ลิขิตกลกาล – ตอนที่ 142 องค์ชายสาม
“ฝ่าบาท” เมื่อเกาอู่เตี๋ยเห็นท่าทางของลี่หยวนตี้ นางก็ยิ้มออกมาอย่างไร้สาเหตุ “พระองค์อย่าคิดมากได้หรือไม่เพคะ”
“ไม่มีอะไร” ลี่หยวนตี้ยกมือขึ้นมาคิดอยากจะดึงเกาอู่เตี๋ยไว้ สุดท้ายแล้วกลับวางมือลง “ข้าขอตัวก่อน วันหลังจะมาพบเจ้าใหม่”
“ฝ่าบาทเดินระวังด้วยเพคะ” เกาอู่เตี๋ยหลุบตาต่ำเพื่อปิดบังความหมายอันลึกซึ้งที่อยู่ในดวงตาของนาง
“ฮองเฮาเพคะ!” ซิ่งหยวนเดินเข้ามาด้วยน้ำเสียงร้อนใจ เพราะซิ่งหยวนเห็นว่าลี่หยวนตี้เข้าไปได้ไม่นานก็ออกมาแล้ว นางจึงพอเดาเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้แปดถึงเก้าส่วน
“ฮองเฮา เหตุใดถึงปฏิบัติต่อฝ่าบาทเช่นนี้เพคะ ฝ่าบาททรงเป็นฝ่ายมาหาพระองค์ก่อนแล้ว…พระองค์…”
“แล้วข้าควรทำอย่างไร” เกาอู่เตี๋ยช้อนตาขึ้นแล้วแค่นยิ้ม “ข้าต้องสำนึกบุญคุณงั้นหรือ ข้ามิได้เป็นคนขอให้เขามา”
“ถึงอย่างไรคนผู้นี้ก็ต่ำอยู่ดี ซิ่งหยวน เจ้าอย่าคิดมากเลย ตอนนี้ข้ายอมให้เขาเข้ามาก็ถือว่าข้าอดทนมากพอแล้ว หากเจ้ายังพูดมากอีกก็ออกไปซะ”
ในวังหลวงเป็นสถานที่ที่ไม่อาจปิดบังความลับได้ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นความลับใดๆ ก็จะต้องมีผู้ล่วงรู้เรื่องราวเข้าสักวัน
เกาอู่เตี๋ยเอามือนวดไปที่หว่างคิ้วพยายามที่จะสกัดกั้นความว้าวุ่นในใจนั้นและไม่ให้ตัวเองคิดเรื่องราวที่ทำให้จิตใจของตนต้องว้าวุ่น ทว่าในความเป็นจริงเหมือนว่ายิ่งทำเช่นนี้ เรื่องราวนี้ก็ยิ่งกวนใจเกาอู่เตี๋ยหนักขึ้น
ลูกของหยางอวี้หลิง…
“ฮองเฮาเพคะ…” ซิ่งหยวนเอ่ยเรียกเบาๆ “ฮองเฮาเหนื่อยแล้วใช่หรือไม่เพคะ หากพระองค์เหนื่อยแล้ว ทรงไปนอนพักบนเตียงสักหน่อยดีหรือไม่ ตรงนี้มีลมพัด อย่ามัวตากลมอยู่ตรงนี้เลยเพคะ”
“อืม” ร่างของเกาอู่เตี๋ยสั่นไหว “ข้าขอพักสักหน่อย”
เมื่อหลับตาลง เกาอู่เตี๋ยรู้สึกราวกับตัวเองย้อนกลับไปสู่วัยแรกรุ่นอีกครั้ง ในตอนนั้นนางยังเป็นเพียงคุณหนูแสนดื้อรั้น ส่วนลี่หยวนตี้เองก็มิใช่ฝ่าบาทที่มีฐานะสูงส่งเช่นนี้
เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในตอนนั้นช่างสวยงาม พวกเขาทั้งสองเป็นคู่รักหญิงชายที่เพียบพร้อมในอุดมคติคู่หนึ่ง ทั้งยังไม่มีเรื่องระแวงกันและกันให้วุ่นวายใจเช่นนี้
แล้วมันเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อใดกัน ทุกอย่างถึงเปลี่ยนแปลงไปจากหน้ามือเป็นหลังมือเช่นนี้
กล่าวได้ว่าเรื่องราวการแท้งบุตรของหยางอวี้หลิงทิ่มแทงจิตใจของเกาอู่เตี๋ยอย่างเจ็บปวดสาหัส นางไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันที่จิตใจของลี่หยวนตี้โหดเ**้ยมได้ถึงเพียงนี้ ถึงขนาดจัดการลูกแท้ๆ ของตนเองได้ลง?
