ลิขิตกลกาล – ตอนที่ 217 ลิขิต
“อย่างนั้นเจ้า…” เสียงของซูปั๋วชวนสูงขึ้นเล็กน้อย แต่สุดท้ายแล้วกลับทำได้เพียงถอนใจ “เจ้าไปเรียกอวิ้นเอ๋อร์มาเถิด พวกเราจะได้คุยกัน”
“นี่เราไม่มีวิธีอื่นจริงๆ แล้วหรือ” อันเพ่ยอิงยังไม่ยอมแพ้ “บางทีหนทางอาจจะมิได้มีเพียงทางเดียวก็ได้” เพราะหนทางมีไว้ให้คนเดินออกมา ดังนั้นคนก็ต้องหาวิธีการออกมาได้ หากจะให้อันเพ่ยอิงยอมรับในโชคชะตาและยอมแพ้เช่นนี้…นางคงทำไม่ได้
“อย่างนั้นก็ไปเรียกอวิ้นเอ๋อร์มา!” ซูปั๋วชวนนั่งลงแล้วดื่มน้ำชาเข้าไปรวดเดียว “ลองดูก่อนว่าอวิ้นเอ๋อร์มีความคิดอย่างไร” แน่นอนว่าวิธีการนั้นมีมากมาย เช่นบอกว่าอวิ้นเอ๋อร์เป็นโรคร้าย หากรักษาไม่หายคงไม่รอด หรืออาจบอกว่าซูเหลียนอวิ้นไปใช้ชีวิตที่วัดเพื่อหลีกหนีความวุ่นวาย
ทว่า…หลังจากใช้วิธีการเหล่านั้นแล้ว จะให้กลับไปยืนต่อหน้าทุกคนอย่างสง่าผ่าเผยคงยากแล้วกระมัง
ครู่หนึ่งซูเหลียนอวิ้นก็รุดมาถึง “ท่านพ่อท่านแม่เรียกลูกมาหรือเจ้าคะ”ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นยังคงหายใจหอบไม่หาย เนื่องจากตอนที่บ่าวรับใช้มาตามนางนั้น น้ำเสียงของเขาร้อนใจอย่างยิ่ง! นั่นจึงทำให้นางทิ้งเรื่องอื่นๆ แล้วรีบเก็บของเตรียมตัวมาที่นี่ทันที
“อวิ้นเอ๋อร์…” อันเพ่ยอิงเอ่ยปากครึ่งๆ กลางๆ อย่างลังเล “ให้พ่อของเจ้าพูดกับเจ้าเองจะดีกว่า” เดิมทีนางยังพูดเรื่องนี้ได้ ทว่าตอนนี้เมื่อนางเห็นสีหน้าตั้งใจและสายตาที่แฝงความสงสัยใคร่รู้ของซูเหลียนอวิ้นแล้ว คำพูดเหล่านี้…นางกลับพูดไม่ออกอีกต่อไป
“คือ…” ซูปั๋วชวนที่กำลังนั่งก้มหน้ากุมถ้วยชาของตัวเองเอาไว้ คาดไม่ถึงว่าอันเพ่ยอิงจะกลับคำแล้วโยนปัญหาให้มาตกอยู่ที่เขาเช่นนี้ ตอนนั้นเขาจึงอดที่จะรู้สึกลำบากใจไม่ได้
“ท่านพ่อ มีเรื่องใหญ่หรือเจ้าคะ” ซูเหลียนอวิ้นขมวดคิ้วมองคนตรงหน้าทั้งสอง “แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่อย่างไร หากยังผลัดวันไปเช่นนี้ก็ไม่ถือว่าเป็นวิธีแก้ปัญหาเช่นกัน ฉะนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่เจ้าคะท่านพ่อ”
“เฮ้อ คือว่า” ซูปั๋วชวนเริ่มไม่อยู่สุข ประเดี๋ยวแคะหู ประเดี๋ยวเกาศีรษะ จนสุดท้ายเขาก็ไม่เหลืออะไรให้เกาอีกจึงเอ่ยออกมาว่า “คืออย่างนี้อวิ้นเอ๋อร์ เจ้ายังจำเรื่องที่เราคุยกันเรื่องงานหมั้นเมื่อหลายวันก่อนได้หรือไม่”
“จำได้เจ้าค่ะ” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้าอย่างใจเย็น “ทำไมหรือ กำหนดวันได้แล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“ยังมิได้…”
