เย่เฉินรู้ว่าภรรยาเป็นคนขี้เขิน และไม่เคยมีประสบการณ์ทางด้านนี้เลยสักนิด จะไปต้านทานคำพูดหยอกล้อของหม่าหลันได้ยังไง
ดังนั้นเขาจึงพูดขึ้นมาว่า “แม่ครับ ชูหรันหน้าบาง อย่าล้อเธอสิครับ”
หม่าหลันหัวเราะคิกคัก “ชูหรัน เห็นหรือยัง? เย่เฉินนึกถึงความรู้สึกแกมากเลยนะ!”
เธอพูดพร้อมกับบิดขี้เกียจ “ฉันไม่คุยกับพวกแกแล้ว ฉันต้องกลับไปถ่ายรูปสร้อยข้อมือที่ห้องฉันสักหน่อยแล้ว พวกแกก็รีบพักผ่อนซะนะ!”
ในขณะที่พูด เซียวฉางควนก็เดินออกมาจากลิฟต์ด้วยสูทชุดใหม่
เมื่อเห็นทั้งสามคน เขาก็ยืนหมุนไปหมุนมาอยู่ตรงหน้าลิฟต์อย่างพึงพอใจ เอ่ยพูดยิ้มๆว่า “ดูสิ ฉันดูมีภูมิฐานไหม สูทตัวนี้คุณภาพอย่างกับสั่งตัดเอง ดูเอาเถอะรูปร่างอย่างฉัน ห้าสิบกว่าปีแล้วยังไม่ลงพุง แรร์ไอเท็มสุดๆ!”
เซียวฉางควนในตอนนี้ สวมใส่สูทหรูหราพอดีตัว ทำให้เขาดูดีมีสไตล์ บวกกับการดูแลร่างกายที่ดีของเขา มองเผินๆไม่เหมือนคนอายุห้าสิบกว่าๆเลยด้วยซ้ำ
แต่ในใจของเย่เฉินรู้ดีว่า จริงๆแล้วเซียวฉางควนเป็นคนขี้เกียจ ปกติไม่ได้ออกกำลังกายด้วยซ้ำ เหตุผลที่รูปร่างยังคงดีอยู่แบบนี้ ล้วนแล้วแต่มาจากการถูกหม่าหลันทรมานตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ถึงแม้ตอนนี้หม่าหลันจะเก็บท่าทีบ้างแล้ว แต่หม่าหลันในอดีตก็คือปีศาจดีๆนี่เอง ใครได้มาประสบพบเจอกับผู้หญิงแบบนี้ ต่างก็รู้สึกย่ำแย่แทบอยากตาย ทุกวันมีแต่ความหงุดหงิดและอัดอั้นใจ ไม่มีแม้แต่อารมณ์อยากทานข้าว น้ำหนักจึงไม่ขึ้น
ดังนั้น เย่เฉินจึงเอ่ยปากชมว่า “พ่อครับ พอแต่งตัวแบบนี้แล้ว ดูเผินๆอย่างกับคนเพิ่งสี่สิบเลยนะครับ บุคลิกดีๆมากๆ!”
“งั้นเหรอ!ฮิๆๆ” เซียวฉางควนหัวเราะออกมาอย่างลำพองใ “ตอนที่ยังเรียนอยู่ ฉันเป็นถึงเดือนมหาลัยเลยนะ ไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกเด็กรุ่นใหม่เสียเท่าไหร่หรอก!”
เซียวชูหรันส่ายหัวอย่างจนใจ “พ่อคะ เมื่อไหร่พ่อจะรู้จักเจียมเนื้อเจียมตัวบ้าง ถ้าพูดแบบนี้ออกไปต่อหน้าคนอื่น คนเขาจะหัวเราะเอานะ”
เซียวฉางควนเบ้ปาก “จะไปกลัวทำไม? ถ้าเอาฉันไปวางรวมกับคนแก่คนอื่นๆ ฉันไม่มีทางเป็นสองรองใครแน่ ถ้าใช้สำนวนมาเปรียบเทียบล่ะก็ คงเป็นนกกระเรียนในฝูงไก่อย่างไรล่ะ!”
