ลิขิตกลกาล – ตอนที่ 157 บ่าวเอง
เมื่อซูเหลียนอวิ้นได้ยินน้ำเสียงมีเหตุมีผลของต้วนเฉินเซวียน ทันใดนั้นเองที่นางรู้สึกว่าตนถูกเขาหลอกเสียแล้ว มิเช่นนั้นทำไมถึงรู้สึกว่าหากนางไม่ระวังก็จะเออออตามบทสนทานี้ไปด้วย
“หากข้ากล้าคิดเช่นนั้น ท่านจะทำอย่างไร” ซูเหลียนอวิ้นชูคอขึ้นพลางกล่าว “เพราะเยียลี่ว์เยี่ยนก็ออกจะหน้าตาหล่อเหลา! อีกอย่าง…หากเขาชอบข้าขึ้นมาเล่า”
ต้วนเฉินเซวียนมองซูเหลียนอวิ้นทำท่าชูคอก็รู้ว่านางพูดเพื่อตั้งใจจะถากถางเขาเท่านั้น ไม่มีความรู้สึกและไม่ผ่านกระบวนการคิด แต่แม้ว่าในใจของเขาจะรู้ดี แต่พอได้ยิน…ก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี!
“เขาชอบเจ้าซะที่ไหนเล่า!” ต้วนเฉินเซวียนออกปากตำหนิ “หากเจ้ายังกล้าคิดเช่นนี้อีก…ข้าจะไปบอกพี่ซูว่าเจ้าอยากจะแต่งงาน แถมยังเป็นคนต่างเมืองอีกต่างหาก เจ้าลองดูสิว่าต่อไปพี่ชายของเจ้ายังจะให้เจ้าออกจากบ้านอีกหรือไม่
“อ้อ จริงสิ อีกอย่างวันงานเทศกาลโคมไฟวันนั้น เจ้าแอบหนีออกมาเที่ยวเล่นเองใช่หรือไม่ พี่ชายของเจ้าและคนอื่นๆ รู้เรื่องนี้หรือไม่”
ซูเหลียนอวิ้น “…”
เป็นนางเองที่ยกยอตัวเองมากเกินไป แม้ว่านางจะกลับมาเกิดใหม่แล้ว นางก็ยังไม่ใช่คู่ต่อกรของต้วนเฉินเซวียนเช่นเดิม!
“เช่นนั้นนอกจากเรื่องที่ให้บอกว่าความสัมพันธ์ของพวกเราสองคนไม่ดีแล้ว ยังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่”
“มีแน่นอน” เมื่อต้วนเฉินเซวียนเอ่ยถึงตรงนี้ก็อดแค่นเสียงออกมาไม่ได้ “ซึ่งเรื่องนั้นก็คืออยู่ให้ห่างจากเยียลี่ว์เยี่ยนเข้าไว้! เขาเป็นคนแบบใด…เจ้าก็ยังรู้ไม่แน่ชัด! จำไว้ว่าอยู่ให้ห่างจากเขาเป็นพอ!”
“เพราะว่าเขาไม่ใช่คนดีน่ะหรือ แล้วทำไมถึงพูดเช่นนี้เล่า” ซูเหลียนอวิ้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเบนหน้าหันไปพูด เนื่องจากการเป็นคนดีหรือไม่ดีไม่ได้เขียนบรรยายไว้บนใบหน้า อีกอย่างที่ผ่านมานางไม่เคยระวังตัวคนที่หน้าตาดีมาก่อนเลย
ต้วนเฉินเซวียนตอบกลับว่า “ข้าบอกว่ามิใช่คนดีก็ต้องมิใช่คนดี! อีกอย่างคนบ้านอื่นเมืองอื่น ไม่ใช่เมืองเรา ความคิดอ่านย่อมแตกต่าง! คำพูดนี้เจ้ามิรู้จักหรือ”
“รู้จัก…”
“รู้จักก็ดีแล้ว ในวันงานเลี้ยง เจ้าต้องอยู่ให้ไกลจากเขาเข้าไว้!”
