ลิขิตกลกาล – ตอนที่ 228 เก๊กหล่อ
“เช่นนั้นก็อย่ามัวแต่พูดไร้สาระอยู่เลย รีบลงมือเข้า” ต้วนเฉินเซวียนกวาดตามองไปรอบๆ เมื่อพบว่าไม่มีที่ให้เขานั่งรอก็ยิ่งอารมณ์เสียขึ้นมาอีก
อากาศร้อนแผดเผาเช่นนี้มีผู้ใดบ้างอยากจะอยู่ในครัวที่มีควันร้อนๆ เช่นนี้! แถมยังต้องยืนรอเพราะไม่มีที่ให้นั่งแม้สักที่เดียว
“เถ้าแก่น้อย ท่านอย่ายืนอยู่ตรงนี้เลย” เสียวหลี่ที่ตอบคำถามเมื่อครู่นี้เห็นสีหน้าท่าทางของต้วนเฉินเซวียนไม่ค่อยดีจึงวิ่งเข้ามาหา “ท่านจะไปรอด้านหน้าก่อนหรือไม่ขอรับ ที่นี่ร้อนยิ่ง ที่เรือนหน้าจะเย็นกว่านี้มาก”
“ก็ดี อย่างนั้นพวกเจ้าช่วยเร่งมือกันเร็วๆ หน่อยก็แล้วกัน” ต้วนเฉินเซวียนเช็ดเหงื่อบนหน้าผากของตัวเอง เดิมทีต้วนเฉินเซวียนคิดจะรออยู่ที่นี่เพราะหากเขาอยู่ที่นี่คอยดูพวกเขาตลอด…คนพวกนี้คงทำงานรวดเร็วยิ่งขึ้น?
ทว่าเมื่ออยู่ที่นี่ไปสักพัก ต้วนเฉินเซวียนก็พบว่า คนกลุ่มนี้ทำงานกันอย่างคล่องแคล่วนัก ทว่าเป็นความคล่องแคล่วในแบบที่ยุ่งจนมือไม้พันกันจนไม่รู้จะทำอะไรก่อนอะไรหลังดี
ส่วนตาของพวกเขานั้นอันที่จริงก็อยากจะมีสมาธิอยู่ที่วัตถุดิบ ทว่ากลับไม่สามารถควบคุมสายตาของตัวเองได้จึงแอบเหลือบมองไปทางต้วนเฉินเซวียนอยู่ตลอด
ต้วนเฉินเซวียนที่ถูกแอบมองอยู่นั้นก็รู้สึกเช่นกันว่าหน้าของตัวเองร้อนวูบวาบ ยิ่งรวมกับอุณหภูมิของห้องนี้ที่ร้อนมากมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ดังนั้นเวลาเพียงครู่เดียวเท่านั้นก็สามารถทำให้ทั่วร่างกายของต้วนเฉินเซวียนเต็มไปด้วยเหงื่อ
ทว่าอีกทางด้านหนึ่ง ระหว่างหลิวจือกับอวี่ซางนั้นได้ฟาดฟันกันไปแล้วเป็นร้อยรอบ
“เจ้าเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ ใช่หรือไม่ รีบหลบไปให้พ้นทางเดี๋ยวนี้” อวี่ซางรู้สึกหงุดหงิดยิ่ง คนผู้นี้คือผู้ใดกันถึงได้มาขวางทางเขาตั้งแต่ตอนนั้นจนตอนนี้ก็ยังไม่ยอมถอย!
หากจะต้องต่อสู้กันก็ต้องยอมต่อสู้ ผลสุดท้ายของการต่อสู้หากไม่ใช่เจ้าล้มข้าได้ก็จะเป็นข้าล้มเจ้าได้
ดังนั้นเจ้าต้องสู้! มัวแต่หลบไปเลี่ยงมาอยู่อย่างนี้มันจะมีประโยชน์อะไรกันเล่า เนื่องจากอวี่ซางรู้จุดแข็งของตัวเองเป็นอย่างดี เมื่อต่อสู้กันไปหลายๆ กระบวนท่าเข้า เขาก็รู้ว่าฝีมือของพวกเขาทั้งสองเป็นอย่างไรกันแน่
เห็นชัดๆ ว่าคนผู้นี้วรยุทธ์สูงกว่าเขาหลายขั้นนัก แต่กลับทำเป็นเล่นกับเขาราวกับแมวหยอกกับหนูและไม่ยอมแสดงฝีมือที่แท้จริงของตัวเองออกมา เรื่องนี้เขาทนไม่ไหวแล้วจริงๆ!
