ลิขิตกลกาล – ตอนที่ 251 ตัวอักษรจีน
นอกตำหนักหย่างซิน ซูเหลียนอวิ้นกำมือทั้งสองข้างเอาไว้แน่นเพื่อให้กำลังใจตัวเอง กลัวอะไรกันก็แค่เข้าเฝ้าฝ่าบาทเท่านั้น! มิใช่ว่าไม่เคยเจอเสียหน่อย…ผ่อนคลายหน่อย…
“ฝ่าบาท ฮูหยินโหวมาแล้วพะย่ะค่ะ” หลี่กงกงเข้าไปในตำหนักหย่างซินแล้วรายงาน
“เข้ามาเถิด”
“พะย่ะค่ะ” เมื่อได้ยินว่าให้เข้าไป ซูเหลียนอวิ้นจึงคลายหมัดทั้งสองของตนแล้วสาวเท้าก้าวเข้าไปด้านใน
ในตำหนัก ลี่หยวนตี้กำลังฝึกเขียนอักษรจีนอยู่ เมื่อเขาเห็นซูเหลียนอวิ้นเข้ามาและมีท่าทางกล้าๆ กลัวๆ ไม่ยอมพูดคุยกับเขาเช่นนั้น เขาจึงค่อยๆ วางพู่กันในมือลงแล้วเอ่ยว่า “แม่นางอวิ้น เจ้าช่วยเข้ามาดูหน่อยว่าตัวอักษรตัวนี้ของข้าเขียนเป็นอย่างไรบ้าง”
“เพคะ” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้าแล้วก้าวเท้าไปข้างหน้าพลางพิจารณาตัวอักษรที่ลี่หยวนตี้เขียนอย่างละเอียด ‘เบื้องบนกำหนดชะตา จึ่งต้องเคารพลิขิตแห่งสวรรค์’
“เป็นอย่างไร”
“อืม…สวยมากเพคะ!” ซูเหลียนอวิ้นขยับคอของตัวเองที่แข็งทื่อไปแล้วเพื่อพยักหน้า “ตัวอักษรของฝ่าบาท สวยมากจริงๆ!”
ตัวอักษรของลี่หยวนตี้นั้นสวยเป็นอย่างยิ่ง ดูมีชีวิตและมีความทะนง อีกทั้งน้ำหนักในการจรดปลายพู่กันนั้นจะต้องได้รับการฝึกฝนมาเป็นสิบๆ ปีถึงจะเขียนออกมาได้เช่นนี้ ดังนั้นคำพูดของซูเหลียนอวิ้นไม่ได้เอ่ยออกมาเพื่อประจบประแจงแต่อย่างใด
ทว่า…ตัวอักษรนั้นไม่เลว แต่อักษรพวกนี้เมื่อเอามาเขียนรวมเข้าด้วยกันแล้ว ความหมายของมัน… นี่ต่างหากที่เป็นจุดสำคัญของคำถามของลี่หยวนตี้
ทว่าตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นแสร้งทำเป็นโง่ ไม่เข้าใจในสิ่งที่ตัวเองได้ยินได้เห็น
เพราะคำว่าชะตาชีวิตและลิขิตสวรรค์นั้น หากลองพิจารณาดูให้ดีความหมายแฝงของมันนั้นมากมายยิ่ง
“แม่นางอวิ้น เจ้าแต่งงานกับเจ้าต้วนมาได้พักหนึ่งแล้วกระมัง” เมื่อลี่หยวนตี้ได้ยินซูเหลียนอวิ้นเอ่ยเช่นนี้ เขาก็ไม่ได้แปลกใจหรือรู้สึกเหนือความคาดหมายแต่อย่างใดจึงเอ่ยต่อไปว่า “แต่งงานกับเจ้าต้วนแล้ว เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง”
นี่กำลังพยายามเข้าใจนางจริงๆ หรือถึงได้ถามนางว่านางรู้สึกอย่างไร
ซูเหลียนอวิ้นแอบบ่นในใจ แม้ว่าจะรู้ว่าการแต่งงานครั้งนี้เป็นตัวของเขาเองที่ออกพระราชโองการออกมา ทว่า…การทำเช่นนี้ถือว่าเป็นห่วงนางมากไปหรือไม่
“หม่อมฉันกับต้วนเฉินเซวียนไปกันได้ดีมากเพคะ” ซูเหลียนอวิ้นทำเป็นเขินอายจนก้มหน้างุดเพื่อซ่อนความคิดของนางที่อยู่ในแววตาไว้ นางตั้งใจไม่เรียกว่าท่านโหวเพื่อเป็นการแสดงออกอย่างอ้อมๆ ว่าความสัมพันธ์ระหว่างต้วนเฉินเซวียนกับนางนั้นดีมาก และไม่ใช่ดีจากภายนอกเท่านั้น เพราะความคุ้นเคยนั้นส่วนมากจะเริ่มต้นจากจุดเล็กๆ
“เช่นนี้เอง” ลี่หยวนตี้พยักหน้าราวกับกำลังใช้ความคิดบางอย่าง “เช่นนั้นมิทราบว่าแม่นางอวิ้นรู้หรือไม่ว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการการแต่งงาน”
