ถึงแม้จะปฏิเสธแม่ไปแล้ว แต่หลินหว่านมาคิดดูก็ยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรจึงจะช่วยให้เซียวจิ่งสือรอดพ้นวิกฤตครั้งนี้ได้
ขณะที่เธออับจนอยู่นั้นเอง ในหัวก็นึกขึ้นมาได้ว่ายังมีเหลยลี่อยู่ที่สามารถช่วยพวกเขาได้ เพียงแต่…เขาจะช่วยหรือเปล่านี่สิ? ช่างเถอะ ไม่คิดมากแล้ว ไม่ว่าเขาจะช่วยหรือไม่เธอก็ต้องไปลองดู เผื่อว่าจะสำเร็จ?
เธอติดต่อเหลยลี่โดยเร็ว ส่วนเหลยลี่พอได้รับโทรศัพท์จากหลินหว่านก็ไม่แปลกใจเลยสักนิด เหมือนกับคาดไว้ก่อนแล้ว แต่ยังแกล้งถามว่า
“ไม่ทราบว่าคุณหลินทำไมยังมีเวลา นึกถึงผมอีก ช่างเป็นเกียรติของผมซะจริงๆ ฮ่าๆ!”
“คุณเหลยนี่พูดอะไรแบบนั้น พูดกันตามจริงแล้ว ฉันก็มีเรื่องมาขอร้องคุณจริงๆ ซะด้วย พูดทางโทรศัพท์ไม่ค่อยดี ไม่ทราบว่า…เรานัดพบกันสักครั้งจะได้ไหมคะ?”
“ฮ่าๆ คุณหลินคุณนี่เกรงใจไปแล้ว งั้นก็ได้ ตอนนี้ผมว่างพอดี ตอนนี้เลยก็แล้วกัน?”
“คุณเหลยช่างรวบรัดชัดเจนมาก งั้นอีกเดี๋ยวฉันจะส่งสถานที่นัดพบเข้ามือถือคุณ ช่วยตรวจดูด้วยนะคะ!”
จากนั้นทั้งสองก็พูดจาตามมารยาทอีกหลายคำแล้ววางสายไป
หลินหว่านโทรหาร้านกาแฟแห่งหนึ่ง ขอจองห้องแยกต่างหากกับทางร้าน เวลานี้ไม่ใช่เวลาทานอาหาร มีเพียงพวกเขาสองคนนั่งคุยกัน ไปร้านกาแฟแบบนี้เหมาะมาก พอจองห้องได้หลินหว่านก็รีบแต่งตัวออกจากบ้านไป
เสียง “ติ๊ง” ดังขึ้น เป็นเสียงเตือนจากกล่องข้อความของเหลยลี่ ที่แท้เป็นหลินหว่านที่ส่งรายละเอียดของสถานที่นัดหมายมาให้เขา เหลยลี่ยิ้มพลางส่ายศีรษะรีบออกไปตามนัด
เมื่อเหลยลี่มาถึง ก็พบว่าหลินหว่านรอเขาอยู่ก่อนแล้ว
“ขอโทษด้วยครับ คุณหลิน ผมมาสายไปหน่อย”
หลินหว่านที่นั่งรออย่างกระสับกระส่ายพอเห็นเหลยลี่มาก็แอบถอนใจโล่งอก เธอรีบลุกขึ้นยืนจับมือทักทายเพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อเหลยลี่
“ไม่เลยค่ะ ฉันก็เพิ่งมาถึงเหมือนกัน นี่ยังก่อนเวลานัดตั้งสิบห้านาทีด้วยซ้ำ” ที่จริงแล้วไม่ได้เป็นอย่างที่หลินหว่านพูดเลย หลังจากเธอแจ้งสถานที่นัดหมายแล้วก็รีบตรงมาที่นี่ รอได้สักพักแล้ว
เธอคิดไว้ว่า ยังไงซะเธอก็เป็นฝ่ายต้องการความช่วยเหลือจากเหลยลี่ ในเมื่อมีเรื่องต้องขอร้องเขา ย่อมต้องแสดงท่าทีที่ดีออกมา จึงจะทำให้คนเขาเห็นความจริงใจของเธอ
ส่วนเหลยลี่ก็เพียงแค่ยิ้มไม่ได้พูดอะไร นั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามหลินหว่าน
“ไม่ทราบว่าคุณหลินรีบร้อนนัดผมออกมาขนาดนี้ มีเรื่องอะไรหรือ?”
