ลิขิตกลกาล – ตอนที่ 205 ปากไม่ตรงกับใจ
ซูเหลียนอวิ้น เอ๊ะ? ทำไมท่านอาจารย์ถึงต้องทำท่าทางตื่นเต้นขนาดนี้ด้วย?
“มา เจ้ามาดูนี่” หรงซู่คว้าข้อมือซูเหลียนอวิ้นแล้วเดินไปยังแปลงสมุนไพรที่อยู่ด้านหลังห้องแล้วชี้ไปยังแมลงตัวดำปี๋ที่กำลังเกาะอยู่บนต้น “นั่นไง พวกมันกำลังปีนอย่างมีความสุขอยู่ตรงนั้น”
ซูเหลียนอวิ้นหันหน้าไปมองตามทิศทางที่หรงซู่ชี้ แต่เมื่อนางเห็นทุกอย่างชัดเจนแล้ว นางก็เริ่มรู้สึกว่าหนังศีรษะของนางรู้สึกชาไปหมด!
“ท่านอาจารย์!” ซูเหลียนอวิ้นเกาะแขนของหรงซู่เอาไว้แน่นแล้วพยายามที่จะเข้าไปหลบอยู่ด้านหลัง “ท่านอาจารย์ ท่านตั้งใจใช่หรือไม่?!”
ตั้งใจพานางมาดูอะไรที่…น่าขยะแขยงเช่นนี้!
แม้ว่าพวกมันจะกำลังปีนอยู่ แต่เห็นได้อย่างชัดเจนว่าบนตัวของแมลงพวกนั้นมีปีกอยู่คู่หนึ่ง! เมื่อแสงอาทิตย์ส่องมาตกกระทบก็ยิ่งทำให้พวกมันสะท้อนเป็นประกายจนเสียดแทงลูกตาเป็นอย่างยิ่ง! อีกอย่างตอนนี้นางเห็นพวกตัวใหญ่ๆ กำลังเริ่มบินกันวุ่นวายแล้ว!
“ฮ่าๆๆๆๆ” เมื่อหรงซู่เห็นซูเหลียนอวิ้นตกใจจนแข้งขาอ่อนเช่นนี้ก็หัวเราะจนตัวงอ “เห็นอวิ้นเอ๋อร์สภาพเป็นอย่างนี้แล้ว ความกลัดกลุ้มที่อยู่ในใจของข้าในช่วงหลายวันมานี้ก็ดีขึ้นมากแล้ว สบายใจขึ้นมากทีเดียว!”
ซูเหลียนอวิ้น “….ท่านอาจารย์ ท่านเสียสติไปแล้วหรือ!” มีใครที่ไหนบ้างที่เอาลูกศิษย์ของตัวเองมาทำเป็นของเล่น แถมยังหัวเราะอย่างสบายใจขนาดนี้อีก!
“เอาล่ะ ข้าไม่แกล้งเจ้าแล้ว” สุดท้ายหรงซู่ก็หัวเราะจนพอแล้วยื่นมือออกไปตบไหล่ของซูเหลียนอวิ้น “ไปเถิด เรามาคุยเรื่องที่เจ้ามาหาข้าในวันนี้ดีกว่าว่าเป็นเรื่องอะไร เพราะดูจากท่าทีของเจ้าแล้วหากยังฝืนให้เจ้าอยู่ตรงนี้ต่อไป เจ้าคงจะฆ่าข้าอย่างแน่นอน!”
พูดมีเหตุผล พูดมีเหตุผล! ซูเหลียนอวิ้นแอบบ่นในใจ จริงอย่างที่ว่าหากนางยังอยู่ตรงนี้ต่อไป นางคงอดไม่ได้ที่จะทำอย่างที่ว่าอย่างแน่นอน!
ทว่าก่อนที่จะพูดถึงปัญหาของนาง อันที่จริงแล้วนางยังมีคำถามนิดหน่อยสำหรับเจ้าแมลงพวกนี้!
“ท่านอาจารย์ แมลงพวกนี้มันมาอยู่กับท่านนานเท่าไหร่แล้ว”
“ทำไมจู่ๆ ถึงถามคำเล่า” หรงซู่เอามือลูบคางพลางครุ่นคิด “ประมาณ…เกือบเจ็ดวันแล้วกระมัง ทำไมหรือ”
“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ…” เสียงของซูเหลียนอวิ้นอู้อี้ “เพียงแค่รู้สึกว่าท่านอาจารย์เยี่ยมมากจริงๆ!” หลังบ้านมีแมลงอยู่เต็มไปหมดเช่นนี้ ท่านอาจารย์ยังทนอยู่ได้แถมยังกินได้นอนหลับอยู่ตั้งเจ็ดวัน!
