บทที่ 408
คำพูดของเขาหมายความว่า เย่เฉินเป็นเพียงคนนอก อย่ามายุ่งเรื่องของตระกูลเว่ย!
เมื่อเว่ยเลี่ยงได้ยินประโยคนี้ ความตื่นเต้นเมื่อสักครู่ เขามีความรู้สึกเหมือนจมดิ่งลงไปทันที
ในที่สุดเขาก็รู้ตัวว่า ตนเองถูกหลอก
และถูกหลอกจนน่าสังเวช
พ่อไม่เคยคิดที่จะให้โอกาสตนเองเลย
ถึงแม้ว่าตนเองจะนำโสมหิมะอันล้ำค่าที่แม่ทิ้งไว้ให้เขา หรือแม้ว่าตนเองจะขอร้องให้เย่เฉินช่วยตระกูลเว่ยแล้ว แต่พ่อของตนเองก็ยังไม่เคยคิดที่จะให้ตัวเองเป็นประธาน
ขณะนี้ เย่เฉินขมวดคิ้ว มองไปที่เว่ยหย่งเจิ้งแล้วกล่าวด้วยเสียงเยือกเย็นว่า “ทำไม? คุณจะผิดคำพูด?”
เว่ยหย่งเจิ้งรีบกล่าวว่า “อาจารย์เย่ คุณไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ สิ่งที่ผมบอกลูกทั้งสองในตอนนั้นคือ ถ้าใครสามารถช่วยครอบครัวแก้ปัญหานี้ได้ ก็จะมีโอกาสเป็นประธาน วันนี้เว่ยเลี่ยงสร้างผลงานช่วยเหลือครอบครัว แน่นอนว่าผมจะจดจำไว้ ในอนาคตเมื่อถึงเวลาเลือกประธานขึ้นมา มันจะทำให้เขาจะมีโอกาสชนะมากขึ้น”
คำพูดของเว่ยหย่งเจิ้ง คือคำพูดที่ไร้ยางอายสิ้นดี ใครก็ตามที่แก้วิกฤตได้ จะได้เป็นประธาน แต่ตอนนี้เขากลับเปลี่ยนคำพูดเป็น ใครก็ตามที่แก้วิกฤตได้ จะมีโอกาสได้เป็นประธาน
“มีโอกาส” คำนี้ ทำให้อำนาจทั้งหมดอยู่ในมือของตนเอง ซึ่งเหมือนกำเหรียญไว้ในมือของตนเอง เมื่อต้องการให้เหรียญเป็นหัวก็จะเป็นหัว เมื่อต้องการให้เหรียญเป็นก้อยก็จะเป็นก้อย ทำเช่นนี้จะมีใครสามารถชนะเขาได้?
เว่ยฉางหมิงที่อยู่ข้างๆเขาก็ทนไม่ได้รู้สึกโมโหเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เซียวอี้เชียนก็ไปแล้ว วิกฤตก็ได้รับการแก้ไขแล้ว เขาไม่กลัวเย่เฉินอีกต่อไป เขาจึงกล่าวออกไปตรง ๆ ว่า “พี่เย่ เรื่องของตระกูลเว่ย ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับคนนอกเช่นคุณ หากคุณรู้ตัวแล้วก็รีบไสหัวออกไป ตระกูลเว่ยยังไม่ถึงคราวที่คุณจะก้าวก่ายได้!”
