ลิขิตกลกาล – ตอนที่ 186 รวมหัว
“ผูหลิว” มือของซูเหลียนอวิ้นถือม้วนหนังสือเอาไว้ราวกับว่ากำลังอ่านมันอยู่ แต่สายตาของนางนั้นกลับมองออกไปนอกหน้าสุดลูกหูลูกตา จึงทำให้สามารถสังเกตเห็นได้ชัดเจนว่าจิตใจนางไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“คุณหนูเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ” ผูหลิวจุดไส้ตะเกียงให้แสงเทียนสว่างขึ้น ในห้องจะได้ดูสว่างไสวกว่าเดิม
“ผูหลิว คืนวันนี้…ให้พวกเราหยุดพักผ่อนกันก่อนเถิด” ซูเหลียนอวิ้นถอนใจ “หากข้าเดามิผิด คืนนี้คนผู้นั้นจะต้องมาอีก” แม้ว่าจะเรียกว่าคนนั้น ทว่าผู้หลิวก็เข้าใจดีว่า คำว่าคนนั้นที่แท้หมายถึงผู้ใด”แต่คุณหนูเจ้าคะ หากทำแบบนี้จะไม่อันตรายเกินไปหน่อยหรือ” มือของผูหลิวที่กำลังจัดที่นอนอยู่นั้นหยุดชะงัก เพราะนางยังไม่ทันจะบอกซูเหลียนอวิ้นเลยว่า อันที่จริงพวกเขาก็เดาเอาไว้เหมือนกันว่าคืนนี้ต้วนเฉินเซวียนจะต้องกลับมาอีก!
เพราะเหตุใดน่ะหรือ นั่นเป็นเพราะว่ากลางดึกของทุกคืนในช่วงนี้จะต้องมีคนมาที่นี่เพื่อก่อความวุ่นวายตลอด! วิธีการที่พวกเขาใช้นั้นน่ารำคาญเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ต่อสู้เล็กๆ น้อยๆ กัน โดยไม่ได้ลงไม้ลงมืออะไรจริงจังก็ตาม แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้ผูหลิวรู้สึกตรงกันข้าม!
หากจะสู้ก็สู้ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย พวกเขาทั้งห้าคนไม่ว่าจะเลือกใครมาต่อสู้ก็ได้ทั้งนั้นขอแค่เลือกมา แต่ขณะที่มือเท้าของพวกเขากำลังพร้อมต่อสู้และเตรียมที่จะโจมตีขั้นต่อไป อีกฝ่ายกลับหันหลังเผ่นแนบไป
มันเป็นเพราะอะไรกัน!
ยังมีความเป็นมืออาชีพอยู่บ้างหรือไม่! อย่างน้อยๆ ก็ควรจะสู้จนรู้สึกว่าตัวเองสู้ไม่ได้แล้วค่อยหนีสิ! มาหยั่งความลึกของน้ำโดยที่ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าน้ำลึกหรือตื้นก็หนีไปดื้อๆ แล้วหรือ
น่ารังเกียจสิ้นดี!
เมื่อก่อนหากผูหลิวได้เจอคู่ต่อสู้เช่นนี้ นางจะต้องว้าวุ่นใจตลอดเวลา และจะต้องไล่ตามไปเพื่อดวลกันให้รู้ผลแพ้ชนะให้รู้แล้วรู้รอดไป แต่เนื่องจากเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้เขาก็ซวยไปแล้วครั้งหนึ่ง ดังนั้นผูหลิวกับพวกจึงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามอีกต่อไป
ตอนนี้ขอเพียงแค่อีกฝ่ายหนึ่งแสดงท่าทีว่าจะถอยเท่านั้น อวี่ซางและพวกวิ่งเร็วกว่าคนพวกนั้นอยู่แล้ว ดังนั้นจะเหมือนว่าเรือนแห่งนี้ลงคำสาปแช่งบางอย่างเอาไว้ ขอแค่พวกเขาออกพ้นเรือนไปสักครึ่งจั้ง พวกเขาก็จะรู้สึกว่าเหตุการณ์กลับไปเป็นปกติ
ทว่าเจ้าอย่าคิดว่าเจ้าไม่ออกไปแล้วเรื่องทุกอย่างจะจบลง? เพราะนั่นถือเป็นการดูถูกคนเป็นองครักษ์มากเกินไป พวกอวี่ซางเป็นองครักษ์จึงมีนิสัยมุมานะและอดทนเก่ง ส่วนอีกฝ่ายหนึ่ง…ก็คงจะเป็นองครักษ์เช่นกันกระมังถึงได้มีความพยายาม…และไม่ย่อท้อเช่นนี้!
เจ้าไม่ยอมออกมางั้นรึ เช่นนั้นข้าจะล่อให้เจ้าออกมาให้ได้ ดังนั้นโดยปกติแล้วถ้ามีคนมาทำของตกไว้ในเรือนไม่ว่าจะมีธุระหรือไม่มีธุระก็ตาม ส่วนใหญ่แล้วก็ทำเพื่อหวังจะล่อให้พวกเขาคนใดคนหนึ่งออกมา
กล่าวได้ว่านิสัยของอวี่ซางเป็นผู้ที่มีอารมณ์ไม่คงที่มากที่สุดผู้หนึ่งในบรรดาคนทั้งห้า แน่นอนว่าตอนแรกๆ เมื่อถูกการก่อกวนเช่นนี้โจมตีเข้าก็แทบจะระเบิดอารมณ์จนควักมีดสั้นออกมาตัดคอพวกเขา
แต่เขากลับถูกอั้นอิ่งห้ามเอาไว้อยู่ที่เดิม ตอนนี้หากออกไปก็คงจะสมความปรารถนาของพวกนั้น หากอวี่ซางจะออกไปข้างนอก มิสู้ซ่อนอยู่ใต้ต้นไม้นอกเรือนแต่แรก จะได้คอยส่งข่าวให้พวกเขาด้วย
พวกเขาจะได้รู้ว่าอีกฝั่งหนึ่งมีกี่คนที่ซ่อนตัวอยู่ตรงนั้น แถมจะได้เป็นการฝึกความอดทนของอวี่ซางได้อีกด้วย เพราะว่าต้นสาลี่ในลานบ้าน…น่าจะซ่อนได้เพียงคนเดียวเท่านั้น!
หากไม่อยากให้อีกฝั่งหนึ่งจับได้
หลายวันที่ผ่านมานี้ นิสัยของอวี่ซางดีขึ้นมาก การฝึกฝนที่มากกว่าแต่ก่อนถือว่าได้ผล ดังนั้นอั้นอิ่งจึงไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจดี นี่กระมังที่เรียกว่าเรื่องร้ายกลายเป็นดี?
“คุณหนูใหญ่ คุณหนูจะให้พวกอั้นอิ่งถอยกลับมาจริงๆ หรือเจ้าคะ แบบนี้ไม่อันตรายกับคุณหนูเกินไปหน่อยหรือ” ผูหลิวลังเลแต่ก็ยังกล่าวออกไป เพราะการเตือนของนางที่นางกล่าวออกไป ครึ่งหนึ่งเป็นเพราะคิดถึงความปลอดภัยของซูเหลียนอวิ้น ส่วนอีกครึ่งหนึ่ง…อันที่จริงเป็นความเห็นแก่ตัวนิดๆ หน่อยๆ ของนางด้วย!
เนื่องจากองครักษ์ทั้งสองกลุ่มนี้กำลังแอบรวมหัวกันอยู่! กำลังแข่งขันกันว่าผู้ใดจะทนไม่ไหวก่อนกัน อีกอย่างจากสถานการณ์ของฝั่งพวกนางแล้วถือว่าได้เปรียบกว่าอยู่ก้าวหนึ่ง แต่หากซูเหลียนอวิ้นสั่งการเช่นนี้…ทำให้พวกนางรู้สึกว่าฝ่ายตนเป็นพวกไม่เอาไหนอย่างยากจะอธิบาย!