ท่านอาจารย์ช่างใจใหญ่เสียจริง หรือว่าไม่สนใจพวกมันจริงๆ! แต่ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไรก็เพียงพอที่จะทำให้ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกนับถือได้
“แค่ชินก็หมดเรื่อง” หรงซู่โบกมืออย่างไม่ใส่ใจนัก “อันที่จริงแล้วข้าก็กำลังคิดอยู่เหมือนกัน อวิ้นเอ๋อร์เจ้าว่าเจ้าแมลงตัวอวบอ้วนเช่นนี้ หากจับพวกมันมากิน รสชาติจะเป็นอย่างไร
“เพราะข้าเองก็เอาชื่อของข้ารับประกันคุณภาพของสมุนไพรพวกนี้เช่นกัน! อีกอย่างหากพวกมันรสชาติดี ต่อไปในภายภาคหน้าข้าก็ไม่ต้องลงจากภูเขาแล้วน่ะสิ หากแก้ปัญหานี้ได้ ต่อไปก็จะมีเนื้อกินแล้ว!”
ไม่ต้องลงจากเขา ไม่ต้องล่าสัตว์ นี่ช่างเป็นชีวิตในอุดมคติเสียจริงๆ!
ซูเหลียนอวิ้นก้มหน้าพิจารณาอยู่พักหนึ่ง คำถามนี้…อันที่จริง เอาล่ะดูท่าแล้วก็พอได้ เพราะเมื่อครู่นี้นางก็เห็นเต็มตาแล้วว่าแมลงพวกนั้นอ้วนจนตัวจะแตกอยู่แล้ว!
ทว่าถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่พอนึกถึงรูปร่างของพวกมัน…อืม นางรู้สึกว่าต่อให้รสชาติของพวกมันดีแค่ไหน นางก็คงรับไม่ได้อยู่ดี!
“เอาล่ะท่านอาจารย์ พวกเราอย่าคุยกันเรื่องนี้อีกเลย” หากมัวแต่คิดเรื่องนี้อยู่นางเกรงว่านางคงต้องงดอาหารเย็นไปหนึ่งมื้อ ไม่ต้องกินมันแล้ว! เพราะการเอาแมลงลงไปทอดในหม้อ สำหรับนางแล้ว แค่นึกภาพก็เพียงพอแล้ว!
“อวิ้นเอ๋อร์ เจ้าอยากคุยเรื่องอะไรหรือ” หรงซู่เดินนำซูเหลียนอวิ้นกลับไปในกระท่อมแล้วรินชาพร้อมส่งให้ซูเหลียนอวิ้น จากนั้นจึงนั่งลงบนเก้าอี้สานแล้วเอ่ยปากขึ้น
“อืม…” ซูเหลียนอวิ้นเอามือตบแก้มตัวเองเบาๆ คล้ายกำลังลังเลบางอย่าง “คือว่า คือว่า…” เรื่องนี้นางจะเอ่ยอย่างไรดี เพราะแม้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้านางจะเป็นหรงซู่ แต่ว่าเรื่องนี้นางก็เอ่ยปากไม่สะดวกเท่าไหร่นัก
“เจ้าอยากถามใช่หรือไม่ว่าต้วนเฉินเซวียนเป็นอย่างไรบ้าง” หรงซู่นั่งกระดิกขาไขว่ห้างพลางถือถ้วยน้ำชาด้วยมือข้างเดียว
“อ่าๆๆ เรื่องนี้นั่นแหละเจ้าค่ะ!” ซูเหลียนอวิ้นวางมือทั้งสองอยู่บนตักของตัวเองแล้วพยักหน้างึกหงัก “ท่านอาจารย์ ทำไมเขาถึงรู้…? ข้าไม่เข้าใจเลย! อีกอย่าง…” เพราะนางรู้สึกว่าภายในก้นบึ้งจิตใจของนางนั้นไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่!
