วันรุ่งขึ้นหลังจากที่ลี่จุนถิงนัดกินข้าวกับบรรดาผู้ถือหุ้น ลี่หยูนห่วนเองก็นัดบรรดาหุ้นส่วนของบริษัทออกมากินข้าวเช่นกัน แต่หัวหน้าหลี่ไม่ได้บอกพวกเขาเรื่องที่ลี่จุนถิงข่มขู่เขาไว้
ลี่หยูนห่วนลุกขึ้นยืน ทำทีลดศักดิ์ศรีของเขาลง แล้วแสร้งทำเป็นเคารพผู้ถือหุ้นที่อยู่ในห้องอาหาร เอาใจพวกเขาจนอารมณ์ดี
“ผมต้องขอขอบคุณทุกท่านมากที่ยอมมาร่วมงานหลานชายคนนี้ ทั้งที่ทุกท่านต่างก็งานยุ่ง ผมขอเคารพทุกท่านด้วยไวน์แก้วนี้ แล้วต้องขอขอบคุณทุกท่านสำหรับการสนับสนุนของทุกท่านที่มีต่อบริษัทลี่ซื่อกรุ๊ปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ถ้าไม่มีพวกคุณ คงไม่มีบริษัทลี่ซื่อกรุ๊ปในปัจจุบัน ผมขอเป็นตัวแทนตระกูลลี่ขอบคุณทุกท่านอีกครั้ง…”
หลังจากที่ลี่หยูนห่วนพูดเรื่องไร้สาระ เมื่อเห็นผู้ถือหุ้นทุกคนถูกเอาใจจนอารมณ์ดี เขาก็ใช้โอกาสนี้พูดถึงจุดประสงค์ในการจัดงานเลี้ยงในวันนี้
“ท่านลุงทุกท่าน น่าจะทราบสถานการณ์ปัจจุบันของบริษัทอยู่บ้าง ทุกท่านต่างก็ทราบเรื่องการหายตัวไปของลูกพี่ลูกน้องของผม ลี่จุนถิงดี จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้ข่าวคราวของเขาเลย ดังนั้น บริษัทจึงอยู่ในสถานะไม่มีประธานบริษัท”
“แม้ว่าลูกพี่ลูกน้องของผม ลี่จุนซินจะเป็นประธานรักษาการในตอนนี้ แต่เธอเป็นแค่ผู้หญิงร่างบาง เธอจะต้องแต่งงานในอนาคต ตอนนี้ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าหากลูกพี่ลูกน้องของผมแต่งงานในอนาคต ถ้าบริษัทลี่ซื่อกรุ๊ปตกไปอยู่ในมือคนอื่นจะทำอย่างไรต่อไป”
“นอกจากนี้ นอกเหนือจากทายาทโดยตรงอย่างลี่จุนถิงแล้ว ผมกับลี่หุยก็เช่นกัน ดังนั้นตอนนี้เป็นเวลาที่ทุกท่านจะต้องเลือกแล้วว่าจะยืนอยู่ฝั่งใคร ทุกท่านคิดว่าไงครับ”
หลังจากลี่หยูนห่วนพูดจบ เขาก็ยิ้มอย่างมีชัย นึกว่าตัวเองมีโอกาสชนะ
แต่ว่า ความเป็นจริงไม่ได้สวยงามอย่างที่ลี่หยูนห่วนคิดไว้ ก่อนที่จะจัดงานเลี้ยงนี้ ลี่หยูนห่วนและลี่หุย ได้เกลี้ยกล่อมหลายคนและเห็นได้ชัดว่าพวกเขาเริ่มสั่นคลอนแล้ว
แต่ว่า ไม่รู้ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น ผู้ถือหุ้นที่เริ่มสั่นคลอนก่อนหน้านี้ กลับมีท่าทางในลักษณะเดียวกัน เมื่อลี่หยูนห่วนเห็นแบบนี้ เขารู้ทันทีว่าพวกเขาไม่ได้ตั้งใจจะสนับสนุนตนเอง
ลี่หยูนห่วนและลี่หุยคิดไม่ถึงเลยว่าสถานการณ์จะเป็นแบบนี้ ทั้งสองขมวดคิ้ว แววตาส่อถึงอันตราย
เมื่อเห็นท่าทางของกรรมการเหล่านี้ ลี่เจี้ยนเย่จึงต้องออกมาพูดเอง