ดังนั้นอวี่ซางจึงรู้สึกว่า ในเมื่อปล่อยให้เขาล้อตนเล่นมานานแล้ว เช่นนั้นมิสู้จัดการเขาสักหมัดให้ร่วงลงไปกองอยู่บนพื้นจะดีกว่า
“พอเถิด เจ้าอยู่ตรงนี้เถิด” อวี่ซางยอมแพ้ “ข้าจะเดินไป ตกลงหรือไม่” ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เขาจะมาหงุดหงิดกับเจ้าคนประสาทนี่ ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับก็คือ เขาจะต้องตามคนผู้หนึ่งให้ทัน
และยังไม่ต้องพูดถึงปัจจัยอื่นๆ เอาแค่พระอาทิตย์ที่แผดเผาอยู่ในตอนนี้ก็แทบจะเผาเขาจนมอดไหม้ไปเสียแล้ว! ดังนั้นคนผู้นี้อยากจะยืนอยู่ตรงนี้ก็ให้เขายืนไป เขาคงไม่อยู่เป็นเพื่อนเล่นกับเขาอีกแล้ว
หลิวจือไม่ได้เอ่ยอะไร เพราะว่า…เขาเองก็อับจนหนทางในตอนนี้แล้ว! ดังนั้นการที่อวี่ซางมีท่าทียอมแพ้ในที่สุดก็ตรงกับความในใจของหลิวจือพอดี!
ไปเถิดๆ รีบไปให้ไว!
เขาเองก็เหนื่อยแทบแย่แล้วตอนนี้ ให้ต่อสู้ต่ออีกแม้เพียงกระบวนท่าเดียวก็คงไม่ไหวแล้ว อีกอย่างตอนนี้เป็นเวลาตั้งเท่าไหร่แล้ว นายท่านคงจัดการธุระเสร็จเรียบร้อยแล้วกระมัง ดังนั้นคนผู้นี้อยากจะตามก็ปล่อยให้เขาตามไป ถึงอย่างไรก็คงตามไม่ทัน
เฮ้อ ทว่าพระอาทิตย์ในฤดูร้อนเช่นนี้ นับวันก็ยิ่งร้อนขึ้นทุกวันเสียแล้ว!
……
“เถ้าแก่น้อย นี่คือขนมบัวหิมะกุหลาบที่ท่านต้องการขอรับ” พ่อครัวอ้วนผู้นั้นแบกพุงใหญ่ๆ ของตัวองเดินขึ้นมายังชั้นสองแล้วเคาะประตู
“เสร็จได้สักที” ต้วนเฉินเซวียนเปิดประตูด้วยมือเดียว จากนั้นจึงทิ้งหนังสือที่อยู่ในมือของตัวเองลง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าให้เถ้าแก่รอที่นี่มานานเท่าไหร่แล้ว”
“เถ้าแก่น้อยโปปรดอภัยให้ข้าด้วย…” พ่อครัวอ้วนเช็ดเหงื่อของตัวเอง “ของชิ้นนี้ค่อนข้างใช้เวลาในการทำ ดังนั้นวันหน้าหากเถ้าแก่น้อยต้องการ ช่วยบอกพวกข้าไว้ก่อนล่วงหน้าเถิดขอรับ พวกเราจะเตรียมเอาไว้ให้อย่างดี! “
“เรื่องราวในอนาคตไว้ค่อยพูดทีหลังเถิด” ต้วนเฉินเซวียนบ่นพึมพำ จากนั้นจึงเปิดกล่องแล้วก้มสำรวจตรวจสอบกล่องขนมทั้งสองกล่องว่ามีขนมบัวหิมะกุหลาบกี่ชิ้น จากนั้นจึงเอ่ยว่า “อืม…พอได้ แต่เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าสีของมันถึงไม่เหมือนอย่างแต่ก่อนเลยเล่า”
“เอ๊ะ ไม่น่า…” พ่อครัวอ้วนสำรวจสีอยู่พักหนึ่งแล้วเอ่ยตอบ “บางทีท่านอาจจะจำผิดกระมัง โธ่เอ๊ย ท่านรีบปิดกล่องเถิด เพราะขนมอันนี้เป็นขนมแบบเย็น แต่ตอนนี้อากาศร้อนขนาดนี้ หากท่านเปิดฝาค้างไว้เช่นนี้ล่ะก็ พอกลับไปถึงคงจะละลายหมดแน่! “
อีกอย่างเถ้าแก่น้อยของพวกเขานั้นสายตาเฉียบแหลมเกินไปหรือไม่ พ่อครัวอ้วนแอบปาดเหงื่อในใจ เพราะปัญหาเรื่องสีนั้น…จะโทษพวกเขาไม่ได้!
