TB: บทที่ 295 ทำให้ศักดิ์สิทธิ
ใบหน้าคาดินัลของเหล่าผู้พิพากษาตอนที่พวกเขาได้ยินเสียงนั้นเย็นชาลงอย่างมาก นี่คือการดูถูกความเชื่อของพวกเขา ผู้ที่เอือนเอ่ยถึงพระเจ้าจะต้องทำให้บริสุทธิ์ด้วยแสงของพระผู้เป็นเจ้า อย่างไรก็ตามสิ่งที่ว่ามาคือสิ่งเดียวที่พวกคิดได้ ในหมู่แม่มดในชุดคลุมสีดำทั้งสิบกว่าคนนั้น มีสมาชิกระดับสูงของสภาแห่งความมืดอยู่หกคน มีเพียงหกคนนี้ที่จะต่อกรกับคาดินัลได้ ส่วนอีกเก้าคนที่มีลายคทาสีทองนั้นเป็นสมาชิกของตระกูลแวมไพร์เก่าแก่และสูงศักดิ์ที่สุด ด้วยพลังที่ว่ามายังมีมนุษย์หมาป่าอาวุโสอีกห้าสิบตนอยู่ข้างหลังพวกเขาด้วย พวกนั้นทำลายอีกฝั่งได้แน่
อย่างไรเสียในอีกด้านหนึ่งของโบสถ์ บาทหลงหลายรูปได้ออกมาจากโบสถ์อย่างเงียบๆ พวกเขายืนเบื้องหลังคาดินัลทั้งสอง และเผชิญหน้ากับพวกคนของสภาแห่งความมืด อย่างไรก็ตามยังมีคนอีกมากที่มาจากสภาแห่งความมืด
เสียงนั่นยังดังต่อไป “วันนี้ไม่ว่าคุณจะร่วมหรือไม่ เราจะต้องตัดสินกันเรื่องชุดเกราะ เนื่องจากพวกเราไม่อาจจะอนุมัติให้เกิดอัศวินเวทย์คนที่สิบสามที่สืบทอดมาจากอัศวินโบราณในยุคกลางได้เลย ดังนั้นในตอนนี้ส่งชุดเกราะมา ไม่เช่นนั้นเราจะทำลายโบสถ์และหมารับใช้ของโบสถ์แห่งแสงอย่างพวกคุณในวันนี้”
ก่อนจะทำเช่นนั้นคาดินัลบาชได้ลากมือเป็นรูปไม้กางเขนบนหน้าอกแล้วก็หัวเราะอย่างขมขื่นเงียบๆ
สำหรับโบสถ์แห่งแสงและสภาแห่งความมืดแล้วไม่มีเหตุผลอันใดเลย เนื่องจากตั้งแต่ยุคกลางมาความบาดหมางระหว่างทั้งสองฝ่ายก็เติบใหญ่ขึ้นมาแล้ว การพิพากษาได้เผาแม่มดไปนับไม่ถ้วน อีกทั้งมนุษย์หมาป่าจำนวนมากที่โดนถลกหนังแล้วใส่ผนังห้องอาร์ชบิชอปไว้ตกแต่งก็มีจำนวนมากเหลือเกิน
เนื่องจากเหตุนั้น สภาแห่งความมืดเองได้ตอบกลับโบสถ์แห่งแสงอย่างบ้าคลั่ง ผู้ตายทั้งสองฟากจึงมากมายเหลือเกิน
ในตอนนั้น การที่ฝ่ายของเขาไม่ได้แข็งแกร่งเท่าสภาแห่งความมืดช่างชัดเจน ทำให้บาชบ่นกับพระสันตะปาปาไป “พระองค์ เมืองแห่งหมอก เป็นฐานทัพสำคัญของสภาแห่งความมืด แล้วทำไมพระองค์จึงส่งพวกเราไปที่นั่นกัน หากว่าเราเอาชีวิตรอดจนถึงฟ้าสางได้ เราจะมีโอกาสชนะ แต่หากภายใต้แสงจันทร์ ความห่างชั้นของมนุษย์หมาป่าและแวมไพร์จะเพิ่มมากขึ้นไปอีก พลังของพวกเราจะอ่อนแอลง เช่นนั้นแล้ว ข้าไม่รู้เลยว่าจนถึงวันรุ่งขึ้นนั้น ที่แห่งนี้จะต้านทานแสงอาทิตย์แห่งวันรุ่งขึ้นได้หรือไม่”
