ความนึกคิดแรกของเธอก็คือเซียวจิ่งสือเกิดเรื่องแล้ว เธออุตส่าห์ได้โอกาสนี้มาอย่างลำบาก แต่เซียวจิ่งสือกลับไม่รู้ไปอยู่ที่ไหนเสียนี่
“เรื่องนี้พวกเราก็ไม่ทราบเหมือนกัน เอาอย่างนี้นะคะ ถ้าพวกเราพบตัวเขาเมื่อไร เราจะแจ้งให้คุณทราบนะคะ” เลขาขมวดคิ้วพูดพลางหยิบกระดาษมาแผ่นหนึ่ง กับปากกายื่นให้หลินหว่านเขียนเบอร์โทรศัพท์ลงไป หลินหว่านเห็นว่าเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีหนทางอื่นอีก จึงได้แต่เขียนหมายเลขโทรศัพท์ของตัวเองลงไป
ตอนนี้เธอไม่รู้แล้วว่าควรจะทำอย่างไรดี เธอรู้ว่าเซียวจิ่งสือคงต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่
แต่ตอนนี้ในหัวสมองของเธอกลับปรากฏชื่อของเหลยลี่โผล่ขึ้นมา! เธอเชื่อใจคนคนนี้มาก และในเวลานี้คนที่น่าจะช่วยเธอได้ ก็คือเหลยลี่ และก็คงจะมีแต่เขาที่สามารถช่วยได้แล้ว คนอื่นไม่น่าจะได้
หลินหว่านคิดแล้วต้องทำ เธอจึงรีบลงจากตึก ขับรถบึ่งไปทางที่เหลยลี่อยู่ ตอนนี้ทุกเวลานาทีมีค่ามาก เธอก็ไม่อยากเสียเปล่าซะด้วย เพียงไม่นาน เธอก็ขับรถมาถึงบ้านของเหลยลี่ บ้านของเหลยลี่หลังใหญ่มาก ต้องเดินเป็นเวลานานจึงจะเข้าไปถึงด้านใน
คนรับใช้ของบ้านเขาให้การต้อนรับหลินหว่านอย่างดี แต่หลินหว่านไม่มีกะจิตกะใจจะรับน้ำใจในตอนนี้ ในหัวเธอมีแต่เรื่องของเซียวจิ่งสือ คนรับใช้พอไปรายงานเหลยลี่แล้วก็ปล่อยให้หลินหว่านผ่านเข้าไป
คนรับใช้พาหลินหว่านมาที่ห้องหนังสือของเหลยลี่ หลินหว่านเดินเข้าไป เห็นเหลยลี่หันหลังให้เธอ และมองออกไปนอกหน้าต่าง
“เหลยลี่! ฉันเองค่ะ!” หลินหว่านทักกับเหลยลี่อย่างตื่นเต้น พวกเขาไม่ได้พบกันมานานแล้ว ไม่รู้ว่าจะเหินห่างกันไปหรือเปล่า แต่เห็นได้ชัดว่าเธอคิดมากไปเอง เหลยลี่ไม่ได้ทำตัวเหินห่างกับหลินหว่านเลยแม้แต่น้อย
“ในที่สุดเธอก็มาซะที พักนี้ทำไมจู่ๆ เธอก็หายตัวไปล่ะ!” เหลยลี่หันขวับกลับมา พอเห็นหลินหว่านเข้าก็แปลกใจมาก ตั้งแต่เขาเห็นว่าเป็นหลินหว่าน ดวงตาของเขาก็เป็นประกายวาววับตลอดเวลา
“พักนี้ฉันเกิดเรื่องมากมาย คราวที่แล้วพวกคุณหาตัวฉันไม่เจอ เพราะว่าฉันถูกคนอื่นจับตัวไป สถานที่นั้นเร้นลับมาก วันนี้ฉันโชคดี เพิ่งจะหนีออกมาได้ ไม่อย่างนั้นต่อไปฉันก็ไม่รู้ว่าจะได้มีโอกาสเห็นหน้าคุณอีกหรือเปล่า” หลินหว่านบอกเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับเธอให้เหลยลี่ฟัง