ท่านมาช้าเองแถมยังเร่งจะเอาของอีก ดังนั้นจึงไม่มีทางเลือกอื่น พวกเขาวางไว้ในตู้แช่เย็นไม่ถึงครึ่งชั่วยามพอให้ขนมคงรูปร่างอยู่ได้ก็ต้องหยิบเอาออกมาแล้ว
ดังนั้นท่านจะมาถามถึงปัญหาเรื่องสีนั้น…? หากรู้แต่แรก ก่อนที่พวกเขาจะนำออกมาคงจะโรยน้ำตาลป่นเอาไว้ข้างบนมากๆ หน่อยจะได้กลบสีได้!
“ช่างเถิดๆ เอาอย่างนี้ก็ได้” ตอนนี้แม้ว่าต้วนเฉินเซวียนจะไม่ค่อยพอใจนัก แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาพิรี้พิไรอะไร ดังนั้นเอายอย่างนี้ก็แล้วกัน เอากลับไปคงพอจะแก้ขัดกันได้บ้างกระมัง
“กลับไปทำงานกันต่อเถิด ข้าไปแล้ว” ต้วนเฉินเซวียนเปิดหน้าต่าง แล้วก็กระโดดออกไปอย่างไม่เหลือร่องรอย
“เถ้าแก่น้อยเดินดี…” พ่อครัวอ้วนโบกแขนอ้วนๆ ไปทางหน้าต่างได้เพียงสองครั้ง จากนั้นจึงส่ายหน้า
ไม่เสียแรงที่เป็นเถ้าแก่น้อยของพวกเรา! วรยุทธ์ดียิ่งนัก! อีกอย่างนิสัยยังไม่เหมือนผู้อื่นอีกด้วย ดูสิขนาดวิธีในการเดินทางกลับยังเท่ขนาดนี้ แค่พุ่งตัวก็กระโดดลงไปได้แล้ว!
ดูท่าแล้ว…จอมยุทธ์ที่ท่องยุทธภพส่วนมากคงจะใช้วิธีการเช่นนี้ในการปรากฏตัวกระมัง
ทว่าคนที่กำลังถูกยกย่องนับถือผู้นี้นั้นกลับมิได้มีความคิดอะไรมากมายนัก เขาเพียงหวังว่าเท้าของเขาจะสามารถเร่งความเร็วได้มากกว่านี้หน่อย เพราะเมื่อครู่นี้ตอนที่เขาเปิดกล่องดูของข้างใน เขาก็พอมองออกอยู่ว่าหากเขายังไม่รีบ ตอนที่ไปถึงจวนซูขนมคงจะละลายกลายเป็นน้ำอย่างแน่นอน!
ดังนั้นการที่เขากระโดดออกมาจากหน้าต่างก็เพียงเพื่อเขาจะได้ประหยัดเวลาในการไปถึงเรือนของซูเหลียนอวิ้นได้มากขึ้นเท่านั้น เขาไม่ได้สนใจเรื่องการเก๊กหล่อหรือวางมาดอะไรใดๆ ทั้งสิ้น!
หากเขาเดินโง่ๆ จากประตูหน้าออกมา นั่นจะเป็นการเดินอ้อมรอบใหญ่ จะสู้การกระโดดออกมาจาหน้าต่างได้อย่างไรกัน
……
จวนซู
ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นกำลังเอนกายพิงอยู่บนเบาะนุ่มอย่างเกียจคร้าน นางค่อยๆ เอียงคอฟังการรายงานการสะกดรอยตามจากผูหลิว
ท่าทางของนางเกียจคร้าน ท่าทางการมองก็เหม่อลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว อารมณ์ของนางไม่เปลี่ยนแปลง ทว่าคิ้วของนางนั้นกลับค่อยๆ เลิกสูงขึ้นเรื่อยๆ