เมื่อเขาเห็นว่าคนทั้งหมดในโบสถ์แห่งแสงช่างโง่งม เสียงต่ำดังต่อไป “หากไม่คิดก็จงอย่าพูด เราจะตามเจ้าไปที่นั่น ตอนนี้ข้าจะให้เวลาเจ้าอีกสิบวินาทีเพื่อล้มเลิกเรื่องชุดเกราะเท่านี้ มิฉะนั้นเราจะโจมตี อา วันนี้พระจันทร์ช่างงดงาม” คาดินัลบาชและคาดินัลอีกคนมองหน้ากันด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น พวกเขาทั้งคู่ส่ายหัวเบาๆแล้วแสดงสีหน้าอันเด็ดเดี่ยว บาชว่าไปแน่วแน่ “อย่าชักจูงเลย หากว่าคุณอยากจะสู้แล้ว จงสู้ และแม้หากพวกเราตายไป พระผู้เป็นเจ้าก็จะพาเราไปสู่สรวงสวรรค์ได้” หลังจากนั้นแล้ว ทั้งเพชฌฆาตของผู้พิพากษาและบาทหลวงทั้งหมดก็วาดมือเป็นรูปไม้กางเขนบนอก จากนั้นแสงสีขาวสว่างจ้าได้ส่องขึ้นบนร่างของพวกเขา
“อีกแล้ว” เฉินหลงขมวดคิ้วในที่ห่างไกล
จากนั้นเหล่าบาทหลวงก็ใช้ท่านั้น ที่แม้แต่พระธรรมดาทั่วไปก็ใช้เพิ่มพลังได้
“นี่ช่างน่ารังเกียจ “การสวดมนต์” ในโบสถ์แห่งแสง พวกบาทหลวงสวดอ้วนวอนต่อพระเจ้าเพื่อเพิ่มพละกำลัง พวกเขาเรียกสิ่งนี้ว่าความสามารถที่จะศรัทธา แต่พวกเราได้ศึกษามาก่อนแล้ว ว่านี่ไม่ได้ง่ายดายอย่างการศรัทธาเลย แบบนี้คล้ายกับการสะกดจิต” สีหน้ารังเกียจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของแอนเดส ซึ่งดูเหมือนจะไม่สบายใจกับความสามารถของโบสถ์แห่งแสงนี้เอามากๆ
เมื่อได้ยินสิ่งที่แอนเดสว่า เฉินหลงพลันคิดถึงเทพเจ้าของชาวจีนอันยิ่งใหญ่ตนหนึ่ง เชินต้า นั่นดูเหมือนจะมีความเกี่ยวข้องกับการสะกดจิต อย่างไรก็ตาม เฉินหลงไม่เคยเจอผู้แข็งแกร่งคนใดที่จะสู้พระเจ้าได้มาก่อน แต่เขาหวังว่าจะได้เห็นพลังการต่อสู้ของพระเจ้า
ในตอนนี้ เหล่ามนุษย์หมาป่าในฝั่งของสภาแห่งความมืด พวกเขาเห็นว่าโบสถ์แห่งแสงกำลังจะสู้ ทันใดนั้นพวกเขาก็โกรธและตะโกนออกมา ด้วยเสียงคำราม ดวงจันทร์บนท้องฟ้าคล้ายกับจะแปรเปลี่ยนไปอย่างประหลาด และเนื่องจากพลังงานอันลึกลับ เหล่ามนุษย์หมาป่าพลันเริ่มจะแปลงร่างไปทีละตน
ขณะเดียวกันก็มีการกดทับพลังของโบสถ์แห่งแสงไว้
ด้านหนึ่งของสภาแห่งความมืดได้พร้อมโจมตีแล้ว ลมหายใจอันแรงกล้าปรากฏขึ้นในโบสถ์ทันทีเมื่อไม่ได้กดทับไว้ด้วยแสงจันทร์แล้วจึงค่อยๆมาถึงหน้าประตูโบสถ์เชื่องช้า
โบสถ์แห่งแสงตื่นตกใจเมื่อรู้สึกได้ถึงลมหายใจแห่งแรงกล้า และเนื่องจากพวกเขารู้สึกถึงพลังของพวกเขาเองได้
อีกด้านหนึ่ง สภาแห่งความมืดมีความระแวดระวังบนสีหน้า
ไม่นานจากนั้น พลังงานที่ออกมาจากโบสถ์คืออัศวินหนุ่มในชุดเกราะยุคกลาง พร้อมสีหน้าแห่งความประหลาดใจ
