เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นท่าทางเช่นนั้นของหนานกงเช่อก็คิดว่าแย่แล้วแน่ๆ นางจึงแอบเอามือข้างหนึ่งลงไปหยิกขาซ้ายของต้วนเฉินเซวียนอย่างแรง จากนั้นจึงใช้สายตาอำมหิตจ้องไปที่ต้วนเฉินเซวียนเพื่อเป็นการเตือนให้เขาหยุดพูดได้แล้ว
ต้วนเฉินเซวียนโดนหยิกขาเช่นนั้นเขาก็รู้สึกเจ็บจนตัวของเขาเริ่มสั่น แต่ติดตรงที่ว่าตอนนี้หนานกงเช่อกำลังจ้องมาที่เขาตาไม่กระพริบ ดังนั้นเขาจึงต้องกล้ำกลืนความเจ็บปวดนั้นของตัวเองลงไป
“ตัดสินใจได้หรือยัง” คราวนี้ต้วนเฉินเซวียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลขึ้นมาก ซึ่งก็ถูกต้องแล้วเพราะการใช้กำลังนั้นไม่ว่าจะใช้เมื่อไหร่ก็ทำให้การเจรจาได้ผลทุกครั้ง
“ได้” หนานหงเช่อหลับตาพลางเอ่ยขึ้น เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ความรู้สึกที่บีบคั้นอยู่รอบตัวเขาก็หายไปอย่างไร้สาเหตุ
“ได้?” ซูเหลียนอวิ้นเอียงคอ และยืนยันกับเขาอีกครั้งหนึ่ง “เช่อเอ๋อร์…เจ้า….”
“ข้ารับปากพวกท่าน” หนานกงเช่อยิ้ม รอยยิ้มของเขานั้นยังคงมีความไร้เดียงสาอยู่ ราวกับว่าที่คนที่มีแรงกดดันแผ่ออกมารอบกายเมื่อครู่นี้ไม่ใช่เขา “ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่มีผลเสียอะไรกับข้ามิใช่หรือ ดังนั้นข้าคิดว่าข้ารับปากได้”
“ดี เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้” ต้วนเฉินเซวียนไม่เปิดโอกาสให้หนานกงเช่อได้พูดอะไรอีก “แต่เจ้าควรเข้าใจด้วยว่า อันที่จริงแล้วนี่เป็นเพียงแผนที่เกิดอย่างเร่งด่วนเท่านั้น เนื่องด้วยสถานการณ์ของฝ่าบาทตอนนี้…เป็นเช่นนี้ ส่วนความหมายที่แท้จริงนั้นไม่อาจอธิบายให้เจ้าฟังได้ง่ายนัก เจ้ารับปากง่ายๆ แต่วันหลังหากเจ้าเสียใจขึ้นมาก็คงไม่ทันแล้ว”
“ข้ารู้ดีว่าตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่” หนานกงเช่อเชิดหน้าขึ้น คราวนี้สายตาของเขาแสดงออกถึงความทะเยอทยานอย่างไม่ปิดบัง “ต่อให้ไม่มีโอกาสนี้ ข้าก็จะพยายามอยู่ดี ดังนั้นตอนนี้โอกาสดีมาถึงปากประตูเช่นนี้แล้ว ข้าจะปล่อยไปง่ายๆ ได้อย่างไร”
หนานกงเช่อนั้นแตกต่างจากต้วนเฉินเซวียน สำหรับต้วนเฉินเซวียนแล้ว ตำแหน่งฮ่องเต้นั้นไม่มีแรงดึงดูดต่อเขาเลยแม้แต่น้อย นั่นเป็นเพราะเขาไม่เคยห่างจากสิ่งนั้นและก็ไม่มีความสนใจใดๆ ต่อสิ่งนั้นจริงๆ
เพราะแม้เขาจะไม่ได้ครอบครองสิ่งนี้ คนอย่างต้วนเฉินเซวียนก็จะยังคงใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขดี และถึงขั้นใช้ชีวิตได้มีความสุขกว่าด้วยซ้ำ เพราะเป็นการลดภาระของตัวเองไปได้มากมาย
