ลิขิตกลกาล – ตอนที่ 169 เข้าข้าง
“นี่ใช่ต้วนเฉินเซวียนหรือไม่! ไม่ได้เจอกันนานทีเดียว” อีกด้านหนึ่งเมื่อมีคนๆ หนึ่งเห็นต้วนเฉินเซวียนมาถึงก็รีบลุกขึ้นอย่างกระตือรือร้นเพื่อเอาอกเอาใจ
“จริงสิ ไม่ได้เจอกันนานเลย” ต้วนเฉินเซวียนเหลือบตาขึ้นมองแล้วหัวเราะเบาๆ เล็กน้อย จากนั้นจึงเริ่มหัวเราะดังขึ้น ทว่าแม้จะเป็นเพียงการทักทายแต่คนผู้นั้นก็ดูออกว่าต้วนเฉินเซวียนไม่ค่อยใส่ใจเท่าไหร่นักแถมจิตใจยังไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอีก
“ดูท่าทางแล้วคุณชาย…คงอารมณ์ไม่ดี? ” คนผู้นั้นกังวลอยู่เล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเอ่ยออกไปด้วยสีหน้าค่อนข้างกังวล
นั่นเป็นเพราะว่าทุกคนต่างรู้นิสัยเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของต้วนเฉินเซวียน แม้ว่าการปากมากไปแม้แต่ประโยคเดียวอาจนำภัยมาสู่ตัวเองได้แต่บางครั้งการไม่เกรงกลัวอาจจะเป็นการช่วยส่งเสริมตัวเองก็ได้
“ข้ารู้แล้วว่าเจ้ามายืนเกะกะอยู่ตรงนี้ทำไมเจ้าคิดว่าหากข้าเห็นหน้าเจ้าแล้วข้าจะอารมณ์ดีขึ้นงั้นรึ” ต้วนเฉินเซวียนเหลือบมองคนผู้นั้นคราหนึ่งแล้วเลิกคิ้วถาม
“เหอะๆ …” ดูท่าคงเข้าผิดจังหวะเสียแล้ว คนผู้นั้นแอบครุ่นคิด “พวกเราคงทำเช่นนั้นไม่ได้ ในเมื่อคุณชายอารมณ์ไม่ดี พวกเราขอไม่อยู่ให้เกะกะลูกตาดีกว่า”
ต้วนเฉินเซวียนหายใจเข้าลึกๆ หลังจากที่นั่งลงบนเก้าอี้แล้วก็ไม่อยากที่จะสนใจสิ่งรอบข้างอีกต่อไป จากนั้นเขาจึงก้มหน้าทำราวกับว่าตนกำลังหลับตาอยู่ ทว่าสายตาที่แท้จริงของเขากลับพุ่งตรงไปที่ซูเหลียนอวิ้น
ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นกำลังพูดจาเย้าแหย่กับหลินจือถังอยู่ ราวกับไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อยว่ามีคนจ้องนางจนตัวแทบจะทะลุอยู่แล้ว
ต้วนเฉินเซวียนกำลังจ้องมองไปที่ซูเหลียนอวิ้นที่กำลังพูดจากับคนอื่นๆ กันอย่างสนุกสนาน จากนั้นก็เริ่มบังเกิดความรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา
เขานั่งอยู่ตรงนี้ทั้งคน! ซูเหลียนอวิ้นไม่เพียงไม่มองมาทางเขา แต่กลับหันไปพูดคุยกับเจ้ากระต่ายน้อยนั่นอย่างสนุกสนาน? ดูแล้วอ่อนแออย่างกับอะไรดี ท่าทางเช่นนี้โดนเขาต่อยเพียงครั้งเดียวก็หัวทิ่มแล้วกระมัง? มีอะไรน่าคุยกับคนเช่นนี้กัน?
หากเป็นเมื่อก่อนเมื่อซูเหลียนอวิ้นสบโอกาสที่จะได้เจอเขาซึ่งๆ หน้าเช่นนี้ นางจะต้อง…
ช่างเถอะ…ต้วนเฉินเซวียนฝืนยิ้ม ในหัวเขามัวแต่คิดวุ่นวายเรื่องอะไรอยู่ ซูเหลียนอวิ้นแบบตอนนั้น…ถูกเขาทำให้ เฮ้อ…
“ฮ่องเต้ ฮองเฮาเสด็จ!” เสียงเล็กแหลมอันคุ้นเคยของขันทีดังขึ้น ต้วนเฉินเซวียนส่ายศีรษะตัวเองแล้วถอนหายใจยาวพยายามไม่ให้ตัวเองหมกมุ่นอยู่กับเรื่องราวพวกนั้น
หนทางยังอีกยาวไกล รอดูก็แล้วกัน!
“ราชฑูตของเมืองเยียลี่ว์มาถึงแล้ว!”
