บทที่ 127 เหยียบลงไปอย่างโหดเหี้ยม!
” ไม่! อย่า! ไว้ชีวิตข้าเถอะ! อย่านะ! ”
โยวยิ่งแกว่งมีดขึ้นลง
ฉับ!
“กรี๊ด——” หงอิงจ้องมองมือที่ขาดของตนเอง นางกรีดร้องอย่างน่าเวทนา
จูนจิ่วขมวดคิ้วอย่างเยือกเย็น แล้วหันไปมองมืออีกข้างของหงอิง โยวยิ่งแกว่งมีด ฉับ! เลือดสดพุ่งทะลักออกมา แม้แต่กระดูกของหงอิงก็ถูกจูนจิ่วตัดจนขาด นางมองหงอิงด้วยสายตาที่เหนือกว่ามาก ราวกับกำลังสังหารเทพ
นางกล่าว ” มือทั้งสองที่เคยแตะต้องข้าล้วนถูกตัดไปหมดแล้ว ต่อไปข้าควรทำอะไรกับเจ้าต่อดีล่ะ? ”
หงอิงร้องด้วยความเจ็บปวด เหลือเพียงแค่เสียงกรีดร้องแห่งความสิ้นหวัง นางร้องขอความช่วยเหลือด้วยเสียงแหลมแสบหู กู่ซงเบ้ปากและเดินเข้าไป ” จูนจิ่ว หญิงสารเลวเช่นนี้ท่านมอบให้ข้าเถอะ ข้าจะหั่นนางและนำไปเป็นอาหารของหมาป่า ทางนั้นยังมีเฟิ่งเทียนฉี่ที่ยังรอให้ท่านจัดการอยู่ ”
“เหมียว เหมียว!” เสี่ยวอู่เห็นด้วย ชายสารเลวเช่นนี้จึงจะเรียกได้ว่าเป็นอาหารหลัก ส่วนหงอิงก็เป็นเพียงแค่ของหวานเท่านั้น
จูนจิ่วมองกู่ซง มุมปากถูกยกขึ้นเล็กน้อย ” ไม่ต้องลำบากขนาดนั้นหรอก นำนางกลับไปให้ข้าด้วย ”
” ตกลง!” หลังจากที่จูนจิ่วหันหลังไป กู่ซงก็มองผมอันน้อยนิดของหงอิงที่นางตัดจนสั้นกุดด้วยสายตารังเกียจ เขาจับมันได้ไม่ถนัดมือ ทั้งยังได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือที่น่าสมเพชของหงอิงอีก กู่ซงจึงฉีกเสื้อผ้าของนางม้วนเป็นก้อนและยัดเข้าไปในปากนาง จากนั้นก็จับเท้าของนางและลากออกไป
มือสองข้างที่ถูกตัดนั้นตั้งอยู่ที่เดิม พื้นตามทางที่ถูกลากไป ทิ้งร่องรอยของคราบเลือดเอาไว้ทั้งสองทาง
เฟิ่งเทียนฉี่เห็นวิธีที่จูนจิ่วจัดการกับหงอิงด้วยตาของเขาเอง เขาก็หวาดกลัวตัวสั่นอย่างสุดขีด!เขาอยากจะลุกขึ้นและวิ่งหนี แต่แค่ขยับก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดทรมานตรงช่วงอกแล้ว เขาลุกขึ้นด้วยความยากลำบาก หยูนเฉียวและจูนเสี่ยวเหล่ยอยู่ข้างๆ ทั้งคู่ยกเท้าและเตะเขากลับไปที่เดิม
ในตอนนี้แค่เห็นจูนจิ่วเดินเข้ามาหา เฟิ่งเทียนฉี่ก็กลัวจนแทบจะตายเสียอยู่แล้ว แต่เขาก็กลับไม่ได้ตายไปจริงๆเสียที!