ยังมิได้รึ ซูเหลียนอวิ้นเลิกคิ้ว หากยังกำหนดไม่ได้…แล้วเพราะเหตุใดถึงต้องทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเช่นนี้ด้วย หรือว่าเรื่องที่พ่อของนางเตรียมจะเอ่ยกับนางเป็นเรื่องที่รับมือยากยิ่งกว่าการหมั้นหมาย?”จะไม่มีการหมั้นหมายแล้ว” ซูปั๋วชวนน้ำเสียงหนักแน่นพลางเงยหน้าขึ้น “อวิ้นเอ๋อร์ เจ้า…แต่งงานเถิด”
ซูเหลียนอวิ้นยังคงเหม่อลอยไม่ขยับเขยื้อน ท่าทางของนางตอนนี้คล้ายว่านางถูกใครสักคนสะกดจุดเอาไว้ “แต่งงานหรือ””อวิ้นเอ๋อร์…” เมื่ออันเพ่ยอิงเห็นท่าทางของซูเหลียนอวิ้นเป็นเช่นนี้ นางก็ไม่สนใจอะไรอีกแล้วโอบซูเหลียนอวิ้นเอาไว้ที่อก นางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอู้อี้ “อวิ้นเอ๋อร์ ท่านพ่อของเจ้าก็แค่…อวิ้นเอ๋อร์หากเจ้ารับไม่ได้จริงๆ เช่นนั้นพวกเรามิต้องยอมรับการแต่งงานก็ได้ ให้พ่อกับแม่เลี้ยงเจ้าไปตลอดชีวิตก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร อีกอย่างเจ้ายังมีพี่ชายอีกทั้งคน วันหน้าหากพ่อกับแม่ไม่อยู่แล้ว เยี่ยเอ๋อร์ก็ยังดูแลเจ้าได้ หากเยี่ยเอ๋อร์รู้เรื่องนี้ก็คงจะมีความคิดไม่แตกต่างจากพวกเรา”ซูเหลียนอวิ้นยอมให้อันเพ่ยอิงสวมกอดแบบเกร็งๆ โดยไม่ขยับเขยื้อน ผ่านไปพักใหญ่เมื่อนางค่อยๆ สังเคราะห์ปัญหานี้ได้แล้ว นางถึงจะผละตัวออกมาช้าๆ แล้วค่อยๆ ผลักอันเพ่ยอิงที่กอดนางอยู่อย่างเบามือ”ท่านแม่ ลูกเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” ซูเหลียนอวิ้นเอามือหยิบผ้าเช็ดหน้าที่พกติวตัวเอาไว้ออกมาเพื่อเช็ดน้ำตาให้อันเพ่ยอิง “ระหว่างประเทศชาติกับคนเพียงคนเดียว ลูกเข้าใจเรื่องนี้ดีเจ้าค่ะ”
อีกอย่างเรื่องนี้…
“อวิ้นเอ๋อร์…” อันเพ่ยอิงสะอึกสะอื้นไม่เป็นภาษา เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงประเทศชาติ ใต้ฟ้าผืนนี้มีบุรุษตั้งมากมาย เหตุใดถึงต้องให้เด็กหนุ่มที่ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวผู้หนึ่งมาควบคุมด้วย?
“ลูกเองก็มิอยากต้องห่างบ้านไปไกลเพราะการแต่งงาน ดังนั้นตอนนี้หากให้ลูกแต่งงานไปเสียก็ถือว่าเป็นเรื่องดี” ซูเหลียนอวิ้นหยักไหล่พลางหัวเราะ “เพราะต่อไปหากลูกคิดถึงท่านพ่อกับท่านแม่เมื่อไหร่ก็จะเดินทางมาหาง่ายหน่อย ดังนั้นมิสู้ให้เป็นตามนี้ไปจะดีกว่า”
นี่คงเป็นโชคชะตากระมัง ซูเหลียนแอบคิดในใจ เพราะไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ยิ่งเป็นเรื่องราวที่ยิ่งพัวพันยุ่งเหยิง เช่นนั้นมิสู้ใช้มีดตัดปัญหานี้เสีย แล้วใช้ชีวิตอย่าสงบสุขต่อไป”เช่นนั้น…หากต้องเป็นเขา อวิ้นเอ๋อร์ชอบเขาบ้างหรือไม่” คำพูดเช่นนี้อันที่จริงแล้วเมื่อออกมาจากปากของมารดาแล้วถือว่าเป็นการก้าวก่ายมากไปหน่อย แต่ตอนนี้อันเพ่ยอิงไม่ได้คิดมากขนาดนั้น ในใจนางตอนนี้เพียงรู้สึกว่าตนติดค้างลูกสาวมากเกินไป ดังนั้นในเมื่อจะต้องแต่งงานจริงๆ หากซูเหลียนอวิ้นจะเลือกคนที่ตัวเองชอบก็ไม่มีปัญหา
