พวกผู้ถือหุ้นนั่นพูดแต่ว่าเซียวจิ่งสือไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อน อันที่จริงพวกเขาต่างก็มีความคิดอื่นอีกมากมาย แต่ไม่อาจพูดออกมาได้เท่านั้น ตอนนี้พอเห็นว่าเรื่องกลายเป็นแบบนี้ ก็รู้ว่าเซียวจิ่งสือมีฝีมือจริง
คิดไม่ถึงว่าผลตามมาตอนนี้จะหนักหนาสาหัสขนาดนี้ อีกทั้งท่าทีของเซียวจิ่งสือที่มีต่อเรื่องนี้ก็เด็ดขาดมากด้วย
ในเมื่อคนพวกนั้นบอกว่าเขาไร้น้ำใจ งั้นเซียวจิ่งสือก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะไว้ไมตรีให้พวกเขา
“เรื่องที่ผมให้คุณไปจัดการเป็นยังไงบ้างแล้ว?” เซียวจิ่งสือโทรหาคนของเขา นิ้วมือยังเคาะโต๊ะเป็นจังหวะ เขาอยากจะถามว่าหลายวันมานี้เรื่องบริษัทของพวกผู้ถือหุ้นนั่นสถานการณ์เป็นอย่างไรบ้างแล้ว
“เจ้านายครับ บริษัทพวกนั้นดูท่าว่าจะไปไม่รอดแล้ว พวกเขาคงยันไว้ได้อีกไม่กี่วันแล้ว” พอฟังถึงตรงนี้ เซียวจิ่งสือก็รับคำอย่างพอใจ จากนั้นวางสายไป
ในเวลาเดียวกันนี้เอง อันซวี่กรุ๊ปก็ถูกแฉออกมาว่ามีปัญหามากมาย และปัญหาเหล่านี้ดูท่าว่าจะแก้ได้ยากมาก ซึ่งนี่ทำให้ผู้บริหารระดับสูงทั้งหลายของอันซวี่กรุ๊ปปวดหัวกันมาก
ตอนนี้มีข่าวลือจากหลายแห่งบอกเล่าถึงสถานการณ์บางอย่างของอันซวี่กรุ๊ป เรื่องพวกนี้ในสายตาของอันจี๋อวี่แล้ว เขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ได้แต่ถอนใจเฮือกแล้วเฮือกเล่า
“พักนี้อันซวี่กรุ๊ปถูกแฉเรื่องปัญหาจริยธรรมองค์กรของบริษัท ข้อเท็จจริงของปัญหาเหล่านี้ถึงแม้ผู้ที่เกี่ยวข้องจะไม่ได้ออกมาชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา แต่จากหลักฐานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในตอนนี้ ปัญหาข่าวเชิงลบพวกนี้ของอันซวี่กรุ๊ปย่อมมีเค้าความจริงอยู่แน่” อันจี๋อวี่ดูผู้สื่อข่าวสาวพูดรายงานยาวเหยียดในโทรทัศน์
อันจี๋อวี่เห็นแล้ว…ต่อให้แค่ฟังเสียงก็รู้สึกปวดหัวตึบได้ ตั้งแต่เกิดเรื่องจนถึงตอนนี้ เขาไม่รู้ว่านอนไม่หลับมากี่คืนแล้ว
ทุกวันนี้ เรื่องเดียวที่เขาคิดในตอนนี้คือเครือบริษัทเขาจะมีข่าวฉาวอะไรโผล่ออกมาอีกหรือเปล่า พอนึกถึงตรงนี้ อันจี๋อวี่ก็ได้แต่ทอดถอนใจเฮือกแล้วเฮือกเล่า แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย
ตอนนี้เขายังคิดหาวิธีแก้ปัญหาไม่ได้ จึงได้แต่ร้อนใจเหมือนมดในกระทะร้อนยังไงยังงั้น แต่ต่อให้เขาคิดวิธีออกมาได้ ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ก็ควบคุมอะไรไม่ได้อยู่ดี
ด้วยความอับจนและร้อนใจ อันจี๋อวี่จึงได้แต่หยิบรีโมทขึ้นมาปิดโทรทัศน์ซะ ภาพหน้าจอดับวูบ ไม่มีเสียงดังมาอีก และมีแต่ตอนนี้ที่เขารู้สึกสงบใจขึ้นมาได้
เมื่อครู่นักข่าวสาวที่พูดรายงานข่าวนั้นได้เห็นแก่หน้าบริษัทมากแล้ว แต่ตอนนี้ต่อให้บริษัทไม่ได้ออกมาประกาศแก้ข่าวอย่างเป็นทางการ ข้างนอกนั่นก็มีนักข่าวมารอทำข่าวอยู่มากมาย
ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ เหมือนกับว่าเรื่องทั้งหมดล้มเหลวแล้ว ไม่มีหนทางถอยอีก
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้?” นาทีนี้ อันจี๋อวี่นั่งอยู่ในออฟฟิศคนเดียว ถึงแม้ว่ารอบข้างไม่มีเสียงอะไรแล้ว แต่เขายังพึมพำถามตัวเองอยู่นั่น
อันจี๋อวี่ยกมือขึ้นกดนวดขมับ เพื่อลดอาการกระสับกระส่ายของตัวเอง
ด้านนอกมีเสียงเคาะประตูห้องดังเบาๆ อาจเป็นเพราะได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง อันจี๋อวี่จึงเงยหน้าขึ้นมา
“เข้ามาเถอะ!” อันจี๋อวี่ปัดฝุ่นบนเสื้อผ้าตัวเอง ในเวลานี้ต่อให้เป็นข่าวร้ายแค่ไหนเขาก็ต้องรับเอาไว้
เสียงฝีเท้าดังมา เพียงครู่เดียวก็มาถึงหน้าโต๊ะทำงานของอันจี๋อวี่
“ท่านประธานอัน ตอนนี้ข้างนอกนั่นมีข่าวลือมั่วไปหมด บอกว่าบริษัทเราหมดหนทางแล้ว” ลูกน้องที่เข้ามารายงานปัญหาไม่รู้ว่าจะอธิบายสถานการณ์ของบริษัทอย่างไรดี ตอนนี้เขาอธิบายได้แค่สี่คำนี้เท่านั้น
พอได้ยินคนที่มารายงานพูดแบบนี้ หัวใจของอันจี๋อวี่กระตุกวูบ เพราะว่าพอเขาได้ยินว่าหมดหนทางแล้ว ก็พอจะบอกถึงสภาพจิตใจเขาได้ดี
“ตอนนี้ข้างนอกนั่นพูดถึงพวกเราไม่ค่อยดีนัก เข้าใจว่าบริษัทเราติดค้างค่าแรงพนักงานตลอดเลย” ถึงแม้จะเห็นว่าสีหน้าของเจ้านายย่ำแย่ลงทุกทีแล้ว แต่สภาพความเป็นจริงก็ยังต้องรายงานอยู่ดี
“งั้น…ถ้าตอนนี้พวกเราออกหน้าจัดการล่ะ?” อันจี๋อวี่แบมืออย่างจนปัญญา และนี่ก็เป็นวิธีการเดียวในตอนนี้ที่เขาพอจะนึกออกมาได้ และเป็นวิธีที่ได้ผลที่สุดด้วย
