ลิขิตกลกาล – ตอนที่ 246 คารวะน้ำชา
“อวิ้นเอ๋อร์ ตื่นได้แล้ว” เมื่อเวลาช่วงค่ำคืนผ่านพ้นไป ต้วนเฉินเซวียนก็จัดแจงเสื้อผ้าของตัวเอง เขามองคนที่ซุกตัวอยู่ในผ่าห่มโดยไม่ยอมโผล่หัวออกมาอย่างขบขัน “หากยังไม่ยอมออกมาอีก เดี๋ยวก็หายใจไม่ออกหรอก อวิ้นเอ๋อร์เจ้าไม่อึดอัดหรือ”
“ท่านออกไปก่อน…” เสียงของซูเหลียนอวิ้นยังคงแหบแห้งอยู่อย่างชัดเจน
แต่จะว่าไปแล้ว…เมื่อคืนก็เป็นครั้งแรกที่ต้วนเฉินเซวียนได้ลิ้มรสชาติเช่นนั้น จะบอกว่าไม่ตื่นเต้นเลยก็คงไม่ได้ ดังนั้นในด้านการควบคุมและแยกแยะ เขาอาจจะควบคุมได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก!
ด้วยเหตุนี้เสียงของซูเหลียนอวิ้นในตอนนี้จึงแหบแห้งเต็มที่! อีกอย่างพอนางลองขยับร่างกายดู ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกว่า เรี่ยวแรงของนางแทบจะไม่หลงเหลืออยู่แล้ว! นางในตอนนี้แค่ยกมือขึ้นชี้ศีรษะยังรู้สึกราวกับว่าตัวเองต้องออกแรงอย่างมากถึงจะทำได้
“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกหรือ” เมื่อต้วนเฉินเซวียนเห็นท่าทางไร้เรี่ยวแรงของซูเหลียนอวิ้นก็รู้สึกหนักใจอย่างยิ่ง หัวใจของเขากำลังจมดิ่ง “คืนนี้ข้าจะปล่อยให้เจ้าได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ เจ้าจะต้องดีขึ้นแน่นอน!”
“ท่านอย่าพูดไร้สาระได้หรือไม่!” ซูเหลียนอวิ้นเปิดผ้าห่มแล้วโผล่หัวออกมา “หากคืนนี้ท่านกล้าทำอะไรอีก ข้าคงจะ…ท่านจะนอนห้องรับแขกหรือให้ข้าไปนอนเอง”
“อย่าหาเรื่องอยู่เลย” ต้วนเฉินเซวียนไม่สนใจคำพูดประโยคหลังของซูเหลียนอวิ้น “เมื่อคืนที่ผ่านมาเป็นความผิดของข้าเอง แต่เจ้าก็ลุกขึ้นมาเถิด พวกเราควรไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อเสด็จแม่แล้ว”
ต้วนเฉินเซวียนหันไปหยิบเสื้อผ้าให้ซูเหลียนอวิ้น และดึงผ้าห่มออก เมื่อเห็นร่องรอยที่ปรากฏอยู่เต็มตัวซูเหลียนอวิ้น เขาก็เริ่มหายใจแรงขึ้นอีกครั้ง
เพราะร่องรอยเหล่านี้ แม้ว่าดูแล้วอาจจะไม่สวยงามอยู่บ้าง แต่ทั้งหมดล้วนเป็นฝีมือของเขา! เมื่อเห็นแล้วจึงทำให้เกิดความรู้สึกภาคภูมิใจบางอย่าง!
“ท่านเอาเสื้อผ้ามาให้ข้าก็พอ! ข้าจะใส่เอง!” ระหว่างที่เอ่ยซูเหลียนอวิ้นก็ดึงผ้าห่มขึ้นเพื่อบังเรือนร่างของตัวเองไว้ จากนั้นจึงค่อยๆ เขยิบเข้าไปตรงมุมแล้วหดตัวอยู่ตรงนั้น
เพราะเมื่อผ่านประสบการณ์อย่างว่ามาทั้งคืน การเปลี่ยนแปลงของแววตาและการหายใจหนักๆ ของต้วนเฉินเซวียนนั้น ซูเหลียนอวิ้นย่อมสัมผัสได้อย่างรวดเร็ว!
แต่ตอนนี้ยังเป็นตอนกลางวันแสกๆ ! กลางวันไม่ควรทำเรื่องบัดสี นี่คือกฎที่บรรพบุรุษตั้งเอาไว้มิใช่หรือ พวกเขาทั้งสองไม่ควรทำลายกฎข้อนี้!