เขาเอ่ยปากพูดด้วยความหวาดกลัว เสียงสั่นจนฟังไม่เป็นภาษา ” จูน จูนจิ่วเจ้าคิด คิดจะทำอะไรกันแน่?ข้าเป็นถึงองรัชทายาทแห่งแคว้นเทียนโจ้ง !หากเจ้าฆ่าข้า แคว้นเทียนโจ้งไม่ปล่อยเจ้าเอาไว้แน่!ตระกูลจูนก็จะถูกกำจัด! ”
จูนจิ่วกล่าว ” ตระกูลจูน?เหอะเหอะ เฟิ่งเทียนฉี่หากเจ้าสามารถสังหารตระกูลจูนได้ ข้าก็อยากมอบดอกไม้ยินดีให้เจ้าสักหน่อย แต่เสียดายที่เจ้านั้นไร้ความสามารถ!อีกอย่าง แม้ว่าเจ้าจะเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของฮ่องเต้ แต่ฮ่องเต้นั้นยังหนุ่ม ท่านยังสามารถฟื้นตัว และให้กำเนิดบุตรชายคนใหม่ได้อีก ”
เฟิ่งเทียนฉี่ได้เป็นรัชทายาท ก็เพียงเพราะว่าเขาเป็นบุตรชายคนเดียวก็เท่านั้น !สำหรับฮ่องเต้องค์อื่นๆเหตุใดจึงมีนางสนมเยอะแยะมากมาย และบุตรชายหญิงที่นับไม่ถ้วน แต่แคว้นเทียนโจ้งกลับมีเพียงหนึ่งเดียวนั้น นี่ล้วนเป็นความรับผิดชอบที่เฟิ่งเซียวคิดไม่ตก
เฟิ่งเซียวเป็นฮ่องเต้ยุคบุกเบิก อุดมการณ์ของเขาคือผัวเดียวเมียเดียว ดังนั้นคู่สมรสของเขาจึงมีเพียงคนเดียว และภรรยาเขาก็มีสุขภาพที่ไม่แข็งแรง ให้กำเนิดบุตรเพียงคนเดียวก็ล้มตาย เฟิ่งเซียวไม่ได้แต่งงานใหม่ บุตรชายคนนี้ก็คือฮ่องเต้ในวันนี้ ฮ่องเต้ไม่มีความสามารถ ไม่กล้าทำอย่างพระบิดา ดังนั้นจึงมีภรรยาเพียงคนเดียว เขาเคยมีบุตรชายและหญิงถึงสามคน แต่ล้วนเสียชีวิตไปหมด เหลือเพียงเฟิ่งเซียวคนเดียวลำพัง ที่เป็นรัชทายาทโดยปริยาย และต้องฮ่องเต้ในอนาคตอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ จูนจิ่วบอกว่าฮ่องเต้สามารถให้กำเนิดบุตรใหม่ได้ เฟิ่งเทียนฉี่ยิ่งรู้สึกกลัวขึ้นไปอีก
จูนจิ่วทำลายความคิดของเขา!
จูนจิ่วมองออกถึงความหมายของเฟิ่งเซียว นางเลิกคิ้ว ” ไม่ ฆ่าเจ้านั้นมันง่ายเกินไป ข้ายังไม่ได้เห็นพวกสารเลวอย่างเจ้าและจูนหยูนเสวี่ย อยู่ด้วยกันเลย ข้าจะกล้าทำลายงานแต่งของพวกเจ้าได้อย่างไร?และข้าก็คิดว่าจะเตรียมของขวัญวันแต่งงานให้กับพวกเจ้าไว้ด้วย ”
“อะ อะไรกัน?” ได้ยินจูนจิ่วไม่ฆ่าเขา เฟิ่งเทียนฉี่ไม่ได้ยินดี แต่กลับกลัวจนถึงขีดสุด
เขามีความคิดสกปรกกับจูนจิ่ว ทั้งยังให้จูนจิ่วกินยานั่นอีก ไม่มีใครสามารถปล่อยเขาไปได้!จูนจิ่วคิดจะทำอะไร?
จูนจิ่วโบกมือ ” กู่ซง หยูนเฉียวเข้ามาเอาตัวเขาไป ”
“รับทราบ!”
” ตกลง ไม่มีปัญหา ” กู่ซงและหยูนเฉียวมัดทั้งมือซ้ายและขวาของเฟิ่งเทียนฉี่
จูนจิ่วมองไปทางจูนเสี่ยวเหล่ยอีกครั้ง และสอนนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ” จูนเสี่ยวเหล่ย ต่อไปหากเจ้าเจอชายสารเลวมีความคิดสกปรกกับเจ้า และต้องการจะรังแกเจ้าเช่นนี้ เจ้าสามารถเรียนรู้ได้จากข้า บทเรียนเช่นนี้จึงจะทำให้พวกมันจดจำจนวันตาย ”
“อืม อืม!”จูนเสี่ยวเหล่ยพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง นางจ้องมองจูนจิ่วที่กำลังเดินเข้าไปหาเฟิ่งเทียนฉี่อย่างตั้งใจ
นางยกขาขึ้น และเหยียบมันลงไปที่เฟิ่งเทียนฉี่
“อ้า——โอ้——อ้า!!”
เสียงกรีดร้องโอดครวญของเฟิ่งเทียนฉี่ดังก้องทั่วป่า ผู้ใดได้ยินก็ล้วนแต่ขนลุกซู่ และต่างพูดด้วยความกลัว ว่านี่มันแย่เกินไปแล้ว นี่มันคือการทรมานแบบไหนกัน?