แต่หนานกงเช่อนั้นแตกต่าง ตอนที่หนานกงเช่อยังเด็ก ตอนที่เกาอู่เตี๋ยยังไม่เข้ามาในชีวิตของเขา เขานั้นใช้ชีวิตอย่างต่ำต้อยไร้อำนาจ เขาปรารถนาในอำนาจ เขาอยากให้คนเคารพนับถือเขา เกรงกลัวเขาและเชื่อฟังเขา
แม้ว่าภายหลังหลังจากที่เกาอู่เตี๋ยรับเขามาเลี้ยงแล้ว สถานการณ์ทุกอย่างของเขาจะดีขึ้นมาก สายตาและการปฏิบัติตัวของคนรอบข้างจะเปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว แต่เขาก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เขาต้องการมากกว่านี้
เพราะเขารู้ดีว่าสถานการณ์ทั้งหมดของเขาตอนนี้ล้วนพึ่งพิงกำลังของผู้อื่น รวมถึงอาศัยกำลังของเกาอู่เตี๋ยเขาถึงมีวันนี้ หากเกาอู่เตี๋ยไม่อยู่แล้วเขาจะทำอย่างไร หากเกาอู่เตี๋ยเกลียดเขาขึ้นมาเขาจะทำอย่างไรต่อไป
หากเวลานั้นมาถึง เขาจะต้องกลับไปสู่จุดเดิมกลายเป็นคนที่โดนผู้อื่นรังแกเช่นเดิม? เขาไม่อยากเป็นเช่นนั้นอีก และจะไม่ยอมเป็นอย่างนั้นเด็ดขาด
ดังนั้นการที่หนานกงเช่อมีความปรารถนาในอำนาจเช่นนี้นั้น นั่นก็เกิดมาจากการที่เขาถูกกดขี่มาตั้งแต่ยังเด็กจนทุกอย่างฝังลึกเข้าไปอยู่ในกระดูกของเขากระมัง
ฝังลึกอยู่ในสายเลือดของเขา จนเขาไม่กล้าลืมเลือนแม้เพียงเสี้ยวนาที
ต้วนเฉินเซวียนมองสายตาที่มีความทะเยอทยานของหนานกงเช่อในตอนนี้ เขาก็ตกอยู่ในภวังค์ เพราะจะว่าไปก็ถูกต้องแล้ว คนที่กล้าต่อกรกับต้วนเฉินเซวียนก็คงจะมีแต่คนเช่นนี้ถึงจะพอสูสีกันไปได้
“วางใจเถิด และไม่ต้องกดดันตัวเองมากนัก” เป็นเรื่องยากมากนักที่ต้วนเฉินเซวียนจะเอ่ยปลอบใจหนานกงเช่อเช่นนี้ “แผ่นดินนี้ไม่ได้มีเพียงเจ้าตัวคนเดียว เสนาบดีพวกนั้นก็จะต้องไม่กินข้าวหลวงฟรี คนที่จะช่วยเจ้านั้นมีไม่น้อย”
“ใช่แล้ว” ซูเหลียนอวิ้นกล่าวเสริม “วันหน้าหากเช่อเอ๋อร์ไม่เข้าใจอะไรก็ถามข้าได้ หรือจะถามต้วนเฉินเซวียนก็ได้เช่นกัน หากไม่คำนึงถึงคนอื่น พวกเราจะต้องเป็นคนแรกที่ช่วยเจ้าอย่างแน่นอน”
“ไม่ต้อง” สีหน้าของหนานกงเช่อกลับมาไร้อารมณ์ดังเดิม “คำพูดของซูเหลียนอวิ้นโง่เขลานัก แต่ก็ช่างเถิด ข้ากลัวว่าต้วนเฉินเซวียนกลับไปแล้วจะตลบหลังข้ามากกว่า ดังนั้นไม่ต้องหรอก”
ต้วนเฉินเซวียน: เขารู้อยู่แล้วว่าเจ้าเด็กนี่ไม่มีทางพูดอะไรดีๆ ออกมาได้ เมื่อครู่นี้เขาเกิดความรู้สึกสงสารเด็กคนนี้ขึ้นมา นี่เขาสงสารไปทำไมกัน! ทำตัวเองทั้งนั้น
แม้ว่าซูเหลียนอวิ้นจะถูกเยาะเย้ยเช่นนั้นแต่ตอนนี้นางคิดว่าที่หนานกงเช่อทำไปเพราะต้องการระบายความกดดันที่อยู่ในใจของตัวเองออกมาก็เท่านั้น ดังนั้นนางจึงไม่คิดแค้นอะไรกับหนานกงเช่อ แถมนางยังยื่นมืออกไปผลักต้วนเฉินเซวียนที่อยู่ข้างๆ นางอีก “ท่านออกไปก่อนสักประเดี๋ยวได้หรือไม่ ข้ามีเรื่องอยากจะพูดเช่อเอ๋อร์” ขืนท่านยังอยู่ตรงนี้มีแต่จะทำให้เรื่องวุ่นวายเปล่าๆ แถมทำให้นางไม่มีอารมณ์จะพูดในสิ่งที่นางอยากพูดอีกด้วย