ขอแค่คนผู้นั้นไม่เลวร้ายและตรงไปตรงมา ฐานะของครอบครัวจะเป็นอย่างไรขอแค่ซูเหลียนอวิ้นชอบก็พอแล้ว
“ไม่เจ้าค่ะ” ซูเหลียนอวิ้นกลืนน้ำลาย “ท่านแม่ลองพิจารณาดูเถิดว่าจะเอาอย่างไร ขอแค่เป็นคนพอใช้ได้ก็พอแล้วเจ้าค่ะ” เพราะสุดท้ายผลของการเลือกไปเลือกมาจะเป็นอย่างไรเล่า ซูเหลียนอวิ้นกล้าเอาหัวของตนเป็นประกันเลยว่าสุดท้ายแล้วคนที่นางต้องแต่งงานด้วยจะต้องหนีไม่พ้นต้วนเฉินเซวียนอย่างแน่นอน
นี่มิใช่เป็นการด่วนตัดสินชีวิตของตนเร็วเกินไป การเชื่อฟังพวกเขาก็นับว่าเป็นชะตาลิขิตอย่างหนึ่ง อีกอย่างนางเองก็ไม่ใช่คนโง่ ชาติที่แล้วไม่ปรากฏเรื่องของเยียลี่ว์เยี่ยน! ดังนั้นเรื่องที่โผล่ออกมาอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุนี้ นางเองก็เคยคิดเรื่องนี้มาบ้างแล้วเหมือนกัน
เมื่อชาติก่อนนางแอบรู้เรื่องที่ลี่หยวนตี้เมตตาต้วนเฉินเซวียนเป็นพิเศษมาบ้าง มิเช่นนั้นแล้วคงไม่ปล่อยให้เขาเดินอยู่ในวังหลวงมานานหลายปีขนาดนี้ แม้ว่านางจะไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นเพราะอะไร แต่ลี่หยวนตี้ถึงขนาดยื่นมือเข้ามายุ่งเรื่องนี้เองแล้ว ซูเหลียนอวิ้นค่อนข้างมั่นใจแปดถึงเก้าส่วนจากสิบส่วนว่าต้วนเฉินเซวียนจะต้องอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้
จะต้องเป็นเขาที่ให้ลี่หยวนตี้มากดดันบิดามารดาของนาง แต่แม้ว่านางจะเดาและรู้เรื่องทุกอย่างแล้วก็ตาม นางกลับมิได้เล่าเรื่องนี้ให้อันเพ่ยอิงฟัง! เพราะนางไม่อยากจะขัดต่อพลังที่นางมองไม่เห็น
เรื่องราวน่าเหลือเชื่อที่เกิดขึ้นกับนางมีมากมายนัก นางจึงทำได้เพียงกัดฟันทนแล้วกล้ำกลืนเรื่องทุกอย่างลงท้องไป
อีกอย่างเรื่องราวเหล่านั้นที่หรงซู่ทำให้นางเห็นในฝันนั้น ทำให้ซูเหลียนอวิ้นเห็นต้วนเฉินเซวียนในมุมมองที่แตกต่าง นั่นก็คือนิสัยความดื้อรั้นของต้วนเฉินเซวียน ของสิ่งใดก็ตามที่เขาต้องการเกรงว่าคงจะไม่มีอะไรหลุดลอดมือเขาไปได้กระมัง
ขนาดนางตายไปแล้วต้วนเฉินเซวียนยังลากนางออกมาจากวังพญามัจจุราชได้ แล้วตอนนี้นางยังมีชีวิตอยู่? ดังนั้นต้วนเฉินเซวียนไม่มีทางปล่อยนางให้หลุดมืออย่างแน่นอน
ซูเหลียนอวิ้นจึงรู้สึกว่านางยอมรับสภาพการณ์นี้แต่โดยดีจะดีกว่า อย่าได้ดิ้นรนอีกต่อไปเลย หากสามารถลดความเป็นห่วงและกังวลใจของพ่อแม่นางได้ นางก็ควรลดเสีย
เนื่องจากช่วงนี้นางเริ่มสังเกตเห็นได้เช่นกันว่าอันเพ่ยอิงกับซูปั๋วชวน…เริ่มแก่ขึ้นและผอมลงไปไม่น้อยแล้ว
“อวิ้นเอ๋อร์ เจ้าคิดดูให้ดีๆ” ซูปั๋วชวนเอ่ยอย่างร้อนใจ “มิต้องเกรงใจอะไรทั้งสิ้น ขอแค่เจ้าพูดออกมา พ่อมิใช่แต่เพียงจะช่วยเหลือเจ้าเท่านั้น แต่จะยังให้โอกาสเจ้าคิดวิธีแก้ปัญหาด้วยตัวเองได้ด้วย”