หยูนเฉียวและกู่ซงที่อยู่ในระยะใกล้เคียงต่างก็ตกใจ ชายร่างใหญ่สองคนเกร็งขาทั้งสองแน่นอย่างเงียบๆและ เกรงกลัว!เหลิ่งยวนที่อยู่ไม่ไกลก็กลัวจนตัวสั่นพร้อมทั้งกอดต้นไม้ใหญ่
จะเห็นก็เพียงขาทั้งสองของเฟิ่งเทียนฉี่ และกางเกงที่เต็มไปด้วยเลือดของเขา
จูนจิ่วยิ้มเล็กน้อย ” ถือแน่นๆ อย่าปล่อย ”
” รับทราบ ” หยูนเฉียวและกู่ซ่งยังคงตัวสั่นในขณะที่พูด นี่ช่างทำให้ชายที่พบเห็นต่างรู้สึกหนาวสั่นขึ้นมาทันที
จูนจิ่วเหยียบอีกไม่กี่ก้าวก็ถอยออกมา และเช็ดเท้าที่ติดเลือดนั่นลงกับพื้น นางยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้หยูนเฉียวปล่อยมือ ทันทีที่เขาปล่อยมือ ร่างที่อ่อนแรงของเฟิ่งเทียนฉี่ก็ตกลงสู่พื้น เขารู้สึกเจ็บปวดตั้งแต่เท้าแรกที่เหยียบลงมาแล้ว
ก้าวแต่ละก้าวที่หยูนเฉียวและกู่ซงเดินออกไปนั้นช่างอ่อนแรง การทรมานครั้งนี้มันโหดร้ายมาก!
จูนจิ่วมองจูนเสี่ยวเหล่ย “ เจ้าเห็นชัดหรือยัง?”
” อืมอืม ”
แต่จูนเสี่ยวเหล่ยไม่ได้หวาดกลัวเหมือนอย่างพวกหยูนเฉียว ดวงตาของนางเปล่งประกาย และมองจูนจิ่วด้วยความชื่นชม เห็นใจเฟิ่งเทียนฉี่?ในสมองคงเต็มไปด้วยน้ำ ถึงได้เห็นใจคนผิดเช่นนี้
เสี่ยวอู่แสดงออกว่ามันยังไม่รู้สึกพอ!
กล้าวางยานายท่าน แล่เนื้อเอาเกลือมาทามันยังน้อยไปสำหรับคนอย่างเฟิ่งเทียนฉี่!
จูนจิ่วลูบหัวของนางแล้วกล่าว ” อันที่จริงมันมีวิธีที่สองที่น่าสนใจ มาดูสิ !”
จูนจิ่วยกมือขึ้น พลังทิพย์ไหลเวียนอยู่ในตัวนาง หนามอันแข็งแกร่งก่อตัวขึ้นข้างหน้า นี่คือหนามน้ำแข็งที่จูนจิ่วได้เรียนรู้มาจากห้องหนังสือชั้นสอง หนามที่เกาะตัวกันอยู่ทั้งหมดนั้นแข็งแกร่งและทนทานมาก
เพียงขยับปลายนิ้ว หนามน้ำแข็งก็พุ่งออกมา ทั้งซ้ายและขวาแทงเข้าที่ฝ่ามือของเฟิ่งเทียนฉี่ เฟิ่งเทียนฉี่ตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด และกรีดร้องอย่างน่าเวทนา เขาพยายามดึงออก แต่ทว่าหนามไม่เพียงไม่หลุดแต่กลับพุ่งแทงเข้าไปในสองส่วนสามของฝ่ามืออีก หากไม่มีคนช่วย เฟิ่งเทียนฉี่คงจะเอามันออกไม่สำเร็จเป็นแน่
เครื่องลายครามอีกอันถูกนำออกมา เมื่อใช้ฝ่ามือลม ผงสีขาวจางๆก็หล่นลงมาบนร่างกายของเฟิ่งเทียนฉี่
นี่คืออะไร ?ทุกคนต่างสงสัย
เสี่ยวอู่เลียอุ้งเท้า และถามด้วยความสงสัย ” นายท่านนี่ไม่ใช่การล่อแมลงหรอกหรือ ?”
“ ใช่ ” จูนจิ่วพยักหน้า
ไม่ช้าพวกเขาก็ได้ยินเสียงซี่ซี่ นั่นเป็นการเคลื่อนไหวเบาๆที่มีแต่นักจิตเท่านั้นที่สามารถจับเสียงนี้ได้ จากนั้นพวกเขาก็เห็นสัตว์เลื้อยคลานขนาดเล็ก เช่นมดและแมงป่องค่อยๆออกมาจากพุ่มไม้ทีละตัว เฟิ่งเทียนฉี่ก็เห็นมันเช่นกัน
เขามองดูแมลงพวกนั้นกำลังคลานขึ้นมาบนตัวเขาอย่างหวาดกลัวและสิ้นหวัง พวกแมลงปีนขึ้นมาอย่างหนาแน่นในที่ที่มีผงสีขาวอยู่ เฟิ่งเทียนฉี่ร้อง “อ้าาาาา——”
หยูนเฉียวกู่ซง และเหลิ่งยวนที่อยู่ไม่ไกล ร่างกายของพวกเขาสั่นเทา ขาทั้งสองข้างนั้นชิดกันแน่นจนมองไม่เห็นช่องว่าง แม้แต่เดินก้าวเล็กๆยังต้องบิดตัวอย่างยากลำบาก
จูนจิ่วถาม ” จำได้ไหม ?” ” อืมอืม ข้าได้เรียนรู้แล้ว !” เสียงที่นุ่มนวลของจูนเสี่ยวเหล่ย ทำให้ชายหนุ่มทั้งสามคนตัวสั่นอีกรอบ ปีศาจน้อยในอนาคตได้เกิดขึ้นแล้ว