อีกอย่างหลายปีที่ผ่านมานี้ เหตุใดนางถึงตั้งครรภ์ไม่ได้เสียที ต้นเหตุหลายๆ อย่างใช่ว่านางจะไม่รู้ เพียงแค่นางไม่อยากรับรู้และไม่อยากรับฟังเท่านั้น!
แม้ว่าที่ผ่านมาจะหลีกเลี่ยงความจริงและหลอกตัวเองมาตลอด แต่ก็ต้องมีสักวันที่ตื่นขึ้นมาเผชิญกับความจริง
เกาอู่เตี๋ยพลิกตัว
น้ำตาของนางรื้นออกมาเองทันใด
ยังดี ยังดี…ที่ลูกอยู่ห่างไกลจากที่นี่นัก ห่างไกลจากสถานที่อันโสมมและน่าสะอิดสะเอียนเช่นที่นี่ โดยรวมแล้วนี่ถือเป็นเรื่องเดียวที่นางตัดสินใจทำได้ถูกต้องที่สุดแล้วกระมัง…
……
“ร้อนยิ่ง…” ซูเหลียนอวิ้นพ่นลมหายใจออกมา นางรู้สึกราวกับว่าคอของนางใกล้จะขาดเต็มที เพราะแม้ว่านางจะก้มหน้าต่ำจนคอของนางแทบจะมุดไปในดิน นางก็ยังรับรู้ได้ถึงความรุนแรงของพระอาทิตย์ที่แผดเผา
“คุณหนู ใกล้จะถึงแล้วเจ้าค่ะ…” หลีมู่เอ่ยขึ้นอย่างกระปรี้กระเปร่าจากทางด้านหลัง “ใกล้จะถึงแล้ว ใกล้จะถึงแล้ว…”
การพูดซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้ไม่รู้ว่าที่แท้แล้วนางพูดให้ซูเหลียนอวิ้นฟังหรือว่าพูดให้ตัวเองฟังกันแน่
เนื่องจากเมื่อวานมีฝนตกลงมา พระอาทิตย์ในวันนี้จึงดูดวงใหญ่เป็นพิเศษ! อีกทั้งบนพื้นยังมีหลุมที่มีน้ำขังมากมายที่ยังไม่แห้ง สำหรับซูเหลียนอวิ้นแล้ว วังหลวง ณ ตอนนี้เปรียบเหมือนหม้อนึ่งขนาดยักษ์ใบหนึ่ง!
นางโดนนึ่งจนใกล้จะสุกเต็มทีแล้ว!
“เฮ้อ..” ซูเหลียนอวิ้นยังคงพ่นลมหายใจออกมา
เนื่องจากในวังหลวงแห่งนี้ นางไม่ได้มีตำแหน่งพระสนมหรือจวิ้นจู่ ดังนั้นจึงหมดสิทธิ์ที่จะกางร่ม สิ่งที่ซูเหลียนอวิ้นสามารถทำได้ในตอนนี้มีเพียงรีบเร่งฝีเท้าของตัวเองเท่านั้น
โอ้โห ทำไมจู่ๆ ถึงร่มได้ล่ะ? สบายตัวจัง…อ้อ มิใช่สิ นางชนเข้ากับเสาๆ หนึ่งได้อย่างไร…
นางเงยหน้าขึ้น เอาล่ะ นี่ไม่ใช่เสาแต่เป็นคนต่างหาก…
“คารวะองค์ชายสาม” ซูเหลียนอวิ้นถอยหลังไปสองสามก้าวจากนั้นจึงถอนสายบัวด้วยความยุ่งยากใจ เหตุใดยิ่งนางรีบจะจัดการธุระให้เสร็จโดยเร็วเพียงใด สุดท้ายกลับยิ่งต้องเจอผู้คนระหว่างทางด้วย
“คุณหนูซู รีบร้อนเช่นนี้ต้องการจะไปที่ใดหรือ?” องค์ชายสามหรือหนานกงหงลูบท้องตัวเองพลางส่งยิ้มให้
“เอ่อ หม่อมฉัน…จะไปเข้าเฝ้าฮองเฮาเพคะ”
“ที่แท้จะไปหาเสด็จแม่นี่เอง” รอยยิ้มบนใบหน้าของหนานกงหงยังคงปรากฏอยู่ สายตาของเขายังคงพินิจพิจารณาซูเหลียนอวิ้นแล้วเอ่ยว่า “แม้ว่าจะรีบร้อน แต่คุณหนูซูก็ควรมองทางเสียหน่อย มิเช่นนั้นแล้ว หากไปชนใครเข้าอีกคงไม่ดีแน่”
“เพคะ หม่อมฉันเข้าใจแล้ว” ซูเหลียนอวิ้นถอยหลังไปเล็กน้อย แล้วถอนสายบัว “หม่อมฉันขอตัวก่อนนะเพคะ”
“ไปเถิด อย่าให้เสด็จแม่ต้องรอนาน”
ซูเหลียนอวิ้นเงยหน้าขึ้นแล้วรีบเดินจากไปอย่างรวดเร็ว สุดท้ายเมื่อนางเลี้ยวตรงทางแยกไปแล้ว จนนางรู้สึกว่าไม่มีสายที่ทำให้นางรู้สึกเหมือนโดนทิ่มแทงราวกับนั่งอยู่บนเข็มอีกต่อไป นางจึงรู้สึกค่อยๆ ผ่อนคลายลง
“คุณหนูเจ้าคะ…” หลีมู่สูดหายใจเข้า สุดท้ายจึงถามคำถามที่นางอยากรู้มาตั้งแต่เมื่อครู่นี้ “คุณหนู เมื่อครู่นี้คือคุณชาย คุณชายสามหรือเจ้าคะ!”