ขณะที่หลินหว่านไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากอย่างไรนั้นเอง เหลยลี่ก็ถามขึ้นก่อน
หลินหว่านลังเลอยู่สองวิแล้วสงบใจได้ ในเมื่อมาแล้วยังจะถอยได้อีกรึไง?
“พูดกันตามจริงนะคะ คิดว่าคุณเหลยคงจะทราบอยู่แล้วเรื่องของท่านประธานเซียวในตอนนี้?”
“เรื่องของประธานเซียวผมก็พอจะทราบมาบ้าง ผมยังรู้สึกเสียดายแทนเขาอยู่เลย”
“งั้นฉันจะขอพูดตามตรงนะคะ ถ้าหากเป็นการล่วงเกินคุณเหลยก็ขอให้คุณอภัยให้ด้วยค่ะ”
“ไม่เป็นไร”
“คืออย่างนี้ค่ะคุณเหลย บริษัทของท่านประธานเซียวตอนนี้กำลังอยู่ในสถานการณ์ตึงมือจริงๆ ฉันก็ไม่ทราบว่าควรจะทำอย่างไรดีแล้ว ก็เลย…ไม่ทราบว่าคุณเลยจะยื่นมือเข้ามาช่วยได้หรือไม่คะ?”
พอได้ยินหลินหว่านพูดแบบนี้ เหลยลี่ก็แกล้งทำเป็นลังเลอยู่บ้าง พูดว่า “เอ้อ…คุณหลิน ผมขอบคุณนะที่คุณยอมรับผมขนาดนี้ แต่ว่า…คุณหาคนผิดรึเปล่า เกรงว่าครั้งนี้ผมคงช่วยคุณไม่ได้หรอกนะ!”
“คุณเหลยคะ ที่จริงฉันก็ทราบว่าคุณคงต้องลำบากใจ แต่ตอนนี้เราหมดทางแล้วจริงๆ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มารบกวนคุณเหลยแล้ว” พอฟังว่าเหลยลี่ปฏิเสธ หลินหว่านก็พูดขึ้นเพื่อหวังโอกาสสุดท้ายจากเหลยลี่
“คุณหลิน ขอโทษด้วยที่ต้องบอกว่าผมช่วยไม่ได้จริงๆ ถ้าหากในตอนปกติแล้ว คุณหลินมาหาผมด้วยตัวเองขนาดนี้ ผมไม่มีเหตุผลที่จะไม่ช่วยเลย นี่ถ้ามีเวลาอีกสักระยะหนึ่งผมต้องช่วยพวกคุณเต็มที่แน่ แต่ระยะนี้ผมเองก็กำลังติดขัดอยู่เหมือนกัน ตัวเองยังเอาตัวไม่รอดเลย และที่เราให้ความสำคัญที่สุดก็ยังเป็นผลประโยชน์อยู่ดี ดังนั้นก็ขอให้คุณ…”
คำพูดของเหลยลี่ชัดเจนมากอยู่แล้ว คราวนี้เขาคงช่วยเธอไม่ได้แล้ว ดังนั้นพูดต่อไปก็เปล่าประโยชน์ ดวงตาของหลินหว่านแสดงความผิดหวังออกมาอย่างปิดไม่มิด
“งั้นเหรอคะ ไม่เป็นไรค่ะ อย่างไรก็ขอขอบคุณท่านประธานเหลยด้วยค่ะ”
“งั้นวันนี้เราคุยกันแค่นี้ก่อนนะ ผมยังมีธุระอื่นอีก ขอตัวก่อนครับ” พูดจบเหลยลี่ก็ก้าวเท้าจากไป
ถ้าหากหลินหว่านพิจารณาดูให้ดีจะพบว่าเหลยลี่จากไปอย่างรีบร้อนอยู่บ้าง เหมือนกับว่า…ละอายแก่ใจ?
