“หึ ช่วยผม? เกรงว่าจะช่วยพวกคุณเองมากกว่า ทำไมผมจะไม่รู้ว่าพวกคุณใจดีขนาดนี้ ยังจะช่วยผม ก็แค่เห็นว่าบริษัทไปได้ดีแล้วคิดจะกลับมาก็เท่านั้น ขอโทษด้วย พวกคุณ…ผมไม่ต้องการ!”
“คุณจะพูดแบบนี้ไม่ได้นะ มีคำกล่าวว่า คนไม่ทำเพื่อตัวเองสวรรค์ยังไม่เข้าข้างเลย แต่ว่าพวกเราตอนนี้คิดจะช่วยคุณด้วยความจริงใจเลยนะ”
เซียวจิ่งสือไม่เสียเวลาพูดจาไร้สาระกับพวกเขาอีก กับคนอย่างพวกเขา พูดไปก็เสียแรงเปล่า เขาสั่งคนให้ไล่พวกนั้นออกไป
พวกผู้ถือหุ้นนั่นเคยถูกคนปฏิบัติต่อเขาแบบนี้ที่ไหนกัน? มีครั้งไหนบ้างที่คนอื่นจะไม่ยกพวกเขาไว้? ตอนนี้พวกเขายอมอ่อนข้อให้เซียวจิ่งสือขนาดนี้ แต่เขากลับไม่ยอมดื่มสุราคารวะแต่จะดื่มสุราจับกรอก [1] !
พวกผู้ถือหุ้นหลายคนนั้นเห็นว่าเซียวจิ่งสือไม่มีทีท่าว่าต้องการให้เขาเข้าบริษัทอีก ก็ไม่เสแสร้งใส่หน้ากากอีกต่อไป พากันด่าทอออกมา
“เซียวจิ่งสือ แกมันคนเนรคุณ เสียแรงที่เคยร่วมบริหารบริษัทมาด้วยกัน ตอนนี้พอบริษัทไปได้ดีก็คิดจะถีบหัวส่ง จะช้าเร็วกรรมต้องสนองแก ฉันจะขอให้แกไม่ได้ตายดี!”
“ถุย ก็แค่บริษัทกระจอกเอง แกยังเข้าใจว่าทุกคนต้องมาประจบแกสินะ? ไม่ลองส่องกระจกชะโงกดูเงาหัวตัวเองบ้างว่าเป็นตัวอะไร!”
ถึงยังไงเซียวจิ่งสือก็ไม่ยอมให้เขากลับเข้าบริษัทในฐานะผู้ถือหุ้นอีก พวกเขาจึงไม่ต้องไว้หน้าอะไรกันอีก ด่ากราดเซียวจิ่งสือตั้งแต่หัวจรดเท้าจนครบรอบ
พวกเขาเข้าใจว่าแบบนี้แล้ว เซียวจิ่งสือจะยอมอ่อนข้อให้ แต่ด่าตั้งครึ่งค่อนวันแล้วยังไม่เห็นแม้แต่เงาของเซียวจิ่งสือ จึงไม่ง้อต่อไปอีก ด่ามาครึ่งวันตัวเองเหนื่อยไม่พอ เซียวจิ่งสือไม่สะเทือนเลยสักนิด
“ฮึ ไม่ต้องมาไล่หรอก ฉันออกไปเองก็ได้ เอามือสกปรกของแกออกไป อย่างแกคิดจะมาจับตัวฉัน? หิ้วรองเท้าให้ฉันยังไม่เอาเลย!” พอเห็นว่าเซียวจิ่งสือไม่สนใจพวกเขา จึงได้แต่ระบายโทสะเอากับยามรักษาความปลอดภัย
แต่พวกเขาเหมือนต่อยหมัดลงบนกองนุ่น [2] คนของบริษัทต่างทำเหมือนกับเซียวจิ่งสือ ไม่มีปฏิกิริยาอะไรต่อคำพูดของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย
“คุณครับ อย่าเข้าไปอีกเลยครับ ไม่อย่างนั้นพวกเราคงต้องใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดแล้วครับ”
“แก…ดี ดีมาก ฮึ!” ชี้นิ้วอยู่ครึ่งค่อนวันไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี พอจัดเสื้อผ้าท่าทางตัวเองเสร็จก็สะบัดแขนจากไป พวกเขาเข้าใจว่าตัวเองดูยิ่งยงทรงอำนาจ แต่กลับไม่รู้ว่าในสายตาคนอื่นแล้วมันน่าหัวเราะขนาดไหน
