เย่ส้าทำงานอย่างรวดเร็วฉับไวมาก วันที่สอง สถานการณ์ของสำนักศึกษาเทียนซูก็นิ่งสงบแล้ว
เดิมทีจูนจิ่วคิดว่าจะทำการตรวจชีพจรรักษาเป็นรายบุคคลให้คนทั้งหมด แต่ปรากฏว่าพอมาถึงก็เห็นนักกลั่นยาอีกหลายคนอยู่ในสำนักศึกษาเทียนซูราวกับโผล่มากลางอากาศ แต่ละคนดูสูงศักดิ์ และยโสโอหังเป็นอย่างยิ่ง พอสืบดูก็รู้ว่านักกลั่นยาเหล่านี้มาจากตำหนักไท่หวง ตู๋กูชิงสั่งให้พวกเขามารักษาทุกคน
โดยเฉพาะคนที่ถูกเขาทำร้าย ต้องให้ความสำคัญและรักษาให้อย่างดี อีกทั้งยังมอบของชดเชยให้อีกไม่น้อย เหล่านี้ พวกเฟิ่งเซียวได้บอกกับจูนจิ่วทั้งหมด
ท่าทีของตู๋กูชิง สามารถพูดได้ว่าจริงใจไร้ข้อกังขาเป็นอย่างยิ่ง สายตาที่ทุกคนมองเขา ก็ค่อยๆเริ่มเปลี่ยนแปลงไป ไม่เพียงเท่านี้ จูนจิ่วก็เริ่ม “บังเอิญพบกัน”กับตู๋กูชิงในหลากหลายรูปแบบ
อย่างเช่นตอนนี้ ระหว่างทางกลับเรือนจูนจิ่วก็พบเข้ากับตู๋กูชิง
เขายืนอยู่บริเวณปากทางแยก มองมายังจูนจิ่วด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน พอเห็นตู๋กูชิง เหลิ่งยวนรีบส่งสัญญาณเสียงถามจูนจิ่วทันที “แม่นางจูนต้องการให้ข้าไล่เขาไปหรือไม่ ”
“ไม่ต้อง ข้ากำลังอยากฟังอยู่เหมือนกันว่าเขาจะพูดอะไร”จูนจิ่วบอกให้เหลิ่งยวนไม่ต้องออกมา นางเดินเข้าไปอย่างเฉยเมย มองไปยังตู๋กูชิงแล้วเอ่ยเสียงเย็นว่า “มีธุระอะไรหรือ”
“ไม่มีธุระจะมาหาเจ้าไม่ได้หรือ”ตู๋กูชิงพูดล้อเล่นด้วยรอยยิ้ม
แต่จูนจิ่วเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง พยักหน้าอย่างเย็นชา รอยยิ้มที่มุมปากของตู๋กูชิงแข็งค้างไป
จูนจิ่วพูดว่า “ข้ายุ่งมาก ไม่ว่างมาเสียเวลา”
น้ำเสียงของจูนจิ่วห่างเหินเย็นชา สำหรับเขาแล้วเย็นชายิ่งกว่าคนแปลกหน้า แววตาของตู๋กูชิงลึกล้ำขึ้น และไม่ได้รู้สึกถอดใจต่อท่าทีของจูนจิ่ว เขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนา พูดว่า “จูนจิ่วเจ้าจะกลับไปใช่หรือไม่ ข้าไปส่งเจ้า”
จูนจิ่วไม่ปฏิเสธ
นางจะดูสิว่า ตู๋กูชิงสร้างเรื่องบังเอิญพบกันหลายครั้งแล้ว ต้องการทำอะไรกันแน่
ทุกครั้ง ตู๋กูชิงมักมาพร้อมกับความห่วงใยและจริงใจที่เต็มเปี่ยม ราวกับว่ามาหานางก็เพราะเป็นห่วงต้องการปกป้องดูแลนางเท่านั้น ไม่ได้มีจุดประสงค์อื่น และไม่ได้มีแผนการอะไร แต่จูนจิ่วก็ไม่ได้หวั่นไหว ครั้งแล้วครั้งเล่า ตู๋กูชิงจะเก็บซ่อนไว้ได้อีกนานแค่ไหน
ขณะที่เดินอยู่ จูนจิ่วไม่พูดจา ที่สุดก็ผ่านไม่ได้ไม่นาน ตู๋กูชิงทนต่อความเงียบต่อไปไม่ได้และเปิดปากพูดขึ้นมาก่อน เขาถามจูนจิ่วว่า “จูนจิ่ว เจ้าเชื่อเรื่องรักแรกพบหรือไม่ ”
จูนจิ่วเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างเรียบเฉย ใบหน้าของตู๋กูชิงเต็มไปด้วยความอบอุ่น แววตาลึกซึ้งดุจสายน้ำ
มุมปากโค้งขึ้นอย่างล้อเลียน จูนจิ่วตอบว่า “รักแรกพบเป็นข้อสมมุติล่วงหน้า ต้องดูหน้าด้วย ไม่มีใครตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบกับคนหน้าตาอัปลักษณ์หรอกนะ ”