“อะไรนะเพคะ” ซูเหลียนอวิ้นไม่ค่อยเข้าใจความหมายที่อยู่ในคำพูดของเขานักจึงเงยหน้าขึ้นมาแล้วกระพริบตาปริบๆ อย่างไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ “เรื่องนั้น…ไม่แน่ใจเพคะ…”
เมื่อลี่หยวนตี้เห็นท่าทางไม่รู้ต้นสายปลายเหตุของซูเหลียนอวิ้นเช่นนั้นและไม่คล้ายคนที่กำลังปิดบังอะไรไว้ อารมณ์ของเขาก็เริ่มดีขึ้น เพราะการแสแสร้งในวังหลวงนั้นมีมากมายนัก ดังนั้นการแสดงออกอย่างจริงใจและเปิดเผยเช่นนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ล้ำค่าอย่างมาก
ดังนั้นแม้ว่าซูเหลียนอวิ้นกำลังแสร้งทำ แต่หากหลอกเขาได้สำเร็จก็ถือว่าฝีมือการแสดงของนางนั้นดีมาก!
“แต่งงานแล้วต้องเชื่อฟังสามีอย่างไรเล่า”
ซูเหลียอวิ้น ?
ต้วนเฉินเซวียนเป็นแค่หลานของท่านมิใช่หรือ นี่ท่านยุ่งวุ่นวายมากเกินไปหน่อยหรือไม่
อีกอย่างการแต่งงานแล้วต้องเชื่อฟังสามีนั้นหมายความว่าไม่ว่าเรื่องอะไรนางล้วนต้องฟังต้วนเฉินเซวียนใช่หรือไม่ แต่เรื่องนี้คล้ายว่าเป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างนางกับต้วนเฉินเซวียนกระมัง หรือว่า…ในความหมายตอนนี้ยังมีอะไรบางอย่างที่ลึกซึ้งโดยที่นางยังไม่เข้าใจอีก
“เจ้าเซวียนเป็นสามีของเจ้า เจ้าเป็นภรรยาของเขา เวลาที่สำคัญ…”
“เสด็จอา ท่านกำลังคุยอะไรกับอวิ้นเอ๋อร์ของข้าหรือ” ลี่หยวนตี้ยังไม่ทันเอ่ยจบก็มีเสียงดังโผงผางเข้ามาจากด้านหน้าประตู จากนั้นเสียงที่ตามมาก็เป็นเสียงผลักประตูและฝีเท้าที่กำลังก้าวเข้ามา
“เสด็จน้า ท่านตามอวิ้นเอ๋อร์มาด้วยเรื่องใดหรือพะย่ะค่ะ” ต้วนเฉินเซวียนยิ้มพลางเดินเข้ามาใกล้ จากนั้นก็ยื่นมือเพื่อดึงซูเหลียนอวิ้นไปอยู่ข้างกายเขาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว “อันที่จริงเสด็จอาตรัสกับกระหม่อมก็เหมือนกัน เพราะอวิ้นเอ๋อร์ไม่ค่อยกล้าพูดเท่าไหร่นัก อีกอย่างเสด็จน้ายังเป็นฮ่องเต้ หากเอ่ยถามจนทำให้นางตกใจไปจะทำอย่างไร”
“ตัวก่อเรื่อง!” ลี่หยวนตี้เบิกตาจ้องเขม็ง แต่ยากที่จะแยกแยะว่าโกรธจริงหรือว่าแสร้งโกรธ “ตอนเข้ามาเหตุใดจึงไม่รู้จักเคาะประตูก่อน อีกอย่างเจ้าเข้ามาที่วังหลวงตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
“เรื่องนี้…” ท่าทางของต้วนเฉินเซวียนคล้ายว่าไม่ได้ตกใจท่าทางของลี่หยวนตี้เลยแม้แต่น้อย “กระหม่อมลืม พอกลับบ้านไปไม่เจอตัวภรรยาจึงไปสอบถามดูเมื่อรู้ว่ามาหาพระองค์ กระหม่อมจึงรีบตะบึงม้ามาที่นี่ทันที”
แน่นอนว่าลี่หยวนตี้ไม่เชื่อคำพูดเหลวไหลเช่นนี้ของเขา จึงเพียงแค่นยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ช่างเถิด น่าเสียดายยิ่ง เดิมทีข้าตามอวิ้นเอ๋อร์มาเข้าเฝ้าเพราะต้องการให้นางช่วยดูว่าฝีมือการเขียนตัวอักษรของข้าเป็นอย่างไรบ้าง สุดท้ายพอเจ้าโผล่มา ข้าก็หมดอารมณ์”
“อ้อ เขียนอักษรนี่เอง” ต้วนเฉินเซวียนเอียงศีรษะแล้วมองไปยังตัวอัการที่เพิ่งเขียนเสร็จและยังไม่ได้เก็บที่วางไว้บนโต๊ะ เมื่อมองเสร็จตาทั้งสองข้างของเขาก็หรี่ลง ทว่าปากของเขายังคงพูดล้อเล่นต่อ “เสด็จน้ามีพัฒนาการดีมาก ไม่เลวเลย!”
