ลิขิตกลกาล – ตอนที่ 219 เยียบย่ำ
“ฮูหยินค่อยๆ เลือกเถิดขอรับ…” สีหน้าภายนอกของหลินอั้นตอนนี้ไม่สามารถดูอาการออก ทว่าในใจจริงๆ แล้วกลับแอบบ่นว่า ฮูหยินอย่าใช้น้ำเสียงเช่นนั้นเอ่ยได้หรือไม่ มันทำให้รู้สึกว่า…เจ้านายของเขากำลังจะขึ้นเวทีเพื่อเข้าร่วมประกวดนางงามอย่างไรอย่างนั้น!
ถึงจะได้เลือกเสื้อผ้าซ้ายทีขวาที เจ้านายของเขามิใช่คนอย่างนั้นเสียหน่อย
คงต้องเอ่ยว่าความเข้าใจในตัวต้วนเฉินเซวียนของหลินอั้นหากเทียบกับจางเจาหวาผู้ซึ่งเป็นแม่แล้วถือว่ายังอ่อนหัดนัก! เนื่องจากต้วนเฉินเซวียนในตอนนี้ได้ยกเอาเสื้อผ้าทั้งหมดออกมาเลือกแล้วเลือกอีกว่าจะใส่อะไร และถึงขนาดจะรื้อเอาเสื้อผ้าฤดูหนาวออกมาลองใส่ดูเสียด้วยซ้ำ!
“เซวียนเอ๋อร์ เจ้าแต่งตัวเรียบร้อยแล้วหรือยัง” ผ่านไปครู่ใหญ่ จางเจาหวาก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้วนั่งรออยู่บนเก้าอี้ที่เรือนของตัวเองอย่างไม่รีบร้อนแต่จนแล้วจนเล่าก็ไม่เห็นต้วนเฉินเซวียนมา ด้วยเหตุนี้นางจึงมาหาเขาที่นี่ด้วยตัวเอง
“หากไม่ตอบ แม่คงทำได้เพียงเข้าไปดูให้เห็นด้วยตาตัวเอง”
“ท่านแม่ ลูกจะออกไปเดี๋ยวนี้แล้ว!” เสื้อผ้านั้นเปลี่ยนเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่เสื้อผ้าที่รื้อออกมาเล่า… เขายังเก็บไม่เรียบร้อยเลย! แน่นอนว่าเขาย่อมให้หลิวจือหรือคนอื่นๆ มาเก็บแทนได้ แต่หากให้คนอื่นมาเก็บแทนนั่นก็จะเท่ากับเป็นการเผยด้านที่น่าอายของเขาออกไป
เขาเป็นทายาทของจวนจิ้งอันโหวผู้เพียบพร้อม แต่กลับ…เลือกเสื้อผ้านานขนาดนี้! แม้ว่าบ่าวรับใช้ของเขาจะปิดปากได้ดี แต่เรื่องนี้ก็ไม่ควรอยู่ดี!
“เสร็จแล้วขอรับท่านแม่” ไม่นานนัก ประตูห้องก็ค่อยๆ ถูกเปิดออก จากนั้นต้วนเฉินเซวียนจึงก้าวเท้าออกมาอย่างผึ่งผาย
“ลูกชายของแม่หล่อยิ่งนัก” จางเจาหวายกมือขึ้นเพื่อลูบผมต้วนเฉินเซวียน “เสื้อผ้าชุดนี้เพียงดูก็รู้แล้วว่าตั้งใจเลือกใช่หรือไม่ รสนิยมใช้ได้เลย”
ชุดที่ต้วนเฉินเซวียนสวมใส่ตอนนี้เป็นชุดปักลายสีแดงเข้ม ลวดลายที่อยู่ด้านบนก็สลับซับซ้อนวิจิตร แม้ว่าจะเป็นการการฝังลายลงไปแต่เห็นแล้วก็ทำให้รู้สึกถึงความหรูหรางดงาม
หากเป็นคนทั่วๆ ไปสวมใส่เสื้อผ้าชุดนี้ เกรงว่าคงจะโดนเสื้อผ้าชุดนี้กลบรัศมีของผู้สวมใส่เป็นแน่
เนื่องจากเสื้อผ้าที่แสดงให้เห็นถึงความโอ่อ่าสง่างามแต่ยังแฝงความเรียบง่ายเช่นนี้ หากคนธรมมดาได้สวมใส่แล้วเกรงว่าสายตาคงจะถูกดึงดูดไปอยู่ที่ชุดทั้งหมด ผู้ใดจะจำได้ว่าผู้สวมใส่หน้าตาเป็นอย่างไร แต่ต้วนเฉินเซวียนผู้นี้กลับอวดดีกว่าเสื้อผ้ามากนัก อีกทั้งหากจะกล่าวถึงความสันโดษก็เกรงว่าคงจะไม่มีผู้ใดเหนือกว่าเขาได้