“มิผิด คนผู้นั้นคือองค์ชายสาม!” ซูเหลียนอวิ้นกล่าวเสียงแข็ง “อย่าได้ตัดสินคนจากภายนอก!”
องค์ชายสาม หรือหนานกงหง แม้ว่ารูปร่างจะ…แต่ทั้งหมดก็เป็นเพราะการเลี้ยงดู ดังนั้นจึงมีต้นสายปลายเหตุ! เนื่องจากในตอนที่หนานกงหงยังเด็ก ตอนนั้นเขาถือเป็นเด็กที่ถูกคลอดออกมาก่อนกำหนด
ตัวกระจิดริดคล้ายลูกแมวตัวหนึ่งที่คล้ายว่าเตรียมจะลาโลกไปเต็มที แล้วแม่แท้ๆ ของเขาอย่างหลี่กุ้ยเฟยจะทนได้อย่างไร! ไม่ง่ายเลยกว่าจะคลอดองค์ชายออกมาองค์หนึ่ง จะให้นางเลี้ยงดูแบบทิ้งๆ ขว้างๆ แล้วปล่อยให้ลูกของนางลาโลกไปได้อย่างไร?
นั่นจะไม่มีทางเกิดขึ้นแน่!
ดังนั้นตั้งแต่ตอนเด็กเป็นต้นมา สิ่งของจำพวกใดก็ตามที่สามารถบำรุงร่างกายได้ล้วนต้องถูกนำมาประเคนให้ถึงปากของหนานกงหงทั้งสิ้น
ทว่าโชคดีที่ครอบครัวของหลี่กุ้ยเฟยนั้นไม่ขาดแคลนทรัพย์สินเงินทอง ดังนั้นจึงแบกรับค่าใช้จ่ายนี้ได้ มิเช่นนั้นแล้ว หากเป็นสนมทั่วๆ ไปเกรงว่าจะเลี้ยงเด็กผู้นี้ไม่ไหวเสียแล้ว! เพราะอาหารที่ป้อนให้กินทุกวันถือเป็นการผลาญเงินทองไปอย่างเสียเปล่าทั้งสิ้น!
ดังนั้นจากการเลี้ยงดูโดยใช้อาหารล้ำค่าหายากและยาบำรุงวิเศษต่างๆ ร่างกายของหนานกงหงจึงแข็งแรงขึ้นอย่างมาก แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือเขาได้รับการบำรุงมากเกินไป!
การมีหุ่นตุ้ยนุ้ยในตอนเด็กนั้นทำให้ผู้ใดที่พบเห็นต่างเอ็นดู แต่พอเติบใหญ่ขึ้นแล้ว…การมีไขมันอยู่ทั่วร่างเช่นนี้ มีแต่จะทำให้คนรู้สึก…
แต่เนื่องด้วยมีความสัมพันธ์ข้องเกี่ยวกับฮ่องเต้จึงไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวถึงสักเท่าไหร่ อีกอย่างคนที่เคยพบเห็นองค์ชายสามก็มีไม่มากนัก ดังนั้นรูปร่างขององค์ชายสามเป็นเช่นนี้จึงไม่เป็นที่กล่าวขานแพร่หลายเท่าไหร่นัก
เนื่องจากคนที่กล้าวิจารณ์ สุดท้ายจะกลับกลายเป็นผู้ที่ชะตาเดินมาถึงจุดสุดท้ายของชีวิต
ดังนั้นจึงไม่อาจตัดสินคนจากภายนอก! แม้ว่าองค์ชายสามจะดูทึ่มทื่อ แต่จิตใจของเขา…ผู้ใดที่ตัดสินว่าเขาทึ่มทื่อ คนผู้นั้นต่างหากที่เป็นคนทึ่มทื่ออย่างแท้จริง!