บทที่ 244 นักรบผู้พลีชีพแห่งเทียงฉิว
หากนางจากไป แน่นอนว่าไม่สามารถพาเหล่าลูกศิษย์สำนักเทียนอู่จงไปด้วยได้ เป้าหมายของพวกเขาใหญ่หลวงยิ่งกว่า อีกอย่างนี่เป็นเรื่องส่วนตัวของนาง ไม่ควรให้พวกเขาเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
จูนจิ่วกำลังวางแผนจะแอบจากไปในตอนกลางคืน ทว่านางไม่ได้คิดจะบอกเรื่องนี้กับพวกหวางฉี่อ๋าง การอธิบายมันเสียเวลาเกินไป อีกอย่างเรื่องนี้อธิบายยาก จึงใช้เข็มเงินปักแผ่นจดหมายไว้ที่ต้นไม้ จูนจิ่วจากไปอย่างเงียบๆและหายเข้าไปในความมืดมิด
รอกระทั่ง ตอนที่พวกหวางฉี่อ๋างสังเกตเห็นว่าจูนจิ่วไม่อยู่แล้ว และเห็นจดหมายบนต้นไม้ นางได้เดินทางจากไปไกลแล้ว
บนจดหมายนางเขียนบอกพวกหวางฉี่อ๋างว่า นางมีเรื่องส่วนตัวต้องไปจัดการก่อน สามารถทิ้งสัญลักษณ์ไว้ให้นาง แล้วนางจะตามไปทีหลัง หรือไม่ก็นัดเจอกันที่ศูนย์กลางเขตลับเทียนอู่
ภายนอกบุปผากระจกจันทราวารี ทุกคนเห็นจูนจิ่วจากไปโดยที่ไม่ล่ำลาสักคำ ต่างพากันตกตะลึงและไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก ถึงขั้นจับกลุ่มเล็กกลุ่มใหญ่ปรึกษาคุยกันว่า ทำไมจูนจิ่วถึงจากไปตามลำพัง? นางจะไปอะไร?
ตรงใจกลางที่นั่งแขกผู้มีเกียรติ ชิงหยู่กวาดสายตามองดูสีหน้าของทุกคน เขากำหมัดแน่นแล้วปล่อยแล้วกำหมัดแน่นอีกครั้ง เขาอดใจไม่ได้ที่จะคาดเดาว่าจูนจิ่วทราบการมาของคนเหล่านั้นแล้วหรือ? ภายในใจเลี่ยงไม่ได้ที่จะเป็นกังวลเรื่องนี้
ถ้าหากชิงหยู่อยู่ภายในเขตลับเทียนอู่ เขาจะลากมือจูนจิ่วไว้ และตักเตือนนางว่าดีที่สุดอย่าเข้าไปยุ่งเรื่องนั้น ให้รีบซ่อนตัวไว้ อย่าให้พวกเขาเพ็งเล็งได้เด็ดขาด ตั้งตัวเป็นศัตรูกับคนพวกนี้ จบไม่สวยแน่นอน ทว่าต่อให้เขาจะเป็นห่วงมากแค่ไหนก็ไม่สามารถส่งต่อไปถึงเขตลับเทียนอู่ บอกให้จูนจิ่วทราบได้
……
เสียงลม
ร่างกายของจูนจิ่วเคลื่อนตัวว่องไวเหมือนเงาลวงตา ปลายเท้าที่เหยียบใส่กิ่งไม้กระโดดลอยออกไป โดยมาพร้อมกับเสียงลมอ่อนๆ เสี่ยวอู่หมอบตัวอยู่ตรงไหล่ของนาง มันทำให้ตัวเบาลงจนไร้น้ำหนัก เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อจูนจิ่ว
มันแลบลิ้นเลียจมูก แล้วถามจูนจิ่วว่า “นายท่าน จูนหยูนเสวี่ยพวกนางอยู่ที่ไหน เหมียว?”