ตอนที่เธอเล่านั้นขอบตาค่อยๆ แดงก่ำขึ้น สายตาเปลี่ยนเป็นพร่าเลือน แต่เธอยังสะกดกลั้นไว้ ถึงแม้เธอจะได้รับความลำบาก แต่เธอยังเผชิญหน้ากับสถานการณ์อย่างเข้มแข็ง เสียงที่เธอพูดกลายเป็นเสียงกลั้นสะอื้นอยู่บ้าง
เหลยลี่เห็นสภาพแบบนี้ของหลินหว่านก็สงสารเธอมาก รีบให้หลินหว่านนั่งลง แล้วให้สาวใช้ชงกาแฟมาให้เธอดื่ม สภาพหลินหว่านในตอนนี้ดูไม่จืดเลยจริงๆ สีหน้าซีดขาว เหมือนกับระยะนี้เธอผ่านช่วงเวลาที่ย่ำแย่เอามากๆ มา
เหลยลี่ถึงกับบ่นโวยวายแทนเธอว่า ทำไมเด็กสาวตรงหน้านี้จึงต้องเจอกับเรื่องอยุติธรรมมากมายขนาดนี้ด้วย? คนที่ให้ร้ายหลินหว่านนั่นก็ชั่วร้ายเกินไปแล้ว
“ตอนนี้ฉันหาตัวเซียวจิ่งสือไม่พบ แล้วก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น คุณจะช่วยฉันหน่อยได้ไหม?” หลินหว่านใช้สายตาเว้าวอนชวนสงสารมองดูเหลยลี่ ตอนนี้คนเดียวที่สามารถช่วยเธอได้ก็มีแต่เหลยลี่แล้ว เธอเองก็มาหาเขาด้วยความจำเป็นเช่นกัน
“ได้เลย เธอไม่ต้องร้องไห้อีกแล้ว ฉันจะหาวิธีช่วยเธอเอง” เหลยลี่รับปาก
ถึงตอนนี้จะมากจะน้อยเหลยลี่ก็พอเข้าใจอยู่บ้าง เขาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทเดียวกับเซียวจิ่งสือ และพวกเขาทั้งสองยังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของบริษัทอีกด้วย ซึ่งผลประโยชน์ที่ได้นั้นเขาน่าจะเข้าใจได้เป็นอย่างดี ระยะนี้บริษัทเกิดความปั่นป่วนด้วยเรื่องเดียวเท่านั้น นั่นก็คือการเปลี่ยนตัวทายาทผู้รับช่วงกิจการ ซึ่งก็ไม่ใช่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินแล้ว ดังนั้นพอได้ยินหลินหว่านพูดเช่นนี้เขาก็เข้าใจได้ทันที
เหลยลี่ทำตามที่รับปากไว้ เขารีบเรียกประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัท
“เรื่องที่บริษัทคิดจะเปลี่ยนผู้รับสืบทอดกิจการในครั้งนี้ ผมขอคัดค้าน” ภายในห้องประชุมเหลยลี่เสนอแนวคิดของเขาต่อบรรดาผู้ถือหุ้นรายใหญ่ทุกคน
“แต่พวกเราผู้ถือหุ้นรายย่อยทุกคนได้ตัดสินใจแล้ว ต่อให้คุณไม่เต็มใจอย่างไรก็เสียงข้างน้อยย่อมต้องรับฟังเสียงข้างมากกระมัง นี่คือความจริงที่ทุกคนต่างก็เห็นด้วยแล้ว” พวกผู้ถือหุ้นฟังคำพูดของเขาแล้ว ต่างพากันแสดงความไม่พอใจกันขึ้นมาอย่างแรง