เว่ยหย่งเจิ้งเป็นคนที่หน้าไหว้หลังหลอก เมื่อต้องการใช้คนจะปฏิบัติอย่าง ถ้าไม่ต้องการใช้คนจะปฏิบัติอีกอย่าง เมื่อเห็นว่าลูกชายพูดไม่ไว้หน้าแล้ว เขาก็กล่าวตรงๆว่า “พูดตามจริง ผมไม่สามารถจะมอบกิจการของบริษัทผลิตยาเว่ยซื่อให้ไอ้ลูกนอกคอกที่มาจากภูเขาฉางไบได้ ชั่วชีวิตของผมผ่านผู้หญิงมานับไม่ถ้วน แม่ของไอ้ลูกนอกคอกคนนี้ แม่งฉิบหาย เป็นคนที่แย่ที่สุด เป็นแค่สาวชนบท ถ้าไม่ใช่ว่าสมัยหนุ่มผมเป็นคนไฟแรง วันไหนไม่ได้ทำก็จะรู้สึกคลั่งเนื้อคลั่งตัวแล้ว ผมก็ไม่ยุ่งกับเธอหรอก”
เมื่อเว่ยเลี่ยงได้ยินประโยคนี้ คำรามด้วยความโกรธ “พวกคุณว่าแม่ผมแบบนี้ได้อย่างไร!”
เว่ยหย่งเจิ้งเลิกคิ้วและตะโกนอย่างเย็นชาว่า “อะไร? แกยังจะพูดพล่ามกับฉันอีก แม่งฉิบหาย เป็นไอ้ลูกนอกคอกที่เลี้ยงไม่เชื่องจริงๆ! ตระกูลเว่ยเลี้ยงดูแกมาตั้งหลายปี แต่แกไม่สำนึกบุญคุณ ยังคิดจะฮุบธุรกิจของตระกูลเว่ย เมื่อเป็นเช่นนี้ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป แกไสหัวออกไปจากตระกูลเว่ยซะ!”
เว่ยเลี่ยงก้มหน้า ยืนหน้าบึ้งตึงอยู่ด้านข้าง ในใจลึก ๆ เขายอมรับความพ่ายแพ้แล้ว ได้แต่โทษตัวเองว่าไร้เดียงสาเกินไป ที่ไปเชื่อคำพูดของเว่ยหย่งเจิ้ง!
เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่มีความหมายอะไรที่ตนเองจะอยู่ในตระกูลเว่ยอีกต่อไป ก็แตกหักกับพวกเขาเลย!
เมื่อคิดถึงจุดนี้ เว่ยเลี่ยงกำหมัดแน่น แล้วก็กัดฟันกล่าวว่า “ดี! นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ผมกับครอบครัวของพวกคุณ ไม่มีบุญคุณต่อกัน!”
เว่ยฉางหมิงรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก และกล่าวว่า “ไอ้ลูกนอกคอก ยังกล้าตัดขาดบุญคุณระหว่างกัน รู้ไหมว่าพวกเราอยากจะไล่แกออกไปตั้งนานแล้ว? เลี้ยงแกมาหลายปี เลี้ยงเสียข้าวสุก!”
เย่เฉินมองไปที่เว่ยหย่งเจิ้งและถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “คนแซ่เว่ย คุณกำลังจะแก้แค้นผู้มีพระคุณอย่างโจ่งแจ้งหรือ?”
เว่ยหย่งเจิ้งกล่าวอย่างเหยียดหยามว่า “นี่เป็นเรื่องของตระกูลเว่ย ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคุณ ตอนนี้ตระกูลเว่ยไม่ต้อนรับคุณแล้ว รีบไสหัวออกไปซะ!”
เว่ยหย่งเจิ้งไม่เชื่อว่าเย่เฉินจะมีฐานะภูมิหลังอะไร มีเพียงแค่ใบสั่งยาใบเดียว แล้วสามารถรักษาอาการป่วยของเซียวอี้เชียนได้ คนเช่นนี้ ไม่สามารถทำอะไรตัวเองได้อย่างแน่นอน
อีกอย่าง ตอนนี้ก็รักษาเซียวอี้เชียนจนหายดีแล้ว คนก็ไปแล้ว ถึงแม้ว่าเขาถูกรถชนตาย หลังจากก้าวออกจากประตูตระกูลเว่ย ก็ไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลเว่ยแต่อย่างไร?
เมื่อเป็นเช่นนี้ เย่เฉินก็ไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาอีกต่อไป?