ดังนั้นเมื่อเขาใส่เสื้อผ้าชุดนี้ก็ถือได้ว่าเหมาะสมกันยิ่ง เหมือนเกิดมาเพื่อคู่กับของสิ่งนี้
“ที่ใดกัน…” เมื่อต้วนเฉินเซวียนถูกเปิดโปงกระทันหันเช่นนี้หน้าของเขาก็เริ่มแดงขึ้นเล็กน้อย “ลูกเพียงหยิบส่งๆ ออกมาจากกองเสื้อผ้าในตู้ก็เท่านั้น ท่านแม่คิดมากเกินไปแล้ว”
“เอาล่ะ แม่คงคิดมากไปเอง” เดิมทีจางเจาหวาคิดจะล้อต้วนเฉินเซวียนเล่นอีกสักสองสามประโยค ทว่านางกลับไม่ลืมนิสัยของต้วนเฉินเซวียนและนึกถึงความพอเหมาะพอดีเป็นสำคัญ อีกอย่างเวลาตอนนี้ก็ล่วงเลยมามากแล้วจึงควรรีบจัดการเรื่องสำคัญให้เรียบร้อยก่อน จากนั้นค่อยกลับมาสนใจเรื่องที่ไม่สลักสำคัญต่อ
จวนซู
“ฮูหยินขอรับ ฮูหยินของท่านโหวจากจวนจิ้งอันโหวมาที่นี่พร้อมกับคุณชายขอรับ” บ่าวรับใช้รีบสาวเท้าเข้ามาด้านในห้องของอันเพ่ยอิงแล้วกระซิบรายงาน
“มาเวลานี้?” มือของอันเพ่ยอิงที่กำลังจัดการสมุดบัญชีอยู่หยุดลง “เชิญพวกเขาไปรอที่เรือนหน้า เดี๋ยวข้าจะรีบไป”
“ฮูหยิน?” เมื่อผ่านไปพักใหญ่แต่อันเพ่ยอิงยังคงนั่งอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน ชือฉิงสาวใช้ข้างกายของอันเพ่ยอิงก็ร้อนใจจึงเอ่ยขึ้น “ฮูหยินเจ้าคะ!”
“มิเป็นไร ข้าแค่คิดเรื่องบางอย่างอยู่” อันเพ่ยอิงยิ้ม เพราะการมาหานางในเวลาเช่นนี้ หากบอกว่ามาเพื่อพูดคุยกับนางเฉยๆ คงจะเป็นไปไม่ได้ เพราะสถานการณ์ครอบครัวของตนเป็นอย่างไร คงจะไม่ใช่ความลับในเมืองหลวงแห่งนี้มาพักใหญ่แล้ว
อีกอย่างจะมีเรื่องอะไรที่มาเยี่ยมเยียนแล้วต้องพาลูกชายมาด้วยเช่นนี้ ดังนั้นจุดประสงค์ของการมา…นั้นชัดเจนยิ่งนัก
“ทำให้ฮูหยินรอนานแล้ว” เนื่องจากฐานะของอันเพ่ยอิงมีลำดับศักดิ์ ดังนั้นต่อให้อันเพ่ยอิงเป็นคนรุ่นราวคราวเดียกันกับจางเจาหวาก็ทำเพียงมองหน้าทักทายเท่านั้น แต่กับต้วนเฉินเซวียนแล้ว…
“คารวะคุณชายต้วน”
“ฮูหยินซูทำอะไรกัน!” จางเจาหวาประคองอันเพ่ยอิงให้ลุกขึ้นมา “เขาอายุน้อยกว่าท่าน มีเหตุผลใดที่ท่านต้องคารวะด้วย หรือจะพูดให้ถูกว่า เขาต่างหากที่ต้องคารวะท่าน”
“มิกล้า มิกล้า” อันเพ่ยอิงยิ้มแย้ม สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ให้ต้วนเฉินเซวียนคารวะนาง เนื่องจากการที่ผู้อื่นเอ่ยปากถ่อมตนให้นั้นเป็นเรื่องหนึ่ง ส่วนตนเองจะยอมรับหรือไม่ยอมรับการกระทำนั้นกลับเป็นคนละเรื่องกัน
“มิทราบว่าฮูหยินกับคุณชายต้วนมาที่นี่ด้วยเรื่องใด” ตอนนี้อันเพ่ยอิงไม่มีอารมณ์จะพูดจาอ้อมค้อมอีกต่อไปแล้ว เพราะตอนนี้เวลาบีบคั้นนางเหลือเกิน งานอีกตั้งเป็นกองที่ยังไม่ได้ลงมือทำ ทั้งยังมีของอีกมากมายที่ยังไม่ได้เตรียม
