“แต่ผมก็ไม่รู้ว่าทำไม สถานการณ์ของบริษัทถึงได้ย่ำแย่ลงไปเรื่อยๆ จนถึงตอนนี้ผมยังหาสาเหตุไม่เจอเลย” เซียวจิ่วสือทำเป็นพูดอย่างเคร่งเครียดเป็นกังวล
“พวกเราก็พูดกันมาจนถึงขั้นนี้แล้ว คุณยังไม่คิดจะพูดความจริงกับฉันอีกหรือคะ?” หลินหว่านหัวเราะออกมาเบาๆ
“นี่เป็นความจริงนะ! ผมพยายามทำงานอย่างตั้งใจแล้วจริงๆ คุณก็รู้จักผมนี่ ผมจริงจังกับการทำงานมาตลอดเลย” เซียวจิ่งสือพูดพลางเดินเข้าหาหลินหว่าน สองมือวางบนไหล่ของเธอ
“คนในบริษัทดูไม่ออก คุณยังคิดว่าฉันเป็นคนโง่ด้วยรึไงกัน?” หลินหว่านรีบปัดมือเขาออก
“เพราะผมเชื่อในตัวคุณถึงได้มาหาคุณ แต่วันนี้คุณเป็นอะไรกันแน่ ทำไมพูดจาทิ่มแทงทำร้ายใจกันแบบนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า”
“บริษัทเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ผมมาหาคุณ คุณไม่ช่วยไม่พอยังจะพูดแบบนี้กับผมอีก” เซียวจิ่งสือพูดอย่างโมโห
“ทำไมฉันต้องพูดแบบนี้กับคุณ คุณไม่รู้จริงหรือคะ?” หลินหว่านถามเซียวจิ่งสือ
“ทำไมคุณถึงพูดแบบนี้กับผม ผมจะไปรู้ได้ยังไงกัน” เซียวจิ่งสือพูดอย่างคนที่ยังไม่เข้าใจ
“เพราะว่าแท้จริงแล้วคุณไม่ใช่เซียวจิ่งสือ” หลินหว่านพูด
“คุณหมายความว่ายังไง? ผมฟังไม่รู้เรื่อง” เซียวจิ่งสือพูด
“ฉันหมายความว่ายังไงคุณเองยังไม่รู้หรือคะ? ฉันบอกว่าคุณมันตัวปลอม” หลินหว่านพูด
“คนจะปลอมกันได้ด้วยเหรอ?” เซียวจิ่งสือพูด
“หรือว่าคุณไม่ใช่ตัวปลอม? ตั้งแต่ฉันไปหาคุณที่ห้องทำงานแล้วพบว่าคุณไม่รู้เรื่องของบริษัทเลยยังไงล่ะ” หลินหว่านพูด
“คุณเข้าใจว่าทุกคนจะหลอกได้ง่ายอย่างนั้นหรือคะ? ต่อให้เลขาของจิ่งสือไม่รู้ ด้วยความสัมพันธ์ของฉันกับจิ่งสือที่ผ่านมา ฉันจะไม่เข้าใจเขางั้นเหรอ? คนคนหนึ่งจะต่างกันขนาดนี้ได้ยังไงกัน?” หลินหว่านพูด
“อีกอย่างเรื่องของอี้อวิ๋นฉังฉันก็รู้แล้ว ถ้าคุณเป็นเซียวจิ่งสือจริง ทำไมคุณถึงมอบอำนาจในบริษัทให้กับอี้อวิ๋นฉัง? คราวที่แล้วฉันคุยกับคุณเรื่องการลงโทษอี้อวิ๋นฉัง คุณก็อิดเอื้อนเลื่อนไปเรื่อย ฉันจึงพบว่ามันผิดปกติยังไงเล่า”
ในเมื่อพูดกันจนถึงขั้นนี้แล้ว งั้นก็พูดเรื่องทุกอย่างออกมาเลยก็แล้วกัน ทุกคนจะได้สะสางกันไปซะที
“ทำไมคุณสงสัยทำได้ล่ะ? คนเรายังเปลี่ยนกันได้หรือไง?” เซียวจิ่งสือยังไม่กล้ายอมรับตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง
