไมจู่ๆ ‘หลินหว่าน’ ถึงยอมปล่อยเธอง่ายๆ แบบนี้นะ?
ความจริงที่อินเสี่ยวเสี่ยวไม่รู้ก็คือ เมื่อครู่อี้อวิ๋นฉังเพิ่งใช้มือถือถ่ายภาพเหตุการณ์ที่เธอร่วงตกลงมาจากลวดสลิงค์เอาไว้ทั้งหมด