……
ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห คิดไม่ถึงว่าตอนนี้แม้แต่ยามเฝ้าประตูตัวเล็กๆ คนหนึ่งยังกล้ามาต่อกรกับพวกเขา นี่มันไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตาเลยงั้นสิ? สำหรับพวกเขาแล้ว นี่เป็นเรื่องหยามหน้ากันชัดๆ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม แค้นนี้ต้องชำระแน่
วันรุ่งขึ้น พวกเขาจัดงานแถลงข่าวขึ้น
“สวัสดีครับท่าน ไม่ทราบว่าทุกท่านเร่งรีบจัดงานแถลงข่าวอย่างรีบด่วนนี้ขึ้นด้วยเรื่องอะไรครับ?” นักข่าวคนหนึ่งถามเปิดงานไปตรงๆ
“วันนี้นะ เรื่องสำคัญก็คือพูดกับทุกท่านเรื่องของเซียวจิ่งสือ”
“เซียวจิ่งสือ? มีเรื่องอะไรกันนะ?”
“คืออย่างนี้ เซียวจิ่งสือเจ้าเด็กเลวนั่น เมื่อก่อนพวกเราร่วมงานกัน ทุกคนต่างก็ช่วยเขา บริหารกิจการจนก้าวหน้าด้วยดี พวกคุณก็รู้แล้วนี่ ช่วงก่อนหน้านี้บริษัทดำเนินการได้ไม่ดีนัก แต่ก็ผ่านมาได้ด้วยดี ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จย่อมอยู่ที่นั่น ในที่สุดบริษัทก้าวหน้าขึ้นทุกวัน แต่คิดไม่ถึงว่า เซียวจิ่งสือกลับฉวยโอกาสขับไล่พวกเราออกมาซะแล้ว”
“ใช่แล้ว พวกเราร่วมดำเนินกิจการมาอย่างยากลำบาก เมื่อก่อนเขายังทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ยังต้องคอยดูพวกเรา ให้พวกเราคอยสอนทีละขั้นทีละตอน ต่อให้ไม่มีความชอบแต่ก็ลงแรงไม่น้อยกระมัง คิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นคนแบบนี้” ผู้ถือหุ้นรายหนึ่งพูดขึ้น คนอื่นๆ ก็ทยอยเสริมคำพูดเขา ฟังดูมีเนื้อมีหนังเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา
“จากที่พูดมานี่ พวกคุณอยู่กับเขาผ่านประสบการณ์ด้วยกันมาตั้งมากมาย ทำไมตอนนี้เขาไม่ยอมรับพวกคุณแล้วล่ะ?”
“ก็เพราะผลประโยชน์บังตานะสิ เขาคิดจะฮุบบริษัทเอาไว้เอง! ตอนนี้พอดีเลย ทำได้แล้วนี่ ก็เลยถีบพวกเราออกมานี่ไง”
“งั้นพวกคุณไปคุยกับเขามาหรือยัง?”
“คุยแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่า เซียวจิ่งสือกลับให้คนไล่พวกเราออกมา ทั้งยังด่าพวกเราเสียๆ หายๆ อีก แล้วพวกเราจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกันเล่า”
……
เพียงไม่นานหลินหว่านก็รู้เรื่องนี้เข้า แน่นอนว่าเธอไม่เชื่อคำพูดของคนพวกนั้น เซียวจิ่งสือเป็นคนยังไง คนอื่นไม่รู้ เธอจะไม่รู้เชียวรึ?
เธอรีบโทรหาเซียวจิ่งสือ “ฮัลโหล คุณได้ดูข่าวรึยังคะ? แล้วคิดจะทำยังไงต่อไป?”