เมื่อเขาเห็นว่าชายหนุ่มในชุดเกราะแล้ว บาชรู้สึกประหลาดใจและกล่าวขึ้นมา “เป็นไปได้อย่างไรที่จะเห็นถึงพระผู้เป็นเจ้าได้เองก่อนที่จะยืนยันจอกศักดิ์สิทธิ์”
บิชอปแห่งโบสถ์เซนต์พอล เห็นคนหนุ่มที่สวมชุดเกราะแล้วจึงรีบส่งเสียงออกมา “ปีเตอร์ เจ้ามาใส่เกราะนี่ได้อย่างไร”
เขาเห็นว่าดูเหมือนบิชอปจะกล่าวโทษตัวเขา ด้วยความไม่แน่ใจปีเตอร์สันจึงกล่าวไป “ท่านบิชอปครับ ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น สิ่งนี้จู่ๆก็เคลื่อนไหว ราวกับว่าผมเห็นชุดเหล็กกล้านี่ออกมาจากหนังไอรอนแมนแล้วจากนั้นก็บินมาคลุมตัวผมไว้ แล้วผมก็อยู่ที่นี่มานานแล้วด้วย ผมเช็ดเกราะนี้อย่างระมัดระวัง แต่คุณไม่เคยบอกผมว่าเกราะนี่ขยับได้ อีกอย่างผมไม่รู้ด้วยว่าจะเอาชุดเกราะนี่ออกอย่างไร”
ในตอนนี้ คนจากสภาแห่งความมืดเริ่มจะออกไปอย่างเชื่องช้า เพราะว่าชุดเกราะนี้ได้มีการรับรู้แล้ว นั่นหมายความว่าโบสถ์แห่งแสงครองพลังของเกราะนี้ไปแล้ว และคงไม่นานที่การต่อสู้จำต้องเกิดขึ้น จอกศักดิ์สิทธิ์ที่อัศวินผู้แข็งแกร่งช่วงยุคกลางทิ้งไว้นั้นเป็นพลังที่ไม่อาจจะจินตนาการได้ และเนื่องจากพระเจ้าได้รับรู้พลังนี่แล้ว พวกเขาไม่จำเป็นต้องใช้พลังทำลายฝั่งเขาด้วยกำลังใดเลย สภาแห่งความมืดคงเกิดการสูญเสียอย่างมากมาย นี่เป็นสิ่งไม่จำเป็นต้องเกิด
“ทำไมพวกเขาจึงออกไปหมดกัน” ตอนแรกเฉินหลงอยากจะเห็นการรบครั้งใหญ่ แต่เขาคาดไม่ถึงว่าในทันทีที่เด็กหนุ่มในชุดเกราะโผล่มาแล้ว กองทัพอันยิ่งใหญ่ของสภาแห่งความมืดจะถอยออกไป นี่เรื่องอะไรกัน
“มีการรับรู้ชุดเกราะอันศักดิ์สิทธิแล้ว” ใบหน้าของแอนเดสแสดงสีหน้าไม่เต็มใจ อย่างไรเสีย เขาจะทำอะไรได้อีกหากพวกเขาไม่ตั้งใจจะทำอะไรเช่นนั้นแล้ว เนื่องจากความศักดิ์สิทธิเป็นที่รับรู้ คงไม่ต้องต่อสู้ด้วยให้มากมาย เนื่องจากความไม่สมัครใจนั้นพวกแอนเดสจึงไม่สมัครใจจะรับไว้ ว่านั่นทำให้โบสถ์แห่งแสงแข็งแกร่งขึ้น
“เด็กหนุ่มคนนั้นใคร ทายาทของอัศวินหรือ ทำไมชุดเกราะจึงรับรู้ว่าเขาเป็นคู่ควรกัน” เฉินหลงถาม
เฉินหลงไม่ชอบใจเท่าไรกับการต่อสู้ดีๆนี้
อีกอย่างพระผู้เป็นเจ้าคงไม่อาจจะรับรู้จอกศักดิ์สิทธิได้ ความตั้งใจแรกของสภาคือการทำลายเครื่องมือศักดิ์สิทธิก่อนที่เครื่องมือจะได้รับการรับรู้ ในตอนนี้ที่พระเจ้ารับรู่เรื่องชุดเกราะแล้ว การต่อสู้จึงไม่จำเป็นอีก “ลุยกันเถอะ” แอนเดสว่า