“มิเป็นไร” ซูเหลียนอวิ้นวางหนังสือในมือลงไว้ด้านข้าง ถึงอย่างไรตอนนี้นางก็ไม่มีอารมณ์จะอ่านอีกต่อไปแล้ว “คืนนี้หากมีคนจะเข้ามา ก็ปล่อยให้พวกเขาเข้ามาเถิด ส่วนพวกอั้นอิ่งก็…ไม่ต้องคุ้มกันบริเวณรอบลานของข้าอีกแล้ว แต่ให้จำกัดบริเวณเข้ามาอยู่รอบๆ ห้องของข้าก็พอ เพราะจะว่ากันตามจริงแล้ว หากให้ข้าต้องเผชิญหน้าตามลำพัง ข้าเองก็แอบกลัวเช่นกัน”
“คุณหนูใหญ่วางใจเถิด” ผูหลิวผิวปากแล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า “พวกเราเข้าใจแล้ว คุณหนูอย่าห่วงเลยเจ้าค่ะ พวกเราจะคอยอยู่ใกล้ๆ คุณหนู แม้ว่าคุณหนูจะมองไม่เห็นด้วยตาแต่คุณหนูก็ไม่ต้องกังวลเจ้าค่ะ”
“ได้” ซูเหลียนอวิ้นลุกขึ้นยืนแล้วหมุนซ้ายหมุนขวาอยู่หน้ากระจก จากนั้นจึงหันกลับมาอย่างรวดเร็ว “ผูหลิว ข้าแต่งตัวเหมาะสมแล้วหรือไม่” นางยังไม่ลืมเหตุการณ์ที่ต้วนเฉินเซวียนบุกเข้ามาที่ห้องของนางครานั้นแล้วเห็นนางอย่างเต็มตาในขณะที่นางยังคงสวมใส่ชุดนอนอยู่! ดังนั้นตอนนี้ทุกครั้งก่อนที่นางจะล้มตัวลงนอนจำต้องสำรวจดูชุดตัวเองก่อนทุกครั้งถึงจะวางใจนอนหลับได้!
“คุณหนูใหญ่…แต่งตัวสวยแล้วเจ้าค่ะ” หลังจากที่ผูหลิวสำรวจซูเหลียนอวิ้นดูแล้วก็แอบหลบสายตาแล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่ค่อยหนักแน่นนัก
นั่นเป็นเพราะว่า…คุณหนูสวยมาก! แต่คุณหนูแต่งตัวสวยขนาดนี้แถมยังกำชับให้พวกเราไม่ต้องเฝ้า คุณหนูคงจะไม่…?
ใจของผูหลิวเต้นตึกตัก คุณหนูใหญ่ลืมเรื่องก่อนหน้านี้ไปหมดแล้วหรือ! นี่เพิ่งจะผ่านไปเพียงไม่กี่วันเท่านั้นเอง! คุณหนูถึงกับ ถึงกับจะยกโทษให้คนผู้นั้น?
“อย่าเข้าใจผิดนะผูหลิว” ซูเหลียนอวิ้นยกมือขึ้นบังสายตาของผูหลิวที่กำลังมองมาที่ตน “ข้าเพียงรู้สึกว่าจะดีจะร้ายอย่างไร เสื้อผ้าก็เป็นส่วนที่อยู่ภายนอกที่สุด หากแต่งกายไร้รสนิยมเกินไป ถึงเวลานั้นจะไม่เป็นฝ่ายเสียเปรียบหรอกหรือ เจ้าก็รู้นี่ว่าคุณหนูอย่างข้า…หากต้องแข่งขันด้านรสนิยมขึ้นมาจริงๆ … ถือว่ายังอ่อนหัดอยู่มาก”
ความจริงแล้วหลังจากที่ตัวเองหลุดคำพูดเช่นนั้นออกไป นางเองก็รู้สึกเสียใจทันที! เพราะแม้ว่านางจะไม่ได้มีเจตนาไปในทางด้านนั้น แต่หากพิจารณาทบทวนอย่างละเอียดสักนิดถึงคำพูดของตน…ก็สามารถเข้าใจได้ว่าหญิงชายที่เป็นคู่รัก กำลังจะแอบนัดกันอย่างลับๆ แล้วให้สาวใช้ช่วยดูว่าคืนนี้แต่งตัวสวยแล้วหรือยัง!
“คุณหนูใหญ่ บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” ผูหลิวพยักหน้ารับ ทว่าสายตาของนางที่แสดงออกมากลับเป็นสายตาที่ไม่มีความเชื่อใจเลยแม้แต่น้อย
เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นสายตาเช่นนี้ของผูหลิว นางก็รู้สึกว่าตนแทบอยากจะกระอักเลือดออกมา! เพราะอะไรหรือ ก็เพราะว่าการแสดงออกว่าไม่เชื่อใจอย่างรุนแรงนี้ มันเกิดขึ้นได้อย่างไร และยังมีอีกเรื่องหนึ่งก็คือ ผู้ที่กำลังคุยอยู่กับนางตอนนี้คือผูหลิวไม่ใช่หลีมู่ถูกหรือไม่
เฮ้อ ซูเหลียนอวิ้นแอบคิดในใจว่าผูหลิวคงกินชาพิษจากหลีมู่เข้าไปแล้วแน่ๆ! ถึงได้เริ่มไม่เชื่อใจตนเช่นนี้!