นางไม่เชื่อว่าจู่ๆ ต้วนเฉินเซวียนจะรู้สึกสำนึกผิดแล้วก็เปลี่ยนความคิดของตัวเองอย่างรวดเร็วเช่นนี้ พอรู้ทุกการกระทำของนางตลอดที่ผ่านมาแล้วก็เปลี่ยนความคิดได้เลยงั้นหรือ ทั้งๆ ที่ห้าปีที่ผ่านมาไม่เคยเปลี่ยนความคิดเขาได้สำเร็จเลย จู่ๆ นึกจะเปลี่ยนก็เปลี่ยน? เรื่องนี้ฟังดูแล้วค่อนข้างจะ…ไม่ค่อยเกี่ยวกันสักเท่าไหร่
“เฮ้อ…” หรงซู่ลากเสียงยาว “ทำไมถึงพูดเรื่องนี้กับอวิ้นเอ๋อร์ได้นะ อาจารย์บอกเจ้าได้เพียงว่า เฉินเซวียนผู้นี้ไม่เคยเคยร้ายมาก่อนเลย โดยเฉพาะกับเจ้า ไม่ว่าจะเป็นเมื่อก่อนหรือตอนนี้ก็ตาม”
“เนื่องจากเขาเป็นคนที่ปากไม่ตรงกับใจมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นบางครั้งเจ้ามิอาจมองเพียงภายนอกว่าเขาทำอะไรแล้วตัดสินใจเขาง่ายๆ เพราะ…เรื่องนี้ข้าคงต้องพูดกับเจ้า ข้าขอยกตัวอย่างก็แล้วกัน”
“เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์พูดเถิด ข้าฟังอยู่” ซูเหลียนอวิ้นสบตากับหรงซู่แล้วเอ่ยขึ้นโดยไม่กระพริบตา เพราะนิสัยเสียนี้ของต้วนเฉินเซวียนที่หรงซู่ว่า นางก็พอรู้มาบ้าง แต่ก็มิได้เข้าใจลึกซึ้งนัก ดังนั้นตอนนี้เมื่อหรงซู่จะเอาเรื่องของต้วนเฉินเซวียนในอดีตมายกตัวอย่าง นางย่อมรู้สึกสนใจขึ้นมาโดยปริยาย
“ตอนนั้นที่พวกเราฝึกวรยุทธ์อย่างหนักกันอยู่บนภูเขา อันที่จริงตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่น่าเบื่อมาก ดังนั้นทุกครั้งที่พวกเราพบเรื่องอะไรที่ต่างไปจากปกติ แม้เพียงเป็นเรื่องเล็กน้อยหรืออาจจะเป็นของเล่นอะไรใหม่ๆ พวกเราก็จะร่าเริงกันไปหลายวัน
“จากนั้นมีอยู่วันหนึ่ง ตอนที่หนานกงลงจากเขาไปเพื่อซื้อวัตถุดิบมาตุนไว้ ไม่รู้ว่าลูกหมาตัวน้อยจากที่ไหนตามนางกลับขึ้นมา หนานกงบอกว่าเดิมทีนางจะไล่มันกลับไป แต่เจ้าหมาน้อยตัวนั้นน่าสงสารยิ่ง ดังนั้นนางจึงทำไม่ได้และอุ้มมันขึ้นเขามาด้วย
“แน่นอนว่าท่านอาจารย์ของพวกเราไม่ยอม เพราะการฝึกตนนั้นให้ความสำคัญกับเรื่องที่อาจทำให้วุ่นวายใจมาก หรือกล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่าเรื่องวุ่นวายใจยิ่งน้อยเท่าไหร่ยิ่งดี แต่สุดท้ายแล้วก็ทนหนานกงไม่ไหวจึงยอมเลี้ยงลูกหมาตัวนั้น เฉินเซวียนในตอนนั้น คราแรกที่เขาเห็นหมาน้อยตัวนี้ เขาก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่ารังเกียจมันเป็นที่สุด! เขาบอกว่าลูกหมาตัวนี้หน้าตาอัปลักษณ์แถมยังอ่อนแออีกด้วย หากมันมาตายอยู่บนเขานี้คงจะไม่เป็นมงคลและเรื่องอื่นๆ อีก
“แต่แม้ว่าปากของเขาจะแสดงท่าทางว่ารังเกียจมันมากที่สุด แต่ในความเป็นจริงแล้ว เขากลับเอ็นดูมันมากเสียยิ่งกว่าหนานกงที่เป็นคนเก็บมันกลับมาด้วยซ้ำ กลางดึกหากเจ้าลูกหมาตัวนี้ร้องด้วยความหิวโหยขึ้นมาเมื่อไหร่ ข้ากับหนานกงนั้นจะนอนหลับเหมือนตายจนไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งสิ้น มีเพียงเขาเท่านั้นที่จะตื่นขึ้นมาในยามนั้นเพื่อให้อาหารมัน แถมเรื่องวุ่นวายเล็กๆ น้อยๆ อย่างการอาบน้ำทำความสะอาดมัน เขาเองก็เป็นคนรับผิดชอบเอง
“แม้ว่าทุกวันปากเขาจะบ่นว่าลูกหมาตัวนี้น่าขยะแขยงเพียงใด ทว่าการกระทำของเขากลับไม่ตรงกับสิ่งที่เขาพูดเลยสักนิด”