“ฉันก็ไม่อยากสงสัยคุณหรอกนะ แต่คุณมีพิรุธมากเกินไป” หลินหว่านพูด
“งั้นผมบอกคุณก็ได้ คุณสงสัยผิดคนแล้ว บางทีคุณคงไม่เคยเข้าใจผมมาก่อนเลยก็ได้” เซียวจิ่งสือพูด
“คุณรู้ไหมคะ? ตอนนี้ฉันอับจนมาก ถ้าคุณยังเป็นแบบนี้อีก ฉันจะไม่เห็นแก่หน้าคุณอีกแล้วนะ” หลินหว่านพูด
“ทำไมคุณพูดอะไรไม่รู้เรื่องตั้งมากมาย ผมมาหาคุณเพื่อจะให้คุณช่วยผมเรื่องบริษัทนะ” เซียวจิ่งสือพูด
“จะทำไปทำไมคะ? คุณบอกความจริงมาบางทีฉันยังจะช่วยคุณ ถ้าคุณยังพูดแบบนี้อีก เราก็ไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้ว” หลินหว่านหมดความอดทนกับการเล่นซ่อนหากับเซียวจิ่งสือแล้ว
“งั้นถ้าผมพูดความจริงออกมา คุณจะยอมช่วยผมใช่ไหม?” เซียวจิ่งสือพูดวิงวอน รู้สึกว่าบริษัทมีความหวังขึ้นมาทันที
“ฉันต้องทำความเข้าใจเรื่องราวก่อน จึงจะช่วยคุณได้ ตอนนี้ทั้งที่ควรและไม่ควรรู้ฉันก็รู้มาบ้าง” หลินหว่านพูด
“ที่แท้คุณก็รู้อยู่แล้ว” เซียวจิ่งสือไม่คิดจะปิดบังต่อไปอีก
“เรื่องที่คุณมาหาฉันคราวนี้ ฉันก็พอจะคาดเดาได้ว่าคุณจะมาหาฉัน แต่คุณไม่ใช่เซียวจิ่งสือ ทำไมฉันยังต้องช่วยคุณด้วยล่ะ?” หลินหว่านพูด
“ฉันอยากรู้ว่าคุณเป็นใครกันแน่? บริษัทเป็นแบบนี้แล้ว คุณก็พูดความจริงมาเถอะ ปิดบังต่อไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร” หลินหว่านไล่จี้ถาม
“ผมคือฮั่วเทียนอวี่” หลังจากผ่านการซักฟอกของหลินหว่าน จึงได้รู้ว่าเซียวจิ่งสือในตอนนี้ที่แท้แล้วก็คือฮั่วเทียนอวี่ปลอมตัวมา
“งั้นเซียวจิ่งสือตัวจริงตอนนี้อยู่ที่ไหน?” หลินหว่านเริ่มร้อนใจแล้ว
“เซียวจิ่งสือถูกอี้อวิ๋นฉังพาตัวไปแล้ว” ฮั่วเทียนอวี่พูด
“ช่างบ้ากันได้สุดติ่งจริงๆ ” หลินหว่านพอฟังว่าเซียวจิ่งสือถูกคนเอาตัวไปก็โกรธจัดจนเขวี้ยงถ้วยชาลงพื้น
“คุณไปซะเถอะ ฉันยังมีเรื่องอื่นต้องทำอีก” หลินหว่านพูด
“งั้นเรื่องบริษัททำยังไงดี?” ฮั่วเทียนอวี่คิดว่าหลินหว่านไล่เขาไป เขาก็ย่อมต้องถามเรื่องของบริษัท
“จัดการเอาเองแล้วกัน” หลินหว่านคิดในใจว่าตอนนี้ฉันไม่ลงโทษคุณก็นับว่าดีแล้ว ยังจะมีหน้าให้ฉันช่วยเรื่องบริษัทอีก
ฮั่วเทียนอวี่เห็นเธอเป็นแบบนี้ ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ได้แต่กลับไปอย่างหมดรูป
หลินหว่านพอได้ฟังข่าวนี้ก็ไล่ฮั่วเทียนอวี่ไป จากนั้นเธอก็รีบติดต่อลูกน้องคู่ใจทันที