“แต่ตอนนี้พวกเขาดูเหมือนจะมีหลักฐานมายันกับพวกเรา ถึงตอนนั้นพวกเราจะแก้ปัญหานี้ยังไงดี?” ได้ยินคำพูดเหล่านี้แล้ว อันจี๋อวี่ก็เห็นด้วยกับคำพูดที่ว่านี้ อันที่จริงสถานการณ์แบบนี้ทำไมเขาจะคิดไม่ถึงนะ
ตอนนี้มีปัญหาสำคัญของบริษัทโผล่ขึ้นมา ในสายตาคนอื่นแล้วนี่เป็นปัญหาด้านหลักการของบริษัท ถ้าหากปัญหานี้ไม่ได้รับการแก้ไขที่ได้ผลแล้ว ต่อไปบริษัทที่มาร่วมมือกับพวกเขาย่อมจะลดลงไปมาก
อันจี๋อวี่นั่งอยู่ในห้องทำงาน สั่งให้คนที่ออกไปปิดประตูให้สนิท เขาไม่รู้ว่าตัวเองควรจะอธิบายปัญหานี้อย่างไร คิดไม่ถึงว่าอันซวี่กรุ๊ปจะต้องประสบปัญหาด้วยเรื่องจริยธรรมองค์กร
พอนึกถึงตรงนี้ อันจี๋อวี่ก็รู้สึกโมโหมาก กวาดเอาที่เขี่ยบุหรี่ที่ด้านข้างลงพื้นไป
คนที่เข้ามารายงานเมื่อครู่ออกไปไม่นานก็รีบร้อนกลับมาเคาะประตูอีก เดิมทีอันจี๋อวี่ก็ปั่นป่วนว้าวุ่นอยู่แล้ว คิดไม่ถึงว่าตอนนี้เสียงเคาะประตูกลับดังขึ้นอีกแล้ว
“เข้ามาสิ เกิดอะไรขึ้นอีกล่ะ” เสียงอันจี๋อวี่ไม่ดังเหมือนเมื่อครู่อีก เนื่องจากเมื่อครู่เขารู้สึกว่าตัวเองเหน็ดเหนื่อยใจซะเหลือเกิน
“เมื่อครู่…” คนที่เข้ามาสีหน้าลำบากใจ เขามองดูอันจี๋อวี่ราวกับไม่อาจทนรับเหตุสุดวิสัยอะไรอีก ตอนนี้ถ้าเขาบอกข่าวนี้กับอันจี๋อวี่ เขาต้องตกใจมากแน่
“มีเรื่องอะไรก็พูดเถอะ ไม่ต้องพิรี้พิไรหรอก” อันจี๋อวี่หอบหายใจแรง แล้วหลับตาลง คล้ายกับเพื่อสงบระงับจิตใจ
“แผนโครงการร่วมมือของพวกเรารั่วไหล” พอได้ฟังคนตรงหน้าพูดออกมา อันจี๋อวี่ก็เบิกตาโพลงขึ้น เพลิงโทสะลุกพึ่บขึ้นอีกครั้ง
“เป็นอย่างนี้ได้ยังไง บริษัทของเราเป็นถึงอย่างนี้แล้ว ยังมีคนทำแบบนี้อีก!” อันจี๋อวี่ไม่รู้แล้วว่าตัวเองควรจะพูดอะไรมาอธิบายสภาพในตอนนี้อีก
เรื่องราวที่เกิดขึ้นเหล่านี้ล้วนแต่ทำให้เขาปวดหัวมาก ก่อนหน้านี้บริษัทถูกแฉว่ามีปัญหาเชิงจริยธรรม ติดค้างเงินเดือนพนักงาน
ปรากฏว่าตอนนี้ยังมีเรื่องซ้ำเติมอีก แผนโครงงานนี้จะอย่างไรก็ถือว่าเป็นความลับของบริษัท คิดไม่ถึงว่าขนาดเรื่องเงินเดือนยังเป็นอย่างนี้ จะเอาความลับมาจากไหนได้อีก
“เอาล่ะ ผมรู้แล้ว คุณออกไปก่อนเถอะ” ปฏิกิริยาของอันจี๋อวี่ต่อเรื่องพวกนี้ดูนิ่งลงไปมาก เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ตื่นเต้นตึงเครียดเหมือนอย่างเมื่อครู่อีก