“อืม ได้ยินแล้ว และมีเรื่องอื่นอีกมั้ย”
“ตอนนี้ยังไม่มี”
“เช่นนั้น…” ซูเหลียนอวิ้นทำท่าบุ้ยใบ้ไปที่ประตู “ท่านก็ควรกลับไปได้แล้วกระมัง”
“ก็ได้ งั้นข้ากลับแล้ว” ต้วนเฉินเซวียนอ้อยอิ่งอยู่ครู่หนึ่งกว่าจะลุกขึ้นยืน ไม่ใช่เพียงเพราะว่าเขาไม่อยากไปจากที่นี่เร็วขนาดนี้ แต่ยังเป็นเพราะว่าโอกาสที่เขาจะได้สัมผัสกายของซูเหลียนอวิ้นนั้นไม่ง่าย ตาคู่นั้นของเขาจึงไม่อาจละออกจากริมฝีปากของซูเหลียนอวิ้นได้เลยแม้ว่าเขาจะลุกขึ้นมาแล้ว
ทว่าตอนนี้อยู่ในช่วงเวลากลางคืน อีกทั้งในห้องยังไม่ได้จุดเทียนอีกด้วย ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ซูเหลียนอวิ้นไม่ได้รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย
ต้วนเฉินเซวียนทำเป็นจัดแจงเสื้อผ้าแล้วก็ยืนนิ่งๆ อยู่พักหนึ่ง ในใจของเขาแอบบ่นพึมพำ สายตาหิวกระหายราวหมาป่าของเขาเมื่อครู่นี้ แม้ว่าตัวเขาเองจะไม่เห็นแต่เขาก็สามารถจินตนาการออก เรื่องนี้หากซูเหลียนอวิ้นเห็นเข้าเกรงว่านางคงจะรีบเตะเขาออกจากห้องของนางทันที
“งั้นข้ากลับแล้ว”
“อืมๆๆ” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้าหงึกหงัก รีบกลับไปเถอะ!
คนไร้หัวใจ! เมื่อต้วนเฉินเซวียนเห็นสายตาของซูเหลียนอวิ้นที่ปรารถนาให้เขารีบกลับไปเสียเร็วๆ เขาก็อดไม่ได้ที่รู้สึกปวดใจ
นั่นเป็นเพราะว่าตอนนี้เขาเริ่มสงสัยเสียแล้ว ที่แท้ซูเหลียนอวิ้นนางโง่จริงๆ หรือว่าแกล้งโง่กันแน่ เขาแสดงออกมาอย่างชัดเจนถึงเพียงนี้แล้ว เหตุใดซูเหลียนอวิ้นจึงไม่เข้าใจอะไรขึ้นมาบ้างเลย
ช่างเถอะ น้ำร้อนต้องค่อยๆ ต้มจนเดือด ตอนนี้ยังคงต้องอดทนต่อไปอีกหน่อย
ทว่า…ระหว่างที่ต้วนเฉินเซวียนใช้วิชาตัวเบากลับไปที่จวนของตัวเอง ในหัวของเขาก็กำลังครุ่นคิดถึงปัญหาบางอย่างอยู่ เหตุใดเขาจึงรู้สึกเหมือนว่าเขาลืมบางเรื่องไป อีกอย่างเรื่องนี้ยังเป็นเรื่องสำคัญเสียด้วย…แต่ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก?
……
“คุณหนูใหญ่ อาบน้ำเสร็จหรือยังเจ้าคะ” หยาเอ่อร์เก็บถ้วยชามพลางถามออกไปอย่างไร้เจตนาใดๆ
“อืม มีอะไรหรือ เกิดเรื่องรึ” ซูเหลียนอวิ้นวางกระจกในมือของตัวเองลงแล้วหันหน้ากลับไปมองหยาเอ่อร์
เนื่องจากหยาเอ่อร์จัดเป็นคนประเภทโกหกไม่เป็นและไม่สามารถแอบซ่อนเรื่องราวใดๆ ได้ ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรล้วนต้องแสดงออกทุกอย่างมาทางใบหน้าทั้งนั้น! ตอนนี้แม้ว่าจะพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะไม่แสดงอาการใดๆ แต่ซูเหลียนอวิ้นคิดว่า หยาเอ่อร์ดูไม่เหมือนคนที่ไม่อยากพูดอะไร การทำท่าทางเช่นนี้ก็เหมือนเป็นการบอกกับทุกคนอยู่แล้วว่าในใจของนางมีเรื่องราวบางอย่าง!
“ไม่มีเรื่องอะไรที่บ่าวจะปิดบังคุณหนูใหญ่ได้เลยจริงๆ …” หยาเอ่อร์หัวเราะแห้งๆ จากนั้นจึงลดเสียงลงแล้วเอ่ยว่า “ความจริงคือ เมื่อคืนนี้มีคนบุกเข้ามาที่เรือนของพวกเราอีกแล้วเจ้าค่ะ!”
“อ้อหรอ เป็นผู้ใด” :ซูเหลียนอวิ้นค่อยๆ เอี้ยวตัวหลบเล็กน้อย เนื่องจาก…นางคิดว่าสีหน้าของนางตอนนี้คงไม่ค่อยน่ามองสักเท่าไหร่!