“ยังมีระยะทางอีกสิบสองลี้ จะถึงที่นั่นก่อนฟ้าสาง”
ไม่มีผู้ใดเลือกเดินผ่านดงป่าไม้ในยามวิกาล ฉะนั้นการที่จูนจิ่วจะหาพวกเขาเจอนั้นช่างง่ายดายยิ่งนัก ตันจงกับเจี้ยนจงรวมกันเป็นหนึ่งกลุ่ม จำนวนคนรวมๆแล้วมีประมาณเจ็ดถึงแปดสิบคน ต่อให้จะอยู่บนภูเขาฝั่งตรงข้าม แค่แหงนหน้าขึ้นมาก็มองเห็นกองไฟสว่างจ้าที่พวกเขาก่อขึ้นมาได้แล้ว
ความรวดเร็วของจูนจิ่วลดช้าลง นางยื่นมือไปลูบคางของเสี่ยวอู่ “พวกข้าแยกกันเดินคนละทาง หากพบเจอคนสะกดรอยตามรีบรายงานข้า ”
“เหมียว ” ดี
เสี่ยวอู่พุ่งตัวออกไปเหมือนลูกปืน เรือนร่างที่ขาวดุจหิมะเมื่อหายเข้าไปในความมืดมิดกลับไม่ได้ตกเป็นเป้าสายตาเลย มันเคลื่อนตัวรวดเร็วปานสายฟ้า หายวับภายในพริบตาเดียว
จูนจิ่วหันหน้าเดินไปอีกทางหนึ่ง นางวางมือไว้ข้างลำตัว ปลายนิ้วมือแกว่งโยวหยิ่งเล่น ฝีเท้าที่ดูเหมือนเดินสบายๆ แต่ละก้าวที่เดินไม่มีเสียงใดๆ แค่ก้าวออกไปครั้งเดียวก็หายตัวไกลออกไปสิบเมตร เหมือนกับดวงวิญญาณลึกลับที่ยากต่อการต้านทานและยิ่งพบเห็นได้ยาก
ใช้เวลาเพียงไม่นาน จูนจิ่วสังเกตเห็นสายลับคนที่หนึ่ง หลังจากที่จูนจิ่วมองดูบริเวณรอบๆอย่างระมัดระวัง จนมั่นใจว่าเขามาคนเดียว จูนจิ่วจึงก้าวเท้าเดินเข้าไปใกล้
เห็นสายลับสวมใส่ชุดคลุมสีดำ หลบซ่อนอยู่บนต้นไม้จ้องมองไปทางพวกจูนหยูนเสวี่ยอย่างน่ากลัว นางหรี่สายตาลงต่ำ จูนจิ่วกระตุกยิ้มหยันตรงมุมปาก นางหายตัวเลยผ่านไป
ท่าทางดุจภูตผี เร็วปานสายฟ้าแลบ ใช้ด้ามจับมีดสั้นทุบเข้าที่ท้ายทอยอย่างจัง สายลับยังไม่ทันได้รู้ตัวก็สลบไปเสียแล้ว จูนจิ่วยกมือขึ้นมาจับไหล่ของสายลับไว้ เพื่อกันไม่ให้เขาล้มลงไปแล้วส่งเสียงดัง นางพลิกฝ่ามือแล้วจับที่คอเสื้อของสายลับ หิ้วตัวเขาขึ้นมาราวกับหิ้วสิ่งของอย่างนั้น จากนั้นหมุนตัวกลับลากตัวคนจากไป
“เสี่ยวอู่” จูนจิ่วร้องเรียกในใจ
เพียงไม่นานก็มีเสียงเสี่ยวอู่ตอบกลับมาอย่างดีอกดีใจ“มาแล้ว เหมียว อยู่ตรงนี้”
จูนจิ่วเงยหน้ามองไป เห็นแมวสีขาวตัวใหญ่เท่าฝ่ามือที่ปากคาบแขนเสื้อไว้ วิ่งเข้ามาหานางจากบนยอดต้นไม้อย่างรวดเร็ว ข้างหลังของเสี่ยวอู่ มีบุคคลหนึ่งที่เดินโยกเยกไปมาเหมือนตุ๊กตา ขณะที่หัวเกือบชนเข้าใส่ต้นไม้ กลับถูกดึงกลับไปไม่ให้ชนใส่อย่างน่าประหลาด
จนกระทั่งตอนที่เสี่ยวอู่กระโดดลงจากต้นไม้ บุคคลนั่นตกลงไปที่พื้นเสียงดังตุบ เสี่ยวอู่คายแขนเสื้อออก ถุยๆพร้อมเช็ดปากแล้วพูดว่า “เหมียว นายท่าน ข้าพบเจอคนคนนี้ และบริเวณรอบๆมีเขาเพียงคนเดียว”
“ทำได้ดีมาก” จูนจิ่วย่อตัวลงไปลูบหัวของเสี่ยวอู่ แล้วเหลือบตามองไปยังคนที่สวมชุดคลุมสีดำทั้งสองคน นางดีดยาหุ่นเชิดเข้าปากสายลับคนละหนึ่งเม็ด สำหรับนางการสอบสวนสายลับไม่มีประโยชน์อะไร แค่ยาหุ่นเชิดสองเม็ดก็เพียงพอแล้ว
ยาหุ่นเชิดแสดงผลเร็วมาก ทั้งสองคนถูกจูนจิ่วกดจุดล็อคเสียงไม่ให้เปล่งเสียงพูดได้ และมองดูพวกเขานอนดิ้นรนกลิ้งอยู่ที่พื้นด้วยความใจเย็น สุดท้ายทั้งสองหยุดนิ่ง แล้วลุกขึ้นมาทีละคน ก้มหน้าลงต่อหน้าจูนจิ่ว เสียงดีดนิ้วดังขึ้นปลดล็อคการกดจุด จูนจิ่วพูดขึ้นว่า “ที่นี่ยังมีคนของพวกเจ้าอีกไหม?”
“ตอนนี้ยังไม่มี พวกข้าพบเห็นเป้าหมายก่อนจึงสะกดรอยตามนาง กองกำลังใหญ่ยังอยู่ข้างหลัง” สายลับทั้งสองตอบกลับพร้อมกัน
เมื่อได้ยินดังนั้น จูนจิ่วขมวดคิ้วแน่น ยังมีกองกำลังใหญ่อีกหรือ? ที่นี่มันเขตลับเทียนอู่นะ คนที่เข้ามาได้ล้วนเป็นลูกศิษย์จากสี่สำนัก เป็นไปไม่ได้ที่จะถูกสวมรอยปลอมตัวเข้ามา อีกอย่างทางเข้าอยู่ที่ลานฝึกวิทยายุทธเฉียนคุนแล้วคนพวกนี้เข้ามาได้อย่างไร?
จูนจิ่วถามไปอีกว่า “พวกเจ้าอยู่สังกัดอะไร และพวกเจ้ายังมีคนจำนวนเท่าไหร่ เข้ามาในเขตลับเทียนอู่ได้อย่างไร สะกดรอยตามจูนหยูนเสวี่ยมีวัตถุประสงค์เพื่ออะไร?”
“พวกข้าเป็นนักรบผู้พลีชีพแห่งเทียงฉิว เข้ามาในเขตลับเทียนอู่ครั้งนี้มีทั้งหมดสามสิบคน ผู้อาวุโสสามได้กุญแจสำรองมาจึงเปิดเขตลับเทียนอู่ได้ วัตถุประสงค์ของพวกข้าคือจับตัวจูนหยูนเสวี่ยแม่นายแห่งกองทัพเย่สิง เพื่อต่อรองให้กองทัพเย่สิงยอมส่งมอบสิ่งของออกมา”
สีหน้าของจูนจิ่วเปลี่ยนไปนิดหน่อย นัยน์ตาสะท้อนประกายเย็นเฉียบ
ประโยคคำพูดเมื่อครู่ข้อมูลค่อนข้างแน่น จูนจิ่วลองเรียบเรียงใหม่ ประการแรกคือ คนที่อยู่เบื้องหลังเป็นองค์กรที่เรียกว่าเทียงฉิว และสายลับสองคนนี้เป็นนักรบผู้พลีชีพเทียงฉิว ประการที่สองคือ พวกเขาเข้ามาในเขตลับเทียนอู่จำนวนทั้งหมดสามสิบคน เห็นได้ชัดว่ามีการเตรียมตัวมาค่อนข้างดี ซึ่งการแข่งขันทั้งห้าสำนักถูกจ้องมองไว้ตั้งนานแล้ว
ประการที่สามเป็นคำถาม เทียงฉิวได้กุญแจสำรองเขตลับเทียนอู่ได้อย่างไร? ประการที่สี่แผนของนางสำเร็จแล้ว เหยื่อล่อจูนหยูนเสวี่ยได้สำแดงฤทธิ์ดึงดูดคนที่อยู่เบื้องหลังออกมาได้แล้ว ประการที่ห้าเป็นคำถามเหมือนกัน เทียงฉิวจะจับตัวแม่นายของกองทัพเย่สิง เพื่อต่อรองให้กองทัพเย่สิงส่งมอบสิ่งของอะไร?
ข้อมูลสามอย่าง กับอีกสองคำถาม
สายตาจูนจิ่วลุ่มลึกพร้อมลูบที่คางเบาๆ เสี่ยวอู่รู้ดีว่านี่เป็นเวลาสำคัญที่จูนจิ่วกำลังครุ่นคิด ห้ามใครรบกวน ฉะนั้นมันจึงนั่งอยู่ข้างๆอย่างเชื่อฟัง และกวาดสายตามองไปรอบๆ เพื่อป้องกันภัยอันตราย
ผ่านไปครู่ใหญ่ จูนจิ่วเก็บอาการบนใบหน้า นางสอบสวนสายลับสองคนนั้นต่อ ภายใต้ฤทธิ์ยาหุ่นเชิด พวกเขาไม่มีการซ่อนเร้นใดๆ เพียงแต่ว่าพวกเขาก็เป็นแค่นักรบพลีชีพ เรื่องที่รู้ยังน้อยเกินไป สิ่งที่พอเป็นประโยชน์ได้บ้างก็เป็นห้าประเด็นย่อยที่วิเคราะห์ออกมาได้ในตอนท้าย
เมื่อมั่นใจแล้วว่าไม่มีข้อมูลอื่นแล้ว จูนจิ่วหายตัววับเดินผ่านร่างกายนั้น โยวหยิ่งในมือลอยผ่านเชือดเข้าที่คอ สายลับสองคนนี้ไม่มีประโยชน์แล้ว
นางยกมือขึ้นมาทำท่าประสานมือเจว๋ ยอดต้นไม้ที่อยู่รอบๆมีนกหลายตัวตกลงมา พวกมันจ้องมองมาทางจูนจิ่ว แล้วร้องเจี๊ยวจ๊าวบินจากไป การเก็บสายลับสองคนนี้ไว้อาจถูกเปิดโปงได้ง่าย สู้ใช้นกไปสอดแหนมข้อมูลและติดตามการปรากฏตัวของพวกเทียงฉิว จากนั้นแจ้งข่าวให้นางทราบอย่างทันท่วงทียังจะดีเสียกว่า
หลังจากที่ทำทุกอย่างเสร็จ จูนจิ่วกำลังจะเรียกเสี่ยวอู่กลับไป และเก็บจูนหยูนเสวี่ยไว้เป็นเหยื่อล่อต่อไป นางแค่อดทนรอการปรากฏตัวของเทียงฉิว ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยปาก สายตาของจูนจิ่วดับแสงลงและเพ่งเล็งไปทางป่าทึบ
ดวงตาของเสี่ยวอู่ดุดัน ยกกรงเล็บขุดที่พื้นดิน พร้อมแยกเขี้ยวยิงฟันใส่ “นายท่านเราถูกล้อมแล้ว”