“คุณลองคิดดูสิตอนนี้บริษัทนี่ ผมเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด อำนาจการตัดสินใจสุดท้ายก็อยู่ในมือผมอยู่ดี ผมหวังว่าพวกคุณจะเข้าใจเหตุผลข้อนี้ด้วย” เหลยลี่พูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว เรื่องที่เขาตัดสินใจแล้ว จะไม่ยอมให้ใครอื่นมาขัดขวางเขาได้ นอกจากนี้แล้วตัวเขาเองยังรู้ดีอีกด้วยว่ากำลังทำอะไรอยู่
บรรดาผู้ถือหุ้นที่ด้านล่างพอฟังว่าเขาพูดเช่นนี้ก็ยิ่งถกเถียงกันไม่เลิก พวกเขาลองมาสงบใจคิดดู พวกเขา (เธอ) ไม่มีความสามารถที่จะคัดง้างกับเหลยลี่ได้จริงๆ ในเมื่อเขาเป็นนักธุรกิจใหญ่ที่ทุกคนต่างก็รู้กันดีอยู่
ต่อมาพวกเขาก็ไม่ได้คัดค้านต่อไปอีก แต่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของเหลยลี่ พวกเขาได้แต่ก้มหน้ายอมรับมัน ทำท่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งหมดจึงเป็นไปตามที่เหลยลี่ต้องการ
เรื่องนี้พอเล่าลือกันออกไป ก็ถึงหูอันจี๋ถิง พอได้ฟังข่าวนี้แล้ว เธอรู้สึกตกใจมาก เธอไม่เข้าใจการกระทำของเหลยลี่ เมื่อก่อนเธอไม่ได้รู้สึกดีอะไรกับหลินหว่านนั่น ในความคิดของเธอแล้ว หลินหว่านก็เป็นแค่ผู้หญิงจอมปลอมคนหนึ่ง จนอาจพูดได้ว่า ในสายตาของเธอแล้ว หลินหว่านก็คือผู้หญิงฉาบฉวยที่เห็นแก่เงินทองคนหนึ่งเท่านั้น
ดังนั้นอันจี๋ถิงจึงนัดเหลยลี่ออกมาพบกันตามลำพัง มีคำถามมากมายที่เธออยากจะถามเขา เพราะเธอคิดมานานมากแล้ว มีบางเรื่องที่ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
ทั้งสองนั่งอยู่ในร้านกาแฟแห่งหนึ่ง
“ลมอะไรพัดคุณมานี่ได้นะ? ทำไมอยู่ดีๆ ก็นัดผมออกมาแบบนี้ครับ” เหลยลี่เห็นอันจี๋ถิงก็พูดยิ้มๆ เขารู้ว่าจู่ๆ เธอก็นัดเขาออกมา ต้องมีเรื่องอะไรแน่ ถึงยังไงถ้าไม่มีลมก็ไม่มีคลื่น
“มีเรื่องหนึ่งที่ฉันข้องใจมาก” อันจี๋ถิงพูดไปตรงๆ เธอพูดอย่างเปิดอกไม่มีการอ้อมค้อมล้อมภูเขา
“คุณมีอะไรไม่เข้าใจ ก็ถามมาได้เลยครับ ระหว่างเราไม่มีอะไรต้องปิดบัง” เหลยลี่พูด
“ฉันรู้ว่าเรื่องคราวนี้มีคนขอความช่วยเหลือจากคุณ แต่คนคนนี้กลับเป็นผู้หญิงที่ฉันไม่ค่อยจะถูกชะตาคนหนึ่ง เธอคิดจะสวมรอยทำเป็นลูกสาวของฉันอยู่หลายครั้ง ทำไมคุณถึงได้ช่วยคนอย่างเธอนะ? นี่ล่ะที่ฉันคิดไม่ตก” อันจี๋ถิงพูดด้วยสีหน้าสงสัยอย่างแรง
เหลยลี่ฟังคำพูดเธอแล้วก็นิ่งอึ้งไป เขาใช้สายตาประหลาดใจมองดูอันจี๋ถิง เข้าใจว่าเมื่อครู่ตัวเองฟังผิดไป เหมือนกับว่าตั้งแต่เกิดมาเพิ่งจะได้ยินเรื่องน่าหัวเราะที่สุดอย่างนั้น