“ปากของพวกเจ้าทั้งสองไม่ต่างกันเลย” ลี่หยวนตี้ยิ้ม “เมื่อครู่แม่นางอวิ้นก็เอ่ยเช่นนี้กับข้า”
“แน่นอนอยู่แล้ว มิเช่นนั้นแล้วพวกเราจะอยู่ด้วยกันได้อย่างไร” ต้วนเฉินเซวียนเอามือขึ้นมาโอบไหล่ซูเหลียนอวิ้น “ในเมื่อดูตัวอักษรกันเสร็จแล้ว พระองค์ก็คงไม่มีเรื่องอื่นแล้วกระมัง หากไม่มีเรื่องอื่นแล้ว เช่นนั้นพวกเราขอตัวลา”
“ไปเถิดๆ” ลี่หยวนตี้ยกมือขึ้นนวดบริเวณขมับ “เห็นลงกังอย่างเจ้าแล้ว ข้าก็ปวดหัว เจ้ารีบไปให้พ้นสายตาของข้าเถิด!”
“พะย่ะค่ะ เช่นนั้นพวกเราไม่อยู่ขวางหูขวางตาแล้ว”
ทว่าเมื่อออกพ้นจากประตูตำหนักหย่างซินไปแล้ว ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของต้วนเฉินเซวียนก็พลันหายกลายเป็นความเคร่งเครียดทันที
“ตาแก่นั่นพูดอะไรกับเจ้าบ้าง”
“ท่านหมายถึงฝ่าบาทหรือ” ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกได้ถึงความผิดปกติของอารมณ์ต้วนเฉินเซวียนที่เปลี่ยนแปลงไปจึงจับแขนของต้วนเฉินเซวียนเอาไว้เพื่อพยายามปลอบใจเขา “ยังไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ให้ข้าดูตัวอักษรจีนและก็ให้ข้าช่วยวิจารณ์เท่านั้น”
เมื่อต้วนเฉินเซวียนเห็นว่าซูเหลียนอวิ้นเป็นฝ่ายเริ่มลงมือกับเขาก่อนบ้าง อารมณ์ของเขาก็ดีขึ้นมาทันที
“จริงหรือ” เหตุใดเขาจึงไม่ค่อยเชื่อนัก เพราะถึงขั้นตั้งใจแยกเขาออกเพื่อเรียกซูเหลียนอวิ้นเข้าพบตามลำพัง เพียงเพราะต้องการจะพูดแค่นี้น่ะหรือ หรือว่าเขามาถึงได้จังหวะพอดี ตาแก่นั่นจึงยังไม่ได้พูดในสิ่งที่อยากจะพูดออกมา?
“จริง” ซูเหลียนอวิ้นยิ้ม “อืม…ส่วนเรื่องราวที่นอกเหนือจากนี้ก็เป็นเรื่องที่เขาบอกว่าต่อไปให้ข้าเชื่อฟังท่านมากๆ” พอพูดถึงตรงนี้ซูเหลียนอวิ้นก็เริ่มรู้สึกอยากจะขำ เพราะหากลี่หยวนตี้เห็นเวลาที่นางพูดคุยกับต้วนเฉินเซวียนเกรงว่าคงจะยิ่งบอกให้นางยิ่งต้องเชื่อฟังเขายิ่งกว่านี้ และจะต้องกำชับเพิ่มว่าอย่ารังแกต้วนเฉินเซวียนด้วย
“ก็ได้” ต้วนเฉินเซวียนเองก็มิใช่ว่าจะไม่เชื่อใจซูเหลียนอวิ้น แต่ว่า…ก็ยังดี เพราะดูท่าแล้วเขาจะยังไม่ได้พูดอะไรจริงๆ
“ไม่ว่าตาแก่นั่นจะพูดอะไร เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องฟังก็พอแล้ว ถึงอย่างไรก็คงไม่มีอะไรน่าฟังนัก”