“คุณไปหาวิธีสืบเรื่องของอี้อวิ๋นฉังมาหน่อย ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าเธออยู่ที่ไหน ฉันมีเรื่องสำคัญ”
“ครับ ผมจะไปสืบเดี๋ยวนี้เลย” พูดพลางกำลังจะวางสาย
“รีบด่วนด้วย!” หลินหว่านย้ำ
หลังวางสายแล้ว หลินหว่านก็ขมวดคิ้วตลอด นั่งนิ่งงันอยู่บนโซฟา ไม่ขยับเลยแม้แต่นิดเดียว เธอกำลังคิดว่าเซียวจิ่งสือจะไปอยู่ที่ไหนได้บ้าง? รังของอี้อวิ๋นฉังจะอยู่ที่ไหนอีก? เธอเฝ้ารอข่าวจากลูกน้อง
“กริ๊ง! กริ๊ง!” มือถือของหลินหว่านเพิ่งจะดังขึ้น เธอก็ได้สติจากอาการเหม่อลอยทันที แล้วรับโทรศัพท์ด้วยความเร็วสูงสุด
“คุณคะสวัสดีค่ะ พวกเรามาจากฝ่ายบริการลูกค้าของห้าง อยากทราบว่าคุณ…” เสียงตามสายดังมา
หลินหว่านพอฟังว่าเป็นโทรศัพท์ก่อกวน ก็โพล่งว่า “บ้าฉิบ!” แล้ววางสายไป
เธอกรอกน้ำลงคอไปแก้วหนึ่ง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจ้อง…จ้องอย่างไม่ละสายตา เหมือนกับมีปมแค้นลึกล้ำอะไรกับมือถือ
ในที่สุด โทรศัพท์สายที่เธอรอก็มาถึง
“บอกมาเร็วเป็นยังไงบ้าง โทรมาจนได้นะ” หลินหว่านนิ่งรอฟังอยู่ เหมือนกับผ่านเวลาเป็นศตวรรษ หรือบางทีนี่ก็คือที่ว่ากันว่าผ่านวันประดุจปีกระมัง
“ครับ! เราสืบทราบตำแหน่งที่อยู่ของอี้อวิ๋นฉังแล้ว เดี๋ยวผมจะส่งไปให้คุณครับ”
“ดี” หลินหว่านพูดจบก็วางสายไป
ในเมื่อหลินหว่านสืบทราบที่อยู่ของอี้อวิ๋นฉังแล้ว ก็รีบแต่งตัวแล้วออกจากบ้านไป
“ฮัลโหล ตอนนี้คุณมีเวลาไหม? ฉันมีเรื่องสำคัญ หาตัวเซียวจิ่งสือพบแล้ว พวกเราไปที่พักของอี้อวิ๋นฉังด้วยกันหน่อย ที่อยู่ของเธอฉันไปสืบมาแล้ว” หลินหว่านคว้าเสื้อนอกของตัวเองพลางโทรหาเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งที่เธอไว้ใจ
เพื่อนร่วมงานนั้นรับฟังเธอบอกตำแหน่งที่อยู่ หลินหว่านขับรถแทบจะบินไปตลอดทาง ไม่นานนักเธอก็มาถึงบ้านของเพื่อนร่วมงาน
“เร็ว ไปกัน!” หลินหว่านพูด
เพื่อนร่วมงานแม้จะอึ้งๆ อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ถามเธอ เพราะเธอรู้ว่าตอนนี้ในใจของหลินหว่านเป็นกังวลเรื่องความปลอดภัยของเซียวจิ่งสืออย่างมาก ถ้าเธอยังคอยถามหลินหว่าน ยิ่งจะทำให้เธอวุ่นวายใจมากขึ้นไปอีก
เธออยู่ด้วยกันกับหลินหว่านบ่อยๆ ย่อมจะรู้นิสัยเธอ ถ้าหลินหว่านอยากพูด ก็จะเป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดออกมาเอง