บทที่ 354 ความจริงอยู่ตรงหน้า
มู่จิ่งหยวนมองพวกเขายิ้มๆ ยิ้มอย่างสง่างาม เขาถาม “หนึ่งตำหนักสามสำนักพวกเจ้ารู้หรือไม่”
“รู้ รางวัลเกี่ยวกับหนึ่งตำหนักหรือ ”จูนจิ่วเลิกคิ้ว
จูนจิ่วกับชิงหยู่ประสานสายตากัน ระหว่างนักจิตใหญ่มีข่าวลือว่า ถีหูก้วนติ่งเป็นวิธีการฝึกฝนที่ยอดเยี่ยมที่สุด ไม่เพียงแต่ฝึกฝนกายเนื้อเท่านั้น ยังจะมีผลต่อการพัฒนาสติสัมปชัญญะในการรับรู้ได้อีกด้วย เพียงแต่ว่าเมื่อก่อนนี้เรื่องนี้ก็เป็นเพียงแค่เรื่องเล่าเท่านั้น ตอนนี้เห็นทีว่าถีหูก้วนติ่งนั้นมีอยู่จริง
“ในโลกชั้นต่ำสามชั้น มีเพียงหนึ่งตำหนักเท่านั้นที่มีน้ำพุหลิงซู ให้สำหรับป้ายหลิงซูอันดับที่หนึ่ง นี่ก็คือรางวัลที่หนึ่งตำหนักมอบให้ลูกศิษย์ชั้นดีของทั้งสามสำนักศึกษา”มู่จิ่งหยวนพูดต่อไปว่า “อีกทั้งนี้ยังเป็นบททดสอบในการเข้าสู่หนึ่งตำหนัก ได้ที่หนึ่งก็เท่ากับว่าพวกเจ้ามีสิทธิ์ที่จะเข้าสู่หนึ่งตำหนักได้”
หนึ่งตำหนัก หรือเรียกอีกชื่อว่าตำหนักไท่หวง
เป็นสัญลักษณ์อันสูงส่งที่สุดของโลกชั้นต่ำสามชั้น มีพลังที่แข็งแกร่งที่สุด และอำนาจที่สูงส่ง และเป็นกุญแจสำคัญดอกเดียวที่จะผ่านเข้าไปสู่โลกชั้นกลางสามชั้นได้
หากบอกว่าการรับลูกศิษย์ของทั้งสามสำนักศึกษานั้นยากแล้ว เช่นนั้นหนึ่งตำหนักก็คงยากดุจขึ้นสวรรค์ อีกทั้งข่าวคราวเกี่ยวกับหนึ่งตำหนัก ก็น้อยเสียจนน่าสงสาร หากไม่ใช่มู่จิ่งหยวนบอกกับพวกเขา พวกเขาไม่มีทางรู้ได้แน่ แม้ว่าจูนจิ่วจะดูหนังสือมากกว่าครึ่งในห้องหนังสือแล้ว ก็รู้แค่เพียงชื่อของหนึ่งตำหนักเท่านั้น
สายตาเย็นชา จูนจิ่วเลิกคิ้วมองมู่จิ่งหยวน “นี่เป็นข้อมูลลับกระมัง ทำไมศิษย์พี่มู่จึงได้วางใจเล่าให้พวกเราฟัง”
ชิงหยู่ได้ยินก็ระแวงทันที หันไปจ้องมู่จิ่งหยวนด้วยสายตาเหมือนจะมองให้ทะลุคอยสังเกตทุกการเคลื่อนไหวของมู่จิ่งหยวน คนที่รู้เรื่องนี้มีน้อยมากถึงน้อยที่สุด มู่จิ่งหยวนมาบอกพวกเขาเช่นนี้มีจุดประสงค์อะไรกันแน่
ไม่โทษที่ชิงหยู่จะระแวงขึ้นมา เป็นเพราะมู่จิ่งหยวนเองมีท่าทีเป็นมิตรมากเป็นพิเศษต่อจูนจิ่ว ทำให้ชิงหยู่เกิดรู้สึกร้อนใจมากที่จะควบคุมศิษย์น้องคนนี้
มู่จิ่งหยวนยิ้ม หางตาแฝงรอยยิ้มสดใสสง่างาม เขาเอ่ยว่า “เพราะข้าเชื่อว่าพวกเราสามคนตั้งได้ที่หนึ่งแน่ๆ ฉะนั้นจึงได้บอกกับพวกเจ้าล่วงหน้า และเพื่อเป็นการกระตุ้นพวกเจ้าให้พยายามให้มากขึ้นด้วย”
จูนจิ่ว “แค่นี้น่ะหรือ”
“หึ ข้าพูดความจริงก็ได้ ข้าได้พนันกับเพื่อนของข้า หากไม่ได้ที่หนึ่งข้าต้องเสียวหินทิพย์ชั้นที่สองหนึ่งถุง จูนจิ่วต้องช่วยศิษย์พี่มู่ของเจ้าด้วยนะ”
มู่จิ่งหยวนยิ้ม แล้วก็ขยิบตาให้กับจูนจิ่ว
ได้ยินดังนี้ จูนจิ่วก็ยิ้มขึ้น แววเย็นชาในสายตาค่อยๆจางลง
คำพูดของมู่จิ่งหยวนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง นางไม่ได้เชื่อทั้งหมด แต่นางดูออกว่ามู่จิ่งหยวนไม่ได้มีเจตนาร้าย ลดความระแวงในใจลง จูนจิ่วก็ล้อเล่นกับมู่จิ่งหยวน “ถ้าข้าช่วยศิษย์พี่มู่คว้าที่หนึ่งมาได้ ศิษย์พี่มู่จะตอบแทนข้ากับศิษย์พี่ข้าอย่างไร”
“หินทิพย์พวกเจ้าเอาหรือไม่”
“พวกเราไม่ขาด”ชิงหยู่ตอบอย่างคนรวย รู้ว่าหลังจากที่จูนจิ่วมีช่องว่างแห่งแหวนแล้ว ชิงหยู่ก็เอาหินทิพย์ทั้งหมดฝากไว้ที่จูนจิ่ว จากนั้นก็ขอจากเทียนอู๋มาเรื่อยๆไม่น้อย
หากจะขาด ก็คงจะขาดเพียงหินทิพย์ชั้นสูง มู่จิ่งหยวนคนนี้ก็คงจะเอามาให้ไม่ได้
มู่จิ่งหยวนลูบคาง พูดว่า “จูนจิ่วเจ้าเป็นนักกลั่นยา เช่นนั้นข้าให้สูตรยาดีหรือไม่ ส่วนชิงหยู่ วิชากำลังภายในเป็นอย่างไร”
“ได้ ”เห็นว่าดีก็ตอบรับ จูนจิ่วคุ้นเคยกับเหตุผลในการวางตนเป็นอย่างดี เงยหน้าเห็นท้องฟ้าที่มืดสนิท ไม่ไกลนักเห็นลูกศิษย์สำนักศึกษาไท่ชูที่รวมกลุ่มสามคนห้าคนล้อมรอบกองไฟ พูดคุยหัวเราะราวกับว่าไม่มีความตื่นเต้นในการจะเริ่มเข้าสู่งานล่าสัตว์ทิพย์
มีเพียงตอนที่พวกเขาใช้สายตามองมาเท่านั้น ความอิจฉาทำให้บรรยากาศสามัคคีนั้นสลายไป
ตอนนี้เอง จูนจิ่วก็ได้ยินเสียงของมู่จิ่งหยวนพูดขึ้น “นอกจากที่หนึ่ง งานล่าสัตว์ทิพย์นี้ยังมีโอกาสอีกมากนัก มีข้าอยู่ด้วย ข้าจะช่วยพวกเจ้าป้องกันข้อผิดพลาดอย่างดี เพียงแต่พวกเจ้าอย่าเหมือนกับผู้อาวุโสของพวกเจ้า ใช้สำนักศึกษาไท่ชูเป็นบันไดสู่ความสำเร็จเท่านั้น ถ้าเช่นนั้นข้าคงโมโหมาก”ในสมองมีแสงหนึ่งวาบผ่าน เร็วจนไม่สามารถจับต้องได้ จูนจิ่วหันไปมองมู่จิ่งหยวน สายตาแหลมคมเย็นชา “ผู้อาวุโส ใครกัน”
“มาจากสำนักเทียนอู่จงของพวกเจ้า ชื่อผางชิงเยว่ พวกเจ้าจำไม่ได้หรือ”มู่จิ่งหยวนเห็นจูนจิ่วกับชิงหยู่สีหน้าเปลี่ยนไป ก็หรี่ตามองด้วยสายตาคมเย็นชา รู้สึกแปลกใจ
สามารถเข้าสู่สำนักศึกษาทั้งสามได้ สำนักเทียนอู่จงสมควรจะยินดีและเป็นเกียรติมิใช่หรือ ทำไมจึงรู้สึกราวกับเป็นศัตรูอย่างไรอย่างนั้น
ขณะที่มู่จิ่งหยวนรู้สึกสงสัยไม่คลายนั้น ชิงหยู่ก็รีบเอ่ยปากถามขึ้น “ศิษย์พี่มู่เคยเห็นผางชิงหยว่หรือ บอกให้พวกเราฟังได้หรือไม่ ”
“ได้ ”มู่จิ่งหยวนเลิกคิ้ว ไม่ได้อุบเอาไว้แต่กลับบอกพวกเขาไปโดยตรง ผางชิงเยว่มาที่สำนักศึกษาไท่ชูเมื่อสิบกว่าปีก่อน ตอนนั้นเขาไปพึ่งพาผู้อาวุโสใหญ่ อาศัยการฝึกฝนที่ไม่เลวนัก จึงได้รับผางชิงเยว่ไว้เป็นลูกศิษย์ภายนอกเป็นกรณีพิเศษ
จากนั้นผางชิงเยว่ก็ได้อยู่ที่สำนักศึกษาไท่ชูเป็นเวลาสามปี หลังจากสามปีก็เข้าร่วมงานล่าสัตว์ทิพย์แล้วก็เปลี่ยนไปสวามิภักดิ์ต่อสำนักศึกษาเทียนซู เป็นลูกศิษย์ของสำนักศึกษาเทียนซู
มู่จิ่งหยวน “ผางชิงเยว่คนนี้หักหลังสำนักศึกษาไท่ชู อาจารย์ข้าได้ให้คนออกตามจับ แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร สุดท้ายก็จัดการไม่ได้ และไม่รู้ว่าสำนักศึกษาเทียนซูใช้วิธีไหนเกลี้ยกล่อมไม่ให้อาจารย์สนใจอีก หากให้ข้าพบกับผางชิงเยว่ ข้าต้องฆ่าเขาแน่”
“ตอนแรกที่ผางชิงเยว่มาที่สำนักศึกษาไท่ชู ก็ไปพึ่งพาอาศัยผู้อาวุโสใหญ่หรือ”จูนจิ่วถาม
มู่จิ่งหยวนพยักหน้า แล้วพูดต่อว่า “เรื่องนี้ผู้อาวุโสใหญ่ก็โมโหเป็นอย่างมาก เพราะเป็นคนที่เขารับเอาไว้ สุดท้ายก็หักหลังหนีไปยังสำนักศึกษาไท่ชู”
ได้ยินดังนี้ จูนจิ่วสายตาเย็นชาลง สายตามีไอสังหารวาบผ่าน นางพอจะเข้าใจแล้ว
วิเคราะห์ทุกอย่าง และพิจารณาตามลำดับ
จูนจิ่วก็รับรู้ถึงจุดที่สำคัญที่สุด ผางชิงเยว่สวามิภักดิ์แก่สำนักศึกษาทั้งสาม ตอนนี้ได้อยู่ที่สำนักศึกษาไท่ชูครบสามปีแล้ว จากนั้นก็หันไปที่สำนักศึกษาเทียนซู สามปีมานี้ก็อยู่ภายใต้ผู้อาวุโสใหญ่ วิชาฝึกตนชั้นที่สี่มีความเป็นไปได้ว่าจะอยู่ในมือของผู้อาวุโสใหญ่ ไม่เช่นนั้นผู้อาวุโสใหญ่คงไม่แนะนำให้ผางชิงเยว่ไปที่สำนักศึกษาเทียนซู
ไม่ผิด ผางชิงเยว่มีผู้อาวุโสใหญ่คอยกำกับอยู่เบื้องหลัง จึงได้ไปยังสำนักศึกษาเทียนซู จากนั้นก็ได้กลายเป็นผู้อาวุโสสามของเทียงฉิว
แม้ว่าจูนจิ่วจะเคยพบหน้าผู้อาวุโสใหญ่เพียงสองครั้ง แต่นางก็มองเขาออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ผู้อาวุโสใหญ่เป็นคนโลภมาก เรื่องที่ไม่มีผลประโยชน์จะไม่ทำ จะทำการใดๆต้องมีผลประโยชน์เป็นที่ตั้งจึงจะขับเคลื่อนได้
สิ่งที่ผางชิงเยว่มีและสามารถทำให้ผู้อาวุโสใหญ่สนใจได้ ก็มีเพียงวิชาฝึกตนชั้นที่สี่เท่านั้น อีกทั้งท่าทีที่ผู้อาวุโสใหญ่มีต่อนางนั้นพิเศษมาก คิดว่าคงจะเป็นเพราะวิชาฝึกตนเป็นแน่
เป็นเพราะวิชาฝึกตนไร้วิชาจิต จึงไม่สามารถฝึกฝนได้ คงเป็นเพราะความเจ้าเล่ห์ของผางชิงเยว่ ไม่ได้ให้วิชาจิตไว้ และก็คงเป็นไปได้ว่าผู้อาวุโสใหญ่ก็ไม่รู้ ไม่เช่นนั้นเขาคงฝึกฝนวิชาฝึกตนสำเร็จแล้ว
แต่ไม่ใช่การเข้าใกล้นาง วางแผนจะเอาวิชาจิตจากนาง
เรื่องราวค่อยๆกระจ่างขึ้น ทั้งหมดปรากฏขึ้นในสมองของจูนจิ่ว วิเคราะห์ไปมา สุดท้ายก็แน่ใจได้ถึงร้อยละแปดสิบ จูนจิ่วจึงได้เก็บความคิดเอาไว้มองไปยังมู่จิ่งหยวน ยิ้มขึ้น
นางเอ่ยขึ้น“เกรงว่าความหวังของศิษย์พี่มู่จะเป็นไปไม่ได้แล้ว”
“หือ”
“ผางชิงเยว่ถูกข้าฆ่าตายแล้ว ”มู่จิ่งหยวนได้ยินก็รู้สึกตกใจระคนแปลกใจ นิ่งอึ้งยากจะเชื่อได้ “เจ้าฆ่าผางชิงเยว่”