เมื่อถูกจับได้ว่าคิดอะไรอยู่ในใจเช่นนี้ ต้วนเฉินเซวียนก็เริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้อยู่บ้าง แต่เมื่อคิดทบทวนดูแล้ว เรื่องนี้จะโทษเขาฝ่ายเดียวไม่ได้กระมัง ในเมื่อ…ช่างเถิดช่างเถิด เวลาก็ล่วงเลยไปมากแล้ว! พวกเขาทั้งสองควรไปคารวะท่านพ่อท่านแม่ได้แล้ว!
ถึงอย่างไรคนก็อยู่ในมือแล้ว ชาตินี้ชีวิตนี้ของเขา ของบางอย่างเวลาก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้
“เสด็จพ่อ เสด็จแม่” ในช่วงเวลาใกล้เที่ยงซูเหลียนอวิ้นและคนอื่นๆ ก็เพิ่งจะนวยนาดมาถึงที่เรือนหน้าและกำลังจะคารวะน้ำชา เพราะตอนแต่งตัว พวกเขาทั้งสองคนมัวแต่หยอกล้อกันอยู่ครู่หนึ่งกว่าจะแต่งตัวเสร็จได้!
“อื้ม ดีๆๆ มาก็ดีแล้ว มาก็ดีแล้ว” แม้ว่าหากดูเวลาแล้ว ทั้งสองจะมาสาย แต่จางเจาหวาคล้ายไม่สนใจเรื่องนี้ ตั้งแต่ที่ซูเหลียนอวิ้นก้าวเข้าประตูมา สายตาของนางก็จับจ้องไปแต่ที่ซูเหลียนอวิ้นเท่านั้น
“วันนี้อวิ้นเอ๋อร์ดูสวยขึ้นอีกนะ ท่านพี่คิดเช่นข้าหรือไม่” จางเจาหวารับถ้วยน้ำชาที่ซูเหลียนอวิ้นส่งให้แล้วจิบไปอึกหนึ่งแล้วค่อยวางกลับไปในสำรับน้ำชา จากนั้นจึงหยิบเอาซองสีแดงซองใหญ่ที่เตรียมเอาไว้แต่เนิ่นๆ ออกมา แล้ววางไปที่จานรองถ้วยน้ำชาที่ซูเหลียนอวิ้นถืออยู่ จากนั้นจึงหันไปมองคนที่อยู่ด้านข้างที่นิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจาและกำลังแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขาไม่คุ้นเคยตั้งแต่ตอนที่ซูเหลียนอวิ้นเดินเข้ามาอย่างต้วนหงอวี้
“อืม” ต้วนหงอวี้จิบน้ำชาเล็กน้อยแล้วค่อยๆ วางแก้วน้ำชาลงไว้ด้านข้าง เขาไม่ได้เอ่ยอย่างอื่นอีก แต่แม้ว่าเขาจะไม่ได้เอ่ยอะไร แต่สุดท้ายเขาก็ยังหยิบซองออกมาเป็นพิธีในการพบหน้าแล้ววางลงบนจานรองถ้วยน้ำชา
แต่เมื่อดูๆ แล้ว…ก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าสะใภ้ใหม่อย่างซูเหลียนอวิ้นนั้นยินดีหรือว่าไม่ยินดี
หลังจากคารวะน้ำชาเรียบร้อยแล้ว ซูเหลียนอวิ้นจึงลุกขึ้น นางรู้สึกวางตัวไม่ถูกอย่างยิ่ง เพราะการแต่งงานระหว่างนางกับต้วนเฉินเซวียนนั้น..ถือเป็นการแต่งงานที่ถูกกำหนดขึ้นมาอย่างเร่งรีบ ดังนั้นสำหรับบิดาของต้วนเฉินเซวียนอย่างต้วนหงอวี้แล้ว ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกว่าตัวเองรู้สึกไม่คุ้นเคยกับเขาอย่างยิ่ง!
เพราะตั้งแต่ชาติที่แล้ว นางก็แทบจะไม่ค่อยเห็นเขาสักเท่าไหร่ อาจจะเคยเห็นเพียงครั้งสองครั้ง นางเองก็เพียงทำความเคารพอย่างรีบร้อนแล้วก็จากไปเท่านั้น
นั่นไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่นใด แต่เป็นเพราะรัศมีของคนผู้นี้ สำหรับนางแล้ว ทำให้นางรู้สึกถึงความมืดหม่นและเย็นชาไปหน่อย ถึงอย่างไรนางก็รู้สึกเพียงว่านางไม่สามารถอยู่ร่วมกับคนผู้นี้ได้!