“พวกคุณเป็นคนเก่าคนแก่ที่ทำงานกับคุณพ่อและพี่ชายของผมมาหลายปี ตอนนี้ สถานการณ์ชัดเจนถึงขนาดนี้ พวกคุณก็น่าจะคิดได้ พวกคุณสามารถก็น่าจะเห็นว่าใครมีความสามารถมากกว่าในตอนนี้ ดังนั้น พวกคุณลองพิจารณาอย่างรอบคอบอีกครั้งเถอะ”
เมื่อเห็นว่าลี่เจี้ยนเย่เอ่ยปากพูดขึ้นมาแล้ว ผู้ถือหุ้นหลายรายที่เคยติดตามเขาก็รีบลุกขึ้นมาแสดงการสนับสนุนลี่หยูนห่วนและลี่หุย แม้แต่ผู้ถือหุ้นหลี่ที่เพิ่งได้รับคำเตือนจากลี่จุนถิงก็ยังพูดแทนลี่เจี้ยนเย่
เห็นได้ชัดว่าเขาลืมคำเตือนของลี่จุนถิงเมื่อคืนนี้ไปแล้ว หากเขาไม่ลืม แล้วยังกล้าพูดสนับสนุนลี่หยูนห่วนออกมาแบบนี้ แสดงว่าเขากล้าหาญมาก
พวกจิ้งจอกเฒ่ามองดูการแสดงของพวกเขาอยู่นาน แต่ท่าทางของพวกเขาก็ยังคงนิ่งเฉยเช่นเดิม
ทั้งสองฝ่ายอยู่ในอาการนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง กลุ่มคนที่อยู่ข้างลี่จุนถิงทำการขอตัวกลับแล้วลุกจากไปเลย
ตอนที่พวกเขาจากไป ลี่หยูนห่วนยังคงพูดกับพวกเขาอย่างไม่ยอมแพ้
“คุณลุงครับ เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกคุณลุงตัดสินใจได้แล้ว ก็มาหาพวกเราได้นะครับ พวกเรายินดีต้อนรับเสมอ”
งานเลี้ยงนี้ จบลงไปทั้งแบบนี้เลยเหรอ
หลังจากงานเลี้ยงจบลงอย่างไม่มีความสุข ลี่จุนถิงและเจียงหยุนเอ๋อก็ได้รับรายงานทันที
ตอนที่เจียงหยุนเอ๋อ ได้ยินแบบนี้ เธอดีใจจนแทบจะกระโดดโลดเต้น ลี่จุนถิงเห็นท่าทางของเจียงหยุนเอ๋อ จึงรีบเข้าไปพยุงเธอไว้ ก่อนจะยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู
เขามองไปทางเจียงหยุนเอ๋อด้วยแววตาที่อ่อนโยน ก่อนจะเอ่ยพูด “ตอนนี้ในร่างกายของคุณมีสองชีวิต ดังนั้นคุณต้องระวังตัวมากขึ้นนะครับ”
เจียงหยุนเอ๋อเห็นแววตาของลี่จุนถิงที่มองเธอด้วยความรักที่เอ่อล้นในดวงตา จึงอดที่จะเข้าไปกอดลี่จุนถิงไว้ไม่ได้ และเทน้ำหนักตัวทั้งหมดไปที่เขา
“จุนถิง ดีจังเลยค่ะที่มีคุณอยู่ด้วย”
ทางฝั่งเจียงหยุนเอ๋อท้องฟ้าสดใสมากแค่ไหน ทางฝั่งลี่หยูนห่วนก็ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆดำมากเท่านั้น
หลังจากกลับถึงบ้าน ทั้งลี่หยูนห่วนและลี่หุยล้วนแต่รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไป
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมมันถึงเป็นอย่างนี้ไปได้”
ลี่หุยบ่นอย่างไม่สบอารมณ์
“ไม่ถูก มันต้องเกิดอะไรขึ้นแน่ๆ ไม่อย่างนั้นมันจะต้องไม่เป็นแบบนี้” ลี่หยูนห่วนพูดกับลี่หุยและลี่เจี้ยนเย่ด้วยใบหน้าที่เคร่งเครียด
แผนของพวกเขาล้มเหลวไม่เป็นท่าง่ายๆแบบนี้เลยเหรอ แบบนี้ทำให้ลี่หยูนห่วนไม่สามารถยอมรับได้ ในใจรู้สึกไม่ยุติธรรม
“ไม่ได้แล้ว เรื่องนี้แปลกจริงๆ พรุ่งนี้ฉันต้องตรวจสอบให้แน่ชัด”