“เจ้างดงามมาก”ตู๋กูชิงรีบพูดขึ้นทันที
รอยยิ้มที่มุมปากของจูนจิ่วยิ่งลึกขึ้น นางพยักหน้าอย่างจริงจัง “ข้ารู้ตัวว่าข้างดงามมาก”
เขาจ้องมองจูนจิ่วอย่างลึกซึ้ง รอยยิ้มที่มุมปากอบอุ่นจริงจัง เขาพูดไม่ผิด จูนจิ่วนั้นงามจริงๆ ตั้งแต่มีสถานะเป็นเจ้าตำหนักไท่หวง ตู๋กูชิงพบเจอหญิงงามมานับไม่ถ้วน แต่ไม่มีใครสามารถทำให้เขาประทับใจได้เท่ากับจูนจิ่วมาก่อน
อีกทั้งยังอยู่ในวัยที่ดอกไม้กำลังค่อยๆเบ่งบาน แต่ก็งดงามจนล่มเมืองได้แล้ว รอให้ถึงเวลาเบ่งบานเต็มที่แล้ว ไม่รู้ว่าจะงดงามสักเท่าใด แค่ใบหน้าของจูนจิ่ว เขาก็ยินดีจะแต่งงานกับนางด้วยใจจริงแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจุดอื่นๆอีกมากมายของจูนจิ่วที่ดึงดูดเขา ทำให้เขาไม่สามารถปล่อยวางไปได้
เดี๋ยวก่อน
ตู๋กูชิงเพิ่งจะได้สติว่านี่มีบางสิ่งไม่ถูกต้อง ในคำพูดของจูนจิ่วไม่ได้หมายถึงตัวนางเอง และเป็นการพูดเป็นนัยว่าเขาต่างหากที่มีรูปโฉมอัปลักษณ์ รอยยิ้มของตู๋กูชิงแข็งค้าง มือที่อยู่ในแขนเสื้อกำเป็นหมัดแน่น แม้จะรู้จากปากของหงยิงมาแล้วว่า จูนจิ่วนั้นปากคอเราะรายไม่เบา แต่ตู๋กูชิงไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า จูนจิ่วจะปากร้ายกับเขาด้วย
บอกว่าเขาหน้าตาน่าเกลียด
ขณะที่ตู่กูชิงกำลังสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อสงบจิตสงบใจ ก็ได้ยินจูนจิ่วเปิดปากเอ่ยถามขึ้นมาว่า “ใช่แล้ว ยังไม่รู้เลยว่าปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว”
“ยี่สิบเจ็ด”
“แก่มาก”
แก่มาก……แก่มาก……ในสมองมีคำพูดนี้หมุนวนอย่างไร้ที่สิ้นสุด ใบหน้าของตู๋กูชิงแข็งค้างไปจนหมด เขารักษารอยยิ้มเอาไว้อย่างยากลำบาก มองจูนจิ่วแล้วพูดว่า “จูนจิ่ว สำหรับนักจิตใหญ่แล้ว อายุเท่านี้ถือว่ายังอายุน้อยมาก พลังยิ่งสูง อายุขัยยิ่งยืนยาว แค่ไม่กี่สิบปีก็ไม่ได้ถือเป็นเรื่องใหญ่อะไรเลย ”
“แต่ข้าสนใจ”จูนจิ่วหยุดฝีเท้าลง หมุนไปพูดกับตู๋กูชิง “เจ้าตำหนักตู๋กู ท่านได้รับรู้คำตอบของข้าแล้ว อายุของท่านก็ไม่เหมาะสม สัญญาแต่งงานก็ยกเลิกไปเสียเถอะ ล้วนดีกับทั้งตัวท่านและตัวข้าเอง”
“คำสั่งของพ่อแม่และการชักนำของแม่สื่อ จะยกเลิกไปง่ายๆได้อย่างไร จูนจิ่วเจ้ายังเด็กไม่เข้าใจ อายุไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่อะไรเลย สถานะและพลังต่างหากที่สำคัญ ข้าคือเจ้าตำหนักแห่งตำหนักไท่หวง สามารถมอบชื่อเสียงและเกียรติยศสูงสุดในชีวิตนี้ให้กับเจ้าได้ และข้าก็จะทำดีกับเจ้าแค่คนเดียว จะไม่ทำให้เจ้าต้องเสียใจเด็ดขาด”
น้ำเสียงของตู๋กูชิงค่อนข้างรุนแรง พอได้สติก็รีบเปลี่ยนน้ำเสียงทันควัน เปลี่ยนเป็นมีความอดทนมากขึ้น ค่อยๆใช้คำพูดที่แฝงความดึงดูดและมีเสน่ห์เข้าไปในคำพูด
ตู๋กูชิงพูดต่อไปว่า “จูนจิ่ว ข้าอยากจะแต่งงานกับเจ้าด้วยใจจริง แม่เจ้าเลือกข้า ก็เพราะเชื่อว่าข้าสามารถดูแลเจ้าได้ ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเคยผ่านอะไรมาบ้าง แต่ข้ายินดีจะใช้อนาคตของข้าในทุกๆวัน ฟังทุกสิ่งที่เจ้าเล่า และให้ความสุขแก่เจ้า”
จูนจิ่ว:……
ไก่คุยกับเป็ดพูดคนละภาษาพูดไม่รู้เรื่อง เห็นทีตู๋กูชิงจะแน่วแน่มาก ไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย เช่นนั้นสิ่งที่เขาอยากจะได้ ต้องสำคัญมากแน่ๆ
สำคัญจนกระทั่ง เขาคิดจะใช้สัญญาแต่งงานมาผูกมัดนางเอาไว้
“ชีวิตของเจ้ายังอีกยาวไกลนัก ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนตัดสินใจ ข้าจะรอจนกว่าเจ้าจะตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง ”ตู๋กูชิงจ้องมองจูนจิ่วด้วยรอยยิ้มล้ำลึก เขาถนัดในการทำเรื่องรักษาระยะห่างที่เหมาะสม พูดจากันถึงตรงนี้ก็ขอตัวลา ทิ้งจูนจิ่วเอาไว้ค่อยๆครุ่นคิด
ถ้าหากเป็นคนอื่น คงถูกตู๋กูชิงหลอกจนหน้ามืดตามัวไปนานแล้ว ไม่ว่าอะไรก็ตอบตกลงไปหมด
ลูบที่คาง จูนจิ่วแบะปาก “ใหญ่กว่าข้าสิบสองปียังมีอีกมาก โคแก่อยากกินหญ้าอ่อน ฝันกลางวันได้สวยงามมาก ”
โม่อู๋เยว่เพิ่งจะปรากฏตัวขึ้น พอได้ยินคำพูดนี้ของจูนจิ่วก็ใช้มือกระตุกขนกระจุกหนึ่งตรงก้นของเสี่ยวอู่ออก เสี่ยวอู่ระเบิดขนขึ้นมาอย่างกะทันหัน “เหมียว โม่อู๋เยว่เจ้ากระตุกขนข้าทำไม เกรียนหมดแล้ว ฮือ”
เสี่ยวอู่รีบพุ่งตัวออกจากอ้อมอกของโม่อู๋เยว่ เข้าไปกอดขาของจูนจิ่วร้องไห้ฟ้องร้อง มันยังกระดกก้นขึ้น ให้จูนจิ่วดูว่าก้นขอมันเกรียนไปหนึ่งจุด
ถ้าไม่ใช่เพราะสู้โม่อู๋เยว่ไม่ได้ มันคงจะจัดการเองตั้งนานแล้ว
จูนจิ่วมองเสี่ยวอู่ที่เข้ามาฟ้องร้องอย่างน่าสงสาร จากนั้นก็มองโม่อู๋เยว่ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม จูนจิ่วเลิกคิ้ว “อู๋เยว่ รูดแมวไม่ได้รูดเหมือนที่ท่านทำ”
โม่อู๋เยว่พึมพำ เขารูดแมวไม่เป็น เป็นแต่ฆ่าเสือขาว เสี่ยวอู่ถือว่าเป็นเสือขาวตัวผู้ที่มีชีวิตอยู่ข้างกายเขาได้ยาวนานที่สุดตั้งแต่โลกนี้ถูกสร้างขึ้นมาแล้ว ขนเกรียนไปนิดเดียวจะนับอะไร หึหึ แน่นอนว่าจะพูดอย่างนี้ต่อหน้าจูนจิ่วไม่ได้
ในสมองยังคงมีคำพูดของจูนจิ่วที่พูดเมื่อครู่วนเวียนไปมาอยู่ โม่อู๋เยว่หรี่ตาเปิดปากพูดขึ้นว่า“เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ให้ความสำคัญกับอายุมากหรือ ”
ได้ยินโม่อู๋เยว่ถามเรื่องนี้ แววตาของจูนจิ่วก็สว่างวาบ มุมปากของนางมีรอยยิ้มแฝงเลศนัย ถามอย่างล้อเลียนว่า “ข้ายังไม่เคยถามเลย ว่าท่านอายุเท่าไหร่”
“อายุเท่ากับท้องฟ้า”โม่อู๋เยว่พูดแค่นี้
“เหมียวๆๆ”เสี่ยวอู๋อ้าปากตาค้าง อายุเท่ากับท้องฟ้านั่นมันอายุเท่าไหร่กันแน่
“ฟู่ฮ่าๆๆๆ อายุเท่ากับท้องฟ้า เช่นนั้นก็เท่ากับท่านเป็นโสดอยู่หลายปีแล้วสินะ ถ้าท่านเป็นคนโสดอันดับสอง ต้องไม่มีใครกล้าเรียกท่านว่าคนโสดอันดับหนึ่ง……อุ๊บ”คางถูกเชยให้เงยหน้าขึ้น สัมผัสที่อบอุ่นดูดกลืนเสียงที่ยังพูดไม่จบของจูนจิ่ว
ลมหายใจยุ่งเหยิงอยู่สักพักกว่าจะได้รับอิสระ จูนจิ่วจ้องไปยังแววตาสีทองที่เคร่งขรึมของโม่อู๋เยว่ “เพราะข้ารอเจ้ามาตลอด”