“เป็นผู้ชายเจ้าค่ะ”
ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยกลับไปว่า “….ยังมีมาอีกหรือ” ต้วนเฉินเซวียนเจ้าไม่ตายดีแน่! ตัวเองอยากจะมาก็อย่าทำให้คนเดือดร้อนได้หรือไม่! แล้วต่อจากนี้จะให้นางอธิบายอย่างไร! กล้ามาก็อย่าให้มีคนจับได้ได้หรือไม่ อ่อนหัดขนาดนี้ยังจะกล้ามาอีกได้อย่างไร
“เมื่อวานเขาถูกพี่ผูหลิวและคนอื่นๆ จับตัวได้ ตอนนี้ถูกขังอยู่ในห้องเก็บฟืนเจ้าค่ะ” หยาเอ่อร์ประเมินสีหน้าของซูเหลียนอวิ้นอย่างระมัดระวังแล้วเอ่ยต่อไปว่า “คุณหนูใหญ่ อยากจะไปดูหรือไม่ เพราะหากไม่ได้รับคำสั่งจากคุณหนู พวกบ่าวคงมิกล้าลงมือโดยพลการ…” แต่อย่างไรก็ต้องจัดการเรื่องนี้อยู่ดีใช่หรือไม่! มิเช่นนั้นหากขังคนไว้ในห้องเก็บฟืนตลอดโดยล่ามเอาไว้…ก็ควรจะให้อาหารเขากินด้วยหรือไม่ แต่ว่าค่าอาหารก็คือเงินเช่นกัน!
“ไป พาข้าไปดูหน่อย!” ซูเหลียนอวิ้นพ่นลมหายใจออกมา ครุ่นคิดอยู่เงียบๆ ก่อนเอ่ยว่า “อย่างนั้นตอนนี้คนผู้นั้นเป็นอย่างไรแล้วบ้าง”
“ไม่รู้เจ้าค่ะ…รู้เพียงว่าตอนที่เขาโดนจับก็ถูกพี่ผูหลิวกับพี่หลานเย่ว์ต่อยไปยกใหญ่! ตอนนี้…บ่าวก็ยังไม่ทันได้ไปดู คงไม่เป็นไรกระมัง”
ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยว่า “พาข้าไปดูดีกว่า” ต้วนเฉินเซวียนท่านชั่งน่าขายหน้ายิ่ง! โดนจับได้ก็แย่แล้ว นี่ยังโดนรุมไปอีกหนึ่งยก?! ทว่า…ทำไมในใจของนางถึงตื่นเต้นขนาดนี้แถมยังแอบดีใจเล็กๆ ด้วยซ้ำ
“ผูหลิว?” นี่กำลังทำอะไรกันอยู่?
“คุณหนูใหญ่? มาได้อย่างไรเจ้าคะ” ผูหลิวหันตัวมาแล้วมองไปยังซูเหลียนอวิ้นที่มองมาที่ตนด้วยความประหลาดใจ ทันใดนั้นนางก็รู้สึกลำบากใจขึ้นมา ทว่าทนไม่ได้จึงเอ่ยออกไปว่า “คุณหนูใหญ่ คนผู้นี้ปากแข็งยิ่ง ไม่ยอมสารภาพเสียทีว่าตนเป็นคนของใคร! บ่าว…บ่าวเลยลงโทษตามขั้นตอน”
“อ้อ เช่นนี้เอง” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้า “เช่นนั้นขอข้าดูหน่อย” ยังดีๆ …คนผู้นี้ไม่ใช่ต้วนเฉินเซวียน! ซูเหลียนอวิ้นแอบถอนใจ เพราะหากต้วนเฉินเซวียนถูกทำร้ายจนกลายเป็นหมูตัวหนึ่งเช่นนี้? ขออภัยที่นางจินตนาการไม่ออกจริงๆ! แค่คิดก็…ภาพค่อนข้างจะ…เอ่อ!
แต่แม้ว่าคนผู้นี้จะโดนต่อยจนทั้งใบหน้าของเขาบวมฉึ่ง ทว่าซูเหลียนอวิ้นยังแอบคิดวานางเคยรู้จักคนผู้นี้มาก่อน? รู้สึกว่ามีบางจุดที่นางคุ้นตามาก…
“ซู คุณหนูซู!” คนผู้นั้นเงยหน้าขึ้น เมื่อเขาเห็นซูเหลียนอวิ้นอยู่ตรงหน้าเขา ตอนนั้นท่าทางชายชาตรีที่ไม่ยอมเสียน้ำตาของเขาก็ถูกโยนทิ้งเอาไว้ข้างหลัง น้ำเสียงของเขาสะอึกสะอื้น “คุณหนูซู…บ่าวเอง!”
เอ๊ะ? ทำไมเสียงของเขาถึงคุ้นหูนัก ซูเหลียนอวิ้นขมวดคิ้ว…ทว่าตอนนี้มีสิ่งหนึ่งที่ยืนยันได้แล้วคือ คนผู้นี้รู้จักนาง!