ดังนั้นตอนนี้ต้วนเฉินเซวียนได้มาถึงจวนซูแล้ว อย่างนั้นนางต้องทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเอาไว้บ้าง
จางเจาหวาก้มหน้าจิบน้ำชาที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “พวกเราได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับคุณหนูซูในช่วงนี้แล้ว”
“อ้อ?” อันเพ่ยอิงเลิกคิ้วขึ้น “ดังนั้นตอนนี้…” ดังนั้นจะอย่างไรหรือ? จะอาศัยตอนไฟไหม้ยกเค้า[1]งั้นหรือ คนประเภทนี้ช่วงนี้ใช่ว่าจะไม่มีปรากฏอยู่ที่จวนตระกูลซูเสียที่ไหน
คนที่คิดว่าพวกตนร้อนใจจนไร้ทางเลือก แล้วจะมาบีบเค้นสู่ขอซูเหลียนอวิ้น จากนั้นจึงให้คนมาส่งจดหมายที่จวนของพวกตนโดยมีเนื้อความว่า พวกเขาเห็นแก่หน้าของซูปั๋วชวนจึงยอมมาสู่ขอซูเหลียนอวิ้น แต่เนื่องจากเวลาที่กระชั้นของหลายๆ อย่าง…คงจะต้องเตรียมให้พอแก้ขัดไปได้ก่อน พอเหตุการณ์เริ่มคลี่คลายแล้วค่อยตระเตรียมให้พร้อมอีกที
อันเพ่ยอิงเห็นจดหมายหลายๆ ฉบับแสดงความลำบากใจ แต่ยังคงต้องฝืนทำตามในสิ่งที่ควรทำ นางก็รู้สึกอยากจะสั่งสอนผู้ที่มาส่งจดหมายเหล่านี้ให้รู้แล้วรู้รอดไป
ลำบากใจ? ฝืนใจ? ตระกูลซูของพวกเราไม่มีคนที่ยึดทำสิ่งที่ถูกที่ควรและถือในความยุติธรรมอย่างพวกเจ้าแล้วอย่างไร อย่าสำคัญตนมากเกินไปหน่อยเลย! อย่ามาบอกว่าเห็นแก่หน้าของซูปั๋วชวนถึงต้องมาสู่ขอซูเหลียนอวิ้นเลย น่ารังเกียจยิ่ง!
ผู้ใดต้องการรึ! พวกลำพองชอบดูถูกคนอื่นกันทั้งนั้น แค่พวกที่ชอบยกเค้าตอนไฟไหม้บ้านกันทั้งนั้น! อวิ้นเอ๋อร์ของนางต่อให้ไม่ได้แต่งงานไปตลอดชีวิตก็ยังมีตนคอยดูแล จำเป็นต้องให้คนพวกนี้มาเป็นกังวลแทนด้วยหรือ
ดังนั้นตอนนี้ไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่มาปรากฏตรงหน้านางด้วยเรื่องของซูเหลียนอวิ้นจะต้องโดนสายตาอาฆาตจากอันเพ่ยอิงสำรวจด้วยกันทั้งสิ้น เพื่อให้พวกเขาชั่งน้ำหนักความสำคัญด้วยตนเองก่อน
“ฮูหยินซูคงจะเข้าใจเจตนาของพวกเราผิดแล้ว” จางเจาหวาเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ พร้อมรอยบุ๋มที่แก้มทำให้ดูอ่อนโยน ดังนั้นหากมองจากภายนอกเพียงอย่างเดียวก็เป็นเรื่องไม่ยากที่จะทำให้ผู้พบเห็นเกิดความรู้สึกดีๆ ขึ้นมา
“พวกเราตั้งใจมาสู่ขอคุณหนูซูอย่างเป็นทางการ” จางเจาหวายื่นรายการสินสอดที่เตรียมไว้แต่แรกให้ “ฮูหยินดูนี่ก่อนดีหรือไม่ หากรู้สึกว่าคนอื่นจริงใจกว่าน้ำใจที่พวกเรามอบให้ก็สามารถคุยกับพวกเราใหม่ได้ เพราะผู้ใดให้ลูกชายของข้ามีใจในตัวซูเหลียนอวิ้นเล่า”
——
[1] อาศัยตอนไฟไหม้ยกเค้า หมายความว่าอาศัยตอนที่คนอื่นลำบากหาผลประโยชน์ใส่ตัว