เซียวจิ่งสือฟังหลินหว่านพูดอย่างมึนงงจับต้นชนปลายไม่ถูก หลายวันนี้เขามัวยุ่งกับเรื่องของบริษัท ยุ่งจนหัวหมุนไปหมด ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นด้วยซ้ำ
หลินหว่านเห็นเขาเป็นแบบนี้ก็รู้ว่าเขายังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเลย เธอจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังแบบย่อ
“เอาล่ะ เรื่องนี้คุณไม่ต้องเป็นห่วงนะ เชื่อผม ต้องมีทางแก้ได้แน่” เขาคิดไม่ถึงเลยว่า พวกผู้ถือหุ้นจะหน้าหนาไร้ยางอายกันได้ถึงขนาดนี้ ตอนนี้ยังมีหน้าทำท่าเป็นฝ่ายถูกมาพูดโกหกพกลมแบบนี้ คิดจะพลิกกลับดำเป็นขาวให้ชาวบ้านเข้าใจผิดอีก
“งั้นก็ได้ ถ้าต้องการให้ช่วยอะไรก็บอกฉันนะคะ”
แม้ว่าหลินหว่านยังไม่ค่อยจะวางใจนัก แต่หลังจากพูดกำกับไปหลายคำแล้วก็วางสายไป ตอนนี้เขาน่าจะมีเรื่องที่สำคัญกว่าต้องทำ เธอไม่ควรจะรบกวนให้เขาเสียเวลามากนัก
เดิมทีเซียวจิ่งสือก็ไม่คิดจะถือสาหาความกับพวกเขานัก แต่คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะไร้ยางอายขนาดนี้ ยังคิดจะเรียกร้องความเห็นใจอีก ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเขาเป็นคนไม่ดีไปแล้ว
ต่อให้คนที่ใจเย็นขนาดไหนรู้เรื่องเข้าคงไม่อาจเฉยอยู่ได้ใช่ไหมเล่า นี่มันใส่ร้ายเขาเห็นกันชัดๆ ถือว่าเป็นการทำร้ายจิตใจกันชัดๆ
ทำดีด้วยแล้วกลับกลายเป็นตามใจจนเสียนิสัยแบบนี้ อีกฝ่ายแทบจะขึ้นมาขี่คอเขาอยู่แล้ว เขาจะไม่ยอมนั่งรอความตายอยู่นี่ต่อไปหรอก ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าคนพวกนั้นจะพูดให้ร้ายอะไรเขาอีกสิ
เซียวจิ่งสือนั่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วโทรหาผู้ช่วย ไม่นานนักผู้ช่วยก็มาหา “ท่านประธาน ต้องการอะไรครับ?”
“นายไปสืบมาให้ฉันที พวกผู้ถือหุ้นเดิมนั่น ในมือพวกเขายังมีหุ้นบริษัทอยู่เท่าไรกับทรัพย์สินของพวกเขา ยิ่งละเอียดยิ่งดี”
สองชั่วโมงต่อมา ผู้ช่วยหอบเอกสารตั้งหนึ่งกลับเข้ามา รายงานทรัพย์สินของบรรดาผู้ถือหุ้นพวกนั้นให้เซียวจิ่งสือทราบโดยละเอียด
พอฟังรายงานจบ ก็พูดว่า “คิดไม่ถึงเลยว่า จิ้งจอกเฒ่าพวกนี้จะยังมีทรัพย์สินมากขนาดนี้ ในเมื่อพวกแกใส่ร้ายฉัน ก็อย่ามาว่าฉันใจร้ายก็แล้วกัน ฮึ!”
เวลาผ่านไปอีกระยะหนึ่ง กิจการต่างๆ ของผู้ถือหุ้นพวกนั้นก็มีอันต้องเจอกับอุปสรรคโดยไม่ทราบสาเหตุ กว่าพวกเขาจะรู้ว่าเป็นฝีมือของเซียวจิ่งสือก็ช้าไปแล้ว พวกเขาได้แต่มองดูกิจการที่ตัวเองสร้างมากับมือต้องมีอันล้มครืนลงไป…
——
[1] ไม่ยอมดื่มสุราคารวะแต่จะดื่มสุราจับกรอก หมายถึง ไม่ยอมปฏิบัติต่อกันด้วยดี ต้องให้ใช้กำลังบังคับ
[2] ต่อยหมัดบนกองนุ่น หมายถึง จมหาย ไม่มีอะไรสะท้อนตอบรับกลับมา