โอย…จะไม่ละอายแก่ใจได้ยังไง? ถ้ายังไม่ออกมาเขากลัวว่าหลินหว่านจะจับพิรุธได้ซะจริงๆ
อันที่จริงไม่ใช่ว่าเหลยลี่จะช่วยหลินหว่านไม่ได้ และก็ไม่ใช่ว่าเขาไม่ยอมช่วย แต่ว่าก่อนหลินหว่านจะมาหาเขา เซียวจิ่งสือได้มาเตี๊ยมกับเขาไว้ก่อนแล้วบอกว่า ให้เขาอย่ารับปากคำขอร้องของหลินหว่าน แม้จะไม่รู้ว่าทำไมต้องทำแบบนี้ แต่เหลยลี่ก็ยังทำตามที่เซียวจิ่งสือบอก
ส่วนหลินหว่านหลังจากเหลยลี่ไปแล้วก็นั่งอยู่บนที่นั่งตัวเองอย่างท้อแท้ เธอไม่รู้แล้วจริงๆ ว่าตัวเองควรจะทำอะไรกันแน่
เดิมทีคิดว่าเหลยลี่เป็นทางออกสายหนึ่ง เข้าใจว่าเขาจะยอมรับคำขอร้องจากเธอ ผลปรากฏว่าสุดท้ายยังเสียแรงเปล่าอีก?
หลินหว่านพยายามสงบสติอารมณ์ตัวเอง ทำให้ดูเหมือนเป็นปกติแล้วจึงลุกขึ้นเดินออกไป เธออยากจะไปหาเซียวจิ่งสือ ดูว่าทางฝั่งเขาเป็นอย่างไรบ้างแล้ว
เซียวจิ่งสือเห็นว่าหลินหว่านกลับมาแล้ว ไม่ได้มีทีท่าว่าท้อแท้แต่อย่างใด ก็นึกสงสัยขึ้นมา หรือว่าเหลยลี่ตอบตกลงกับเธอ?
“ขอโทษด้วยนะคะ เซียวจิ่งสือ ฉันช่วยอะไรคุณไม่ได้เลย ฉันเพิ่งไปหาเหลยลี่มา แต่เขาปฏิเสธคำขอของฉันค่ะ” พอหลินหว่านเดินเข้าใกล้เซียวจิ่งสือ เธอก็พูดกับเขาช้าๆ ด้วยสีหน้าเสียใจสุดซึ้ง ท่าทางหงอยแบบนั้น ทำเอาเซียวจิ่งสือปวดใจด้วยความสงสาร
เซียวจิ่งสือยื่นมือมาโอบหลินหว่านเอาไว้กับอก “ไม่เป็นไรครับ ผมรู้ว่าคุณพยายามอย่างที่สุดแล้ว เรื่องนี้เราจะร้อนใจเกินไปก็ไม่ได้นิ?”
หลินหว่านผงกศีรษะเบาๆ พวกเขาสองคนไม่ได้พูดอะไรอีก กอดกันอย่างสงบอยู่อย่างนั้น เงียบๆ …
เวลาผ่านไปนานทีเดียว เสียงของเซียวจิ่งสือก็ดังขึ้นเหนือศีรษะของหลินหว่าน “อันที่จริง หว่านหว่าน ผมว่าผมก็ไม่จำเป็นต้องมีบริษัทอะไรนั่นหรอก แบบนี้ก็ดีแล้ว ไม่ต้องทำงานยุ่งทุกวัน จะได้มีเวลาอยู่เป็นเพื่อนคุณเยอะๆ ไง”
หลินหว่านได้ฟังคำพูดเซียวจิ่งสือแล้วหัวตาร้อนวูบ จมูกคัดขึ้นมาอยู่บ้าง (อาการจะร้องไห้?)
เซียวจิ่งสือรีบฉวยโอกาสรุก พูดต่อว่า “หว่านหว่าน เอางี้…ผมก็เข้าวงการบันเทิงด้วยดีไหม จะได้ลุยไปด้วยกันกับคุณ แบบนี้จะได้มีอะไรทำบ้างแล้วก็ได้อยู่กับคุณด้วย ก็ดีนะครับ”