ต้วนเฉินเซวียนที่อยู่ด้านข้างสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของซูเหลียนอวิ้น เขาจึงยื่นมือออกไปกุมมือขวาของซูเหลียนอวิ้นเอาไว้แล้วยิ้มกว้างพลางเอ่ยว่า “แน่นอนอยู่แล้ว สะใภ้ที่ลูกเป็นคนเลือกย่อมต้องเป็นคนที่ดีที่สุดในแผ่นดินนี้อยู่แล้ว!”
บรรยากาศความอึดอัดเมื่อครู่นี้ ตอนนี้ถูกการคุยโวของต้วนเฉินเซวียนทำให้บรรยากาศดูอบอุ่นขึ้นไม่น้อย
“เจ้าเด็กหน้าเหม็น!” จางเจาหวาส่ายหน้าอย่างเหลืออด “ข้ารู้ว่าตอนนี้เจ้ากำลังมีความสุขสมใจ แต่เจ้าก็ช่วยเก็บอาการหน่อยได้หรือไม่! นางยังเป็นเด็กอยู่เลย หากเจ้ารังแกนาง แม่ของเจ้าจะเป็นคนแรกที่ไม่ปล่อยเจ้า” ตั้งแต่ตอนที่อวิ้นเอ๋อร์ก้าวเท้าเข้ามาในตอนแรก นางก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่างแล้ว
บริเวณคอนั้น ไหยจะยังมีตอนที่นางยกถ้วยน้ำชาทำให้ร่องรอยเล็กๆ ใต้ร่มผ้าของนางบริเวณแขนปรากฎออกมาอีก ทุกอย่างนางล้วนสังเกตเห็นทั้งสิ้น
เซวียนเอ๋อร์ก็ช่างไม่รู้จักแยกแยะหนักเบาเอาเสียเลย!
“ข้าจะไปกล้าได้อย่างไร!” ต้วนเฉินเซวียนทำปากจู๋ เขารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรม “ข้าจะกล้ารังแกนางได้อย่างไร” ตอนนี้ซูเหลียนอวินเองยังกล้าวางท่าขึงขังกับเขา หากท่านแม่ยังปกป้องซูเหลียนอวิ้นอีกคน ต่อไปภายภาคหน้าเขาจะทำอย่างไร
เพราะตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นเพิ่งจะแต่งงานเข้ามาเป็นวันแรก นางก็กล้าจะไล่เขาไปนอนที่ห้องรับแขกแล้ว! นี่เพิ่งจะวันแรกเองนะ! แถมตัวเขาเองก็ไม่หืออือกับนางด้วย…นี่มัน…อะไรกัน!
“เอาล่ะๆ” จางเจาหวาโบกมือ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไม่ตกหลุมของต้วนเฉินเซวียน เพราะการใช้แผนการตุกติกอาจจะได้ผล แต่หากใช้มาเป็นสิบๆ ปีแล้ว ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องเกิดการต่อต้านกันขึ้นมาบ้าง!
“เจ้าอย่ามาเล่นลิ้นกับข้าอยู่ที่นี่เลย! เวลาล่วงเลยมาพอสมควรแล้ว พวกเจ้าก็ควรรีบไปหาฮองเฮาได้แล้ว” จางเจาหวายิ้ม “ตั้งแต่วันที่ฮองเฮาได้รับจดหมายเชิญของพวกเจ้า ก็เอาแต่บ่นถึงพวกเจ้า! ตอนนี้คงนั่งไม่ติดอยู่ในวังแล้วกระมัง!”
เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของจางเจาหวา แน่นอนว่านางก็ยิ้มตามนางไปด้วย แต่ในตอนนั้นเองนางกลับสังเกตเห็นต้วนหงอวี้ที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไร หน้าของนางก็เริ่มแข็งทื่อขึ้นมาอีก
ซูเหลียอวิ้นรู้สึกว่ารอยยิ้มของตนมีปัญหาอะไรผิดปกติหรือไม่ มิเช่นนั้นทำไมถึง…ถึงได้คล้ายว่าตนทำอะไรผิดขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น