เมื่อหม่าหลันเห็นเซียวฉางควนยังคงมีสไตล์วัยหนุ่ม ก็รู้สึกไม่ชอบใจ
เธอใคร่ครวญในใจเงียบๆขึ้นมาว่า “เซียวฉางควนชาติหมา ดูแลตัวเองเก่งเชียวนะ!กลับเป็นฉันที่อ้วนเอาๆ นับวันยิ่งคุมยาก ต้องรักษาแผลที่ขา จนไม่ได้ออกกำลังกาย ทำให้น้ำหนักขึ้นเอาๆ! ไม่ได้! ฉันต้องตั้งใจลดน้ำหนัก และเอาหุ่นเดิมกลับมาให้ได้!ไม่ให้เซียวฉางควนแซงหน้าได้หรอก!”
ดังนั้น หม่าหลันจึงถลึงตาใส่เซียวฉางควนอย่างไม่ยอม เธอไม่ได้พูดกับเขา แต่กลับหันไปพูดกับเย่เฉินและเซียวชูหรันว่า “ฉันกลับห้องแล้วนะ พวกแกสองคนก็รีบๆกลับไปพักผ่อนล่ะ”
เซียวชูหรันตอบรับด้วยใบหน้าแดงซ่าน “ค่ะแม่ แม่กลับห้องไปพักผ่อนเถอะ”
เซียวฉางควนเองก็พูดขึ้นมาว่า “เย่เฉิน แกกลับห้องไปพักซะ วิ่งไปนั่นวิ่งไปนี่ต้องเหนื่อยมากแน่ๆ ให้ชูหรันเตรียมน้ำอุ่นๆไว้ให้ จะได้แช่อาบสบายๆนะ”
เมื่อเซียวชูหรันนึกถึงคำพูดของมารดาเมื่อสักครู่ ก็รู้สึกเขินอายขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ แต่เมื่อคิดขึ้นมาได้ว่า สามีของตัวเองทำงานมาหนักมากจริงๆ ถ้าได้แช่น้ำอุ่นๆคงช่วยผ่อนคลายได้มากแน่ๆ ความรู้สึกเหนื่อยล้าก็จะจางหายไปด้วย
ดังนั้น เธอจึงพูดกับเย่เฉินว่า “เย่เฉิน คุณอยู่คุยกับพ่อสักครู่นะ เดี๋ยวฉันจะขึ้นไปเตรียมน้ำอุ่นให้ อีกสิบนาทีคุณค่อยขึ้นไปแล้วกันนะ”
เย่เฉินพยักหน้า
หลังจากที่เซียวชูหรันและหม่าหลันขึ้นลิฟต์ไปด้วยกัน เซียวฉางควนก็จูงมือเย่เฉินมานั่ง เพื่อต้มน้ำชาแก้เมื่อยให้เขา
เย่เฉินนั่งลงได้ไม่ทันไร โทรศัพท์ของเขาก็สั่นขึ้นมา
เมื่อก้มมอง ก็พบว่าเป็นเบอร์แปลกที่โทรมาจากเมืองเย่นจิง เขาจึงลุกขึ้น แล้วหันมาพูดกับเซียวฉางควนว่า “พ่อครับ ผมไปคุยโทรศัพท์ก่อนนะครับ”
เซียวฉางควนพูดว่า “คุยที่นี่ก็ได้ ทำไมต้องออกไปข้างนอกล่ะ?”
เย่เฉินผงกหัว “ลูกค้าโทรมาครับ”
พูดพร้อมกับก้าวเดินออกไปนอกประตู
เมื่อเดินมาถึงสวน เย่เฉินก็กดรับสาย เอ่ยพูดว่า “สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าใครโทรมาครับ?”
ปลายสาย พลันมีเสียงผู้หญิงที่คุ้นเคยดังขึ้นมา “เย่เฉิน ฉันอาแกเอง! ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปี อาคิดถึงแกมากเลย!”