“ยังมีอีกหรือ” ต้วนเฉินเซวียนเม้มปากแน่นแสดงถึงความไม่พอใจของตัวเอง “เมื่อครู่นี้ก็พูดกันชัดเจนแล้วไม่ใช่หรือ ยังมีเรื่องอะไรให้พูดกันอีก” แถมยังไล่เขาออกไปด้วย เรื่องนี้ไม่ว่าจะคิดอย่างไรเขาก็ไม่อยากจะออกไป
“จะออกหรือไม่ออก” ซูเหลียนอวิ้นขี้เกียจพูดมากจึงใช้สายตาสื่อสารให้ต้วนเฉินเซวียนเข้าใจเอง
“ก็ได้ เช่นนั้นก็รีบพูดเข้า” ฟ้าดินกว้างใหญ่ แต่เมียนั้นใหญ่ที่สุด อีกทั้งตอนนี้เมียของเขายังมีตัวน้อยอยู่ในนั้นอีก ดังนั้นยิ่งใหญ่มากขึ้นกว่าเดิม!
ต้วนเฉินเซวียนลุกขึ้นอย่างอ้อยอิ่ง “ข้างนอกพระอาทิตย์ดวงโตขนาดนั้น ร้อนจะแย่”
ซูเหลียนอวิ้น: เหตุใดผู้ชายถึงได้บอบบางเพียงนี้ แค่ตากแดดนิดหน่อยทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้!
“ว่ามาซูเหลียนอวิ้น เจ้าอยากพูดอะไรกับข้า” ต่อให้เดินออกไปอย่างนวยนาดเพียงใดสุดท้ายเขาก็เดินลับตาไป ดังนั้นเมื่อต้วนเฉินเซวียนปิดประตูสนิทแล้ว หนานกงเช่อก็รีบเอ่ยกระตุ้น
“เช่อเอ๋อร์” ซูเหลียนอวิ้นโน้มตัวมาข้างหน้า แล้วใช้หน้าผากของตัวเองดันที่ศีรษะของหนานกงเช่อ “รีบโตหน่อย”
แต่ก็หวังว่าเขาจะเติบโตอย่างช้าๆ เช่นกัน
เรื่องราวในราชสำนัก นางเองก็เป็นเพียงสตรีคนหนึ่งที่แม้ว่าจะไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรมากนัก แต่อย่างไรก็มีเหตุผลข้อหนึ่งที่ไม่มีทางผิดพลาด นั่นก็คือตอนนี้หนานกงเช่อถือว่ายังเด็กมาก ดังนั้นคนที่ไม่เคารพในตัวเขานั้นหากให้เขียนรายชื่อแล้วคงจะยาวเป็นหางว่าว
รีบเติบโตขึ้น จะได้พึ่งพาตัวเองได้ด้วยตัวเองและจะได้ทำให้คนพวกนั้นต้องเสียใจในการตัดสินใจที่ได้ทำลงไป
ส่วนการให้เติบโตอย่างช้าๆ นั้นเป็นเพียงความหวังดีอันบริสุทธิ์ของซูเหลียนอวิ้นที่มีต่อเด็กอย่างหนานกงเช่อที่อยากเห็นเขาเติบโตขึ้นโดยที่ไม่มีความปรารถนาที่มากเกินพอดีจนทำให้เขาสูญเสียสิ่งที่เด็กกำลังโตควรจะมีและสูญเสียโอกาสในการลองเรียนรู้เรื่องบางอย่าง
“อย่าห่วงเลย นี่ย่อมแน่นอนอยู่แล้ว” หนานกงเช่อสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ส่งมาจากหน้าผากของเขา เขายิ้มจนเห็นฟันน้ำนม “ทุกวันนี้ข้ากินข้าวมื้อละสองจาน ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลเรื่องที่อยากจะให้ข้าโตเร็วๆ”
ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น เรื่องการโตเร็วนั้นเขาไม่มีทางแพ้ให้แก่ผู้ใดอย่างแน่นอน