ผู้คนโดยรอบต่างลุกขึ้น สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่คนกลุ่มหนึ่งที่กำลังเดินเข้ามาช้าๆ จากทางประตูพระราชวัง
“คนนั้นคือองค์ชายเยียลี่ว์รึข่าวลือที่ว่ากันมิได้เกินจริงเลยแม้แต่น้อย!” หลังจากที่หลินเหวินเสี่ยวจ้องไปที่เยียลี่ว์เยี่ยนครู่หนึ่งก็ค่อยๆ หันกลับมาแล้วสะกิดไปที่แขนเสื้อของซูเหลียนอวิ้นแล้วเอ่ยต่อไปว่า “แต่ดวงตาของเขาแปลกประหลาดยิ่งทำไมถึงเป็นสีฟ้าได้และทำไมข้าถึงรู้สึกว่าดูดีเสียด้วย!”
“มีอะไรน่าแปลกใจตรงไหน” ซูเหลียนอวิ้นหัวเราะเล็กน้อย “ได้ยินมาว่ามารดาของเยียลี่ว์เยี่ยนเป็นสาวงามที่มีดวงตาสีฟ้า ดังนั้นเขาก็ย่อมเป็นเหมือนอย่างมารดาของเขา”
เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นการก้าวเดินอย่างหนักแน่นแต่ละก้าวของเยียลี่ว์เยี่ยน จิตใจของนางกลับมิได้สงบอย่างที่นางแสดงออกมาให้เห็นภายนอก เพราะเยียลี่ว์เยี่ยนที่ผ่านการแต่งองค์ทรงเครื่องมาอย่างพิถีพิถัน เมื่อเทียบกับภาพลักษณ์ที่นางกวาดตามองผ่านๆ อย่างรีบร้อนเมื่อคืนนั้นแล้ว ถือเป็นภาพลักษณ์ที่ทำให้ดูแตกต่างไปจากคนทั่วๆ ไปมากยิ่งขึ้น
หากกล่าวว่าซูเหลียนอวิ้นไม่หวั่นไหวเลยแม้แต่นิดดียว? นั่นย่อมไม่ใช่เรื่องจริงอย่างแน่นอนแต่ก็ต้องหยุดคิดไว้เพียงเท่านี้ เพราะว่า…เยียลี่ว์เยียนที่อยู่ด้านหลังเยียลี่ว์เยี่ยนต่างหากถึงจะเป็นคนที่ดึงดูดสายตานางอย่างแท้จริง!
“มีแขกมาเยือนจากแดนไกล ข้าย่อมปลื้มปิติยินดี” ลี่หยวนตี้ชูจอกเหล้าที่อยู่บนโต๊ะขึ้นแล้วตรัสออกมา “ในฐานะที่ข้าเป็นฮ่องเต้ของดินแดนต้าชั่ว ขอยินดีต้อนรับการมาเยือนของพวกเจ้าเชิญนั่งลงเถิด”
“เช่นนั้นกระหม่อมต้องขอขอบพระคุณในพระเมตตาของฮ่องเต้แห่งต้าชั่วแล้วพะย่ะค่ะ” เยียลี่ว์เยี่ยนก้มตัวทำความเคารพในแบบของเมืองเยียลี่ว์ จากนั้นจึงพาเยียลี่ว์เยียนนั่งลงบนเก้าอี้ที่จัดวางไว้เป็นพิเศษสำหรับพวกเขา มุมปากของเขาปรากฏรอยยิ้มพร้อมมองสำรวจไปรอบด้าน
เมื่อทุกคนกินอาหารกันจนอิ่มไปครึ่งท้องและดื่มเหล้ากันไปพอประมาณแล้ว การแสดงสำคัญของงานเลี้ยงถึงจะเริ่มขึ้น
“เริ่มร้องรำทำเพลงกันเถิด” เสียงของลี่หยวนตี้ดังก้องทั่วทั้งโถง ทุกคนต่างทยอยกันวางจอกสุราลง เพื่อรอคอยการปรากฏตัวของนางรำ เพราะในช่วงเวลาเช่นนี้หากยังดื่มกินโดยไม่ยอมวางตะเกียบในมือลง จะไม่ใช่เป็นเพียงการไม่ให้เกียรติลี่หยวนตี้เท่านั้น แต่ยังเป็นการไม่ให้เกียรตินักร้องและนางรำเหล่านี้ด้วย!
อย่าได้ดูถูกพวกนางอย่างเด็ดขาด หากหนึ่งในพวกนางมีใครสนิทสนมกับลี่หยวนตี้ขึ้นมาเล่า? พวกนางเพียงแค่พูดเป่าหูเขาตอนนอนอยู่บนหมอนเดียวกันเท่านั้นก็เพียงพอจะจัดการพวกเขาได้แล้ว!
“ได้ยินมาว่าการร้องรำทำเพลงของต้าชั่วนั้น จัดได้ว่าโดดเด่นเหนือกว่านานาประเทศมาโดยตลอดใช่หรือไม่” นางรำออกมายังห้องโถงช้าๆ แต่ยังไม่ทันจะได้เริ่มเต้น ภายในห้องโถงกลับมีเสียงของเยียลี่ว์เยี่ยนดังลอยขึ้นมาแต่ไกลๆ
การเคลื่อนไหวของหัวหน้าคณะนางรำหยุดชะงักราวกับไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี พวกนางจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองลี่หยวนตี้เพื่อรอคำสั่งต่อไปของเขา
“องค์ชายเยียลี่ว์ล้อเล่นแล้ว” ลี่หยวนตี้ทรงพระสรวลเล็กน้อย “ทั้งหมดเป็นแค่การยกยอตัวเองทั้งนั้น แน่นอนหากมีคนกล่าวเช่นนี้ ข้าก็คงจะดีใจมาก เพราะอย่างไรก็ถือว่าโดดเด่นที่สุด”
น้ำเสียงของลี่หยวนตี้อ่อนโยนรอยยิ้มของเขากลับยิ่งอ่อนโยนกว่าทว่าเขากลับกัดครอบฟันเอาไว้แน่นตอนที่เขาเอ่ยสองคำสุดท้าย
“อ้อ…” เยียลี่ว์เยี่ยนเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าที่ดูแล้วผ่อนคลายราวกับกำลังมึนเมา “อันที่จริงน้องสาวของกระหม่อมโดดเด่นในด้านการเต้นรำในแบบของเมืองเยียลี่ว์มาก ทว่าการมาครั้งนี้พวกเราก็มาอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวจึงไม่รู้ว่าการเต้นรำของน้องสาวกระหม่อมเมื่อเทียบกับชาวต้าชั่วแล้ว ผู้ใดจะเป็นผู้ชนะ?”
คำพูดเช่นนี้เมื่อพูดออกมาแล้วแฝงความหมายของการยุแหย่อย่างไม่ได้เจตนา ทว่าเมื่อเห็นท่าทางของเยียลี่ว์เยี่ยนในตอนนี้ ก็แน่ใจได้เลยว่าเขาเมาอย่างแน่นอนดังนั้นตอนนี้หากพวกเขายึดเอาความคิดของตนแล้วตอบโต้กับเยียลี่ว์เยี่ยนล่ะก็ พอถึงพรุ่งนี้เกรงว่าเยียลี่ว์เยี่ยนคงจะกัดตัวเองตายเพียงเพราะคำพูดเหลวไหลของตัวเองในตอนท้ายกระมังข
แต่นี่เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงจิตใจคับแคบของพวกเขา ที่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องเล็กๆ เช่นนี้!
ทว่าซูเหลียนอวิ้นกลับรู้ดีว่า แม้ว่าท่าทางของเยียลี่ว์เยี่ยนในตอนนี้จะดูคล้ายเมาจริง แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้น…? เยียลี่ว์เยี่ยนผู้นี้มีความสามารถดื่มสุราพันแก้วไม่เมา ดังนั้นการดื่มสุราผลไม้ไปเพียงสองจอกแล้วทำให้เขาเมาหนักได้เช่นนี้นั้นถือว่าเป็นเรื่องไร้สาระเกินไป? นี่เขาคิดจะหลอกใครอยู่รึ!
“ท่านพี่เมาแล้วกระมัง!” เมื่อเยียลี่ว์เยียนได้ยินเช่นนั้นก็รีบลุกขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ท่านพี่ การเต้นรำของข้าจะนำไปเปรียบเทียบกับของชาวต้าชั่วได้อย่างไร! อีกอย่างเยียนเอ๋อร์…หากให้เยียนเอ๋อร์ต้องแข่งขันจริงๆ ข้าจะต้องแพ้แน่ๆ …เพราะว่าที่นี่…คือที่ต้าชั่วนะเพคะ…”
เสียงของเยียลี่ว์เยียนเมื่อพูดจนถึงตอนสุดท้ายค่อยๆ เบาลงเรื่อยๆ ส่วนท่าทางของผู้คนรอบด้านเป็นอย่างไรหรือทุกคนแทบจะยกหูของตัวเองเพื่อฟังสองประโยคนั้นให้ชัดๆ ขึ้น! ดังนั้นแม้ว่าน้ำเสียงของเยียลี่ว์เยียนจะเบาเพียงใดทว่าภายใต้สถานการณ์ที่แม้นมีเพียงเสียงแมลงร้องขึ้นเบาๆ ก็ยังได้ยินเช่นนี้…
ตอนนี้ภายในใจของทุกคนล้วนขุ่นเคือง! เพราะความหมายที่แท้จริงของเยียลี่ว์เยียนนั้นหมายถึงอะไรเล่า
จะต้องแพ้แน่ๆ ?
นั่นหมายความว่าพวกเขาจะต้องช่วยกันเข้าข้างคนของตนเองกระมังไม่อย่างนั้นนางคงจะเป็นฝ่ายชนะ?