และแน่นอน ว่าพวกลี่หยูนห่วนไม่มีทางตรวจเจอแน่นอน
ทางฝั่งลี่เจี้ยนเย่ไม่ได้คิดอะไรมาก จึงพูดปลอบโยนพวกเขา
“โธ่ พวกลูกอย่าคิดมาก ไม่มีอะไรน่ากังวลขนาดนั้น เดิมทีพวกตาเฒ่ากลุ่มนั้นเคยสนับสนุนลี่จุนถิงมาก่อน ปกติแล้วพวกเขาจะไม่ยอมเอ่ยปากเร็วขนาดนั้น”
“อีกอย่าง พ่อเดาว่าเหตุผลหลักคือลูกสองคนยังไม่เคยทำอะไรให้พวกเขาเชื่อมั่นได้เลย รอให้พวกเขาเห็นความสามารถของพวกลูก พวกเขาจะมาหาพวกลูกเพื่อหารือเกี่ยวกับความร่วมมือเอง ลูกไม่จำเป็นต้องกังวล ทำทุกอย่างให้เต็มที่ก็พอแล้ว”
ลี่เจี้ยนเย่อยู่ในบริษัทมาหลายปี เขารู้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้มันไม่ง่ายอย่างที่คิด แน่นอน ว่าเมื่อคนแก่แล้ว สมองของพวกเขาคงไม่ได้ใช้งานมานาน จะตัดสินใจอะไรจึงต้องใช้เวลาบ้าง
พอลี่หยูนห่วนกับลี่หุยได้ยินลี่เจี้ยนเย่พูดแบบนี้ พวกเขาก็ลบล้างหมอกควันในใจออกไป แล้วหัวเราะออกมาทันที ทั้งสองมองหน้ากัน ก่อนจะมีแสงระยิบปรากฏในดวงตาของพวกเขา
ลี่หยูนห่วนยิ้มและพูดกับลี่เจี้ยนเย่
“พ่อครับ พวกเราเข้าใจที่พ่อพูดดีครับ ตอนนี้พวกเราเริ่มดำเนินตามแผนที่วางไว้แล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ”
พอลี่เจี้ยนเย่ได้ยินแบบนี้ เขาก็อารมณ์ดีมาก ก่อนจะรีบถาม
“จริงเหรอ พวกลูกเลือกโครงการที่เหมาะสมได้แล้วเหรอ คราวนี้น่าเชื่อถือไหม”
“จริงๆ นะพ่อ! คราวนี้ไว้ใจได้จริงๆ ทางฝั่งลี่จุนซินและเจียงหยุนเอ๋อกำลังเจรจาโครงการกับบริษัทต่างชาติขนาดใหญ่ที่ทำงานเกี่ยวกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อยู่”
“หากได้โครงการนี้มา อย่างน้อยก็สามารถชดเชยการสูญเสียจากสตีเฟ่นกรุ๊ปได้อย่างน้อยครึ่งหนึ่ง ถึงตอนนั้น ถ้าหากเราสามารถแย่งมันมาได้จะมีจุดยืนให้เจียงหยุนเอ๋อกับลี่จุนซินในบริษัทอีกเหรอครับ”
“ดี ดีมาก! ลูกของพ่อเก่งกว่าคนเป็นพ่อจริงๆ ถ้าครั้งนี้ลูกทำสำเร็จ บริษัทลี่ซื่อกรุ๊ปก็เป็นโลกของเราแล้ว เมื่อถึงเวลานั้น ปู่ของลูกก็จะไม่เพิกเฉยต่อเราอีกต่อไป ในที่สุดพวกเราก็จะลืมตาอ้าปากได้สักที”
“ไม่ต้องเป็นห่วงครับคุณลุง พวกเราเตรียมพร้อมไว้หมดแล้วครับ คราวนี้ไม่มีทางผิดพลาดแน่นอน ยิ่งกว่านั้นความสามารถของพี่ลี่หยูนห่วนก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าลี่จุนถิงเลย ประธานลี่ของเราแค่ยืนรอชัยชนะในรอบสุดท้าย ครั้งนี้ ชัยชนะอยู่ในมือของเรา คุณลุงคอยดูได้เลยครับ”
ทั้งสามนั่งหัวเราะด้วยกัน ราวกับว่ากำลังฉลองให้กับความสำเร็จของโครงการนี้ ช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเอาซะเลย