ตั้งแต่เฉียวฉีถูกช่วยออกมาได้ กู้ซือเฉียนก็คอยเฝ้าเธออยู่ข้างเตียงตลอด แม้กระทั่งตอนที่หมอเข้ามาตรวจร่างกายให้เธอ เขาก็ไม่ขยับไปไหน
เพราะรู้ดีว่าเขาพึ่งจะได้เธอกลับคืนมา ความรู้สึกในใจจึงไม่ใช่คนธรรมดาที่ไหนจะเทียบได้ เพราะงั้นก็เลยไม่มีใครว่าอะไรเขา
คุณหมอก็เพียงพูดเกลี้ยกล่อมเขาสองสามประโยคว่า นี่มันก็ดึกมากแล้ว ยังไงเฉียวฉีก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แค่ต้องพักรักษาตัวเงียบ ๆ เท่านั้น เพราะงั้นเขาไม่จำเป็นต้องอยู่รบกวนเธอ ให้กลับไปพักผ่อนที่ห้องตัวเองได้
จากนั้นคุณหมอก็ป้อนยาให้กับเฉียวฉี พอเตรียมยาสำหรับพรุ่งนี้เช้าเสร็จ คุณหมอก็ออกไป
ดังนั้น พริบตาเดียวทั้งห้องก็เหลือเพียงกู้ซือเฉียนและเฉียวฉีเพียงสองคน
เขานั่งลงตรงข้างเตียง มองไปยังหญิงสาวที่นอนอยู่จากนั้นก็ดึงมือเธอมากุมไว้ด้วยหัวใจที่เจ็บปวด
พระเจ้ารู้ดี จนถึงตอนนี้เขาเพิ่งจะพบว่าเฉียวฉีมีความสำคัญต่อเขามากขนาดไหน
ช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ ภายนอกดูเหมือนเขาจะวางแผนรับมือได้เป็นอย่างดี แต่ในความเป็นจริงมีเพียงใจเขาเท่านั้นที่รู้ดีว่าตัวเองกลัวมากขนาดไหน
กลัวว่าจะหาเธอไม่เจอ กลัวจะเกิดเรื่องขึ้นกับเธอ กลัวว่าถ้าถึงวันที่หาเธอพบเธอจะเหลือเพียงแค่กองกระดูก
ดังนั้น การที่ได้เห็นเธอนอนหลับอย่างสงบสุขอยู่ที่นี่ ในใจไม่ใช่แค่รู้สึกเจ็บปวด แต่ยังรู้สึกซาบซึ้งอีกด้วย
ซาบซึ้งในพระเจ้าที่คืนเธอให้กับเขา
จากนี้ไปเขาจะไม่พูดถึงเรื่องราวในอดีตอีก เรื่องวุ่นวายหรือเรื่องคับแค้นใจที่อยู่ในใจของคนทั้งสอง เขาจะไม่เอ่ยมันขึ้นมา
เขาจะทะนุถนอมเธอเป็นอย่างดี จะไม่ทำให้เธอต้องเจ็บปวด
กู้ซือเฉียนนั่งคิดเรื่องราวต่าง ๆ อยู่เงียบ ๆ ข้างเธอ คอยเฝ้าดูเธอจนเวลาผ่านไปเนิ่นนาน
เช้าวันต่อมา
จิ่งหนิงตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เธอมาถึงตึกหลักตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อดูว่าเฉียวฉีตื่นรึยัง
คาดไม่ถึง พอเธอเดินมาถึงห้องรับแขก ก็เจอกับลุงโอที่เดินลงมาจากชั้นบน
เธอกับลู่จิงเซินอาศัยอยู่ที่นี่มาสักพักใหญ่ ๆ แล้ว พวกเธอค่อนข้างจะคุ้นเคยกับลุงโอพอสมควร
พอเห็นเขาเดินมา เธอจึงทักทายด้วยรอยยิ้มว่า “อรุณสวัสดิ์ค่ะ ลุงโอ”
ลุงโอเองก็ค่อนข้างชอบจิ่งหนิงมากเช่นกัน เขาไม่เคยรู้จักลู่จิ่งเซินและจิ่งหนิงมาก่อน เขารู้แค่เพียงว่าตระกูลลู่กับตระกูลกู้ไม่ค่อยลงลอยกันสักเท่าไร
อีกอย่างคุณชายของเขาจะต้องสืบทอดตระกูลกู้ต่อไปในอนาคต ดังนั้น เขาจึงพลอยมีความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีต่อตระกูลลู่ไปด้วย
แต่หลังจากการอยู่ร่วมกันมาสักพักในช่วงนี้ เขากลับพบว่าคนของตระกูลลู่ทั้งสองคนนี้เป็นคนดีมาก
เหมือนกับคุณชายของเขาและเฉียวฉี เป็นคนที่ดีไปหมด ดีจนจะดีไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
เพราะฉะนั้น มันก็เลยทำให้เขาปล่อยวางอคติที่มีในอดีตลง ก่อนจะค่อย ๆ สนิทกับพวกเขามากขึ้น
ลุงโอยิ้มพร้อมกับตอบว่า “คุณนายลู่ ตื่นเช้าจังเลยนะครับ มาดูคุณเฉียวเหรอ?”
จิ่งหนิงพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “ใช่ค่ะ ตอนนี้เธอตื่นรึยังคะ?”
พอเธอเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ลุงโอก็ดีใจยิ้มจนตาหยี “ตื่นแล้วครับ กำลังพักผ่อนอยู่ คุณชายก็อยู่กับเธอด้วย”
จิ่งหนิงได้ยินดังนั้น เธอก็เผยรอยยิ้มออกมาพร้อมกับมองขึ้นไปชั้นบน “งั้นตอนนี้ฉันขึ้นไปดูเธอได้ไหมคะ?”
เธอไม่อยากเข้าไปแล้วบังเอิญเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น
ลุงโอรู้ความหมายของเธอในทันที เขาตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “ได้ครับ ๆ”
จิ่งหนิงถึงได้วางใจ ก่อนจะตอบว่า “งั้นฉันขึ้นไปแล้วนะคะ”
“ครับ”
จิ่งหนิงเดินขึ้นไปชั้นบน จากนั้นก็มาถึงห้องที่เฉียวฉีถูกส่งตัวเข้ามาเมื่อวาน
เธอเคาะประตูเบา ๆ ก่อนจะได้ยินน้ำเสียงที่นิ่งเรียบของชายหนุ่มดังลอดออกมาว่า “เข้ามา”
พอเปิดประตูเข้าไป เธอก็เห็นหญิงสาวอีกคนนั่งพิงหัวเตียงอยู่พอดี
กู้ซือเฉียนนั่งอยู่ข้างเตียง พร้อมกับป้อนยาให้เฉียวฉี
แม้ว่าร่างกายของเธอในตอนนี้จะดูสบายดี แต่เพราะฤทธิ์ของยานอนหลับทำให้สติและเรี่ยวแรงของเธอได้รับความเสียหายค่อนข้างหนัก คุณหมอจึงไม่ได้จ่ายยาแผนปัจจุบัน แต่กลับจ่ายยาสมุนไพรจีนบางชนิดโดยเฉพาะสำหรับฟื้นฟูและบำรุงความบริสุทธิ์สดชื่นให้เธอแทน
ขณะนี้ กู้ซือเฉียนกำลังป้อนยาให้เฉียวฉีทีละช้อนทีละช้อนอย่างอดทน
พอเห็นเธอเดินเข้ามา มือของกู้ซือเฉียนก็หยุดชะงักทันที ก่อนจะหันไปถามเธอว่า “คุณมาได้ยังไง?”
จิ่งหนิงตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “ฉันมาดูอาการของคุณเฉียวน่ะว่าเป็นยังไงบ้าง”
เธอพูดพร้อมกับเดินเข้ามาใกล้
อาจเป็นเพราะว่าเมื่อคืนวานนั้นดึกเกินไป รวมถึงอาการของเฉียวฉีก็ยังไม่ค่อยดี เพราะงั้นเธอก็เลยไม่ได้สังเกตรูปร่างร่างหน้าตาของหญิงสาวตรงหน้าสักเท่าไร
ตอนนี้อีกฝ่ายตื่นแล้ว พอได้มองอย่างละเอียดอีกครั้ง ก็พบว่าเธอถือเป็นสาวสวยไม่เบา
จิ่งหนิงอดไม่ได้ที่จะยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ดูท่าแล้วคุณคงอาการดีขึ้นพอสมควรแล้วสินะ”
เฉียวฉีมองเธออย่างว่างเปล่า ผ่านไปหลายวินาที เธอถึงได้ถามขึ้นว่า “คุณคือ…..”
กู้ซือเฉียนจึงแนะนำว่า “เธอคือจิ่งหนิง”
เขาหยุดไปชั่วครู่ ก่อนจะพูดต่อ “ภรรยาของลู่จิ่งเซิน”
นัยน์ตาของเฉียวฉีเบิกกว้างขึ้นทันที ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่า
“โอ้ ฉันนึกออกแล้ว คุณคือ Seven!”
จิ่งหนิงยิ้มพร้อมกับพยักหน้า “ใช่ ฉันเอง”
เฉียวฉีเริ่มรู้สึกเขินขึ้นมาเล็กน้อย เธอเกาหัวตัวเองเบา ๆ “ฉันดีใจมากที่ได้เจอคุณ คุณรู้ไหม? เมื่อก่อนคุณเป็นไอดอลของฉันเลยนะ!”
จิ่งหนิงเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ “จริงเหรอ? ฉันไม่เคยรู้เลย”
แต่ดูเหมือนกู้ซือเฉียนจะไม่อยากให้พวกเขาพูดคุยกันมากเกินไป พอเห็นว่าจิ่งหนิงดูอาการเฉียวฉีเสร็จแล้ว เขาก็พูดขัดจังหวะขึ้นมาอย่างเย็นชา
“เอาล่ะ ตอนนี้คนก็ดูเสร็จแล้ว คุณก็ควรจะออกไปได้แล้วใช่ไหม?”
จิ่งหนิงชะงัก ก่อนจะมองเขาด้วยสายตาไม่ค่อยพอใจ
“นี่ คุณนี่มันยังไงเนี่ย? ฉันใจดีมาเยี่ยมคนป่วย ไม่ได้มาเยี่ยมคุณสักหน่อย คุณมีสิทธิ์อะไรมาไล่ฉันออกไป?”
เฉียวฉียิ้มพร้อมกับพูดขึ้น “อย่าไปสนใจเขาเลย ฉันพึ่งตื่น ตอนนี้ในหัวก็เลยค่อนข้างมึนนิดหน่อย ว่าแต่พวกคุณมาที่นี่ตั้งแต่เมื่อไร?”
จิ่งหนิงเล่าเรื่องของตัวเองกับลู่จิ่งเซินให้เฉียวฉีฟังนิดหน่อย จากนั้นก็สรุปเรื่องราวในช่วงที่ผ่านมาแบบคร่าว ๆ ให้เธอฟังอีกเล็กน้อย
เมื่อครู่เธอยังไม่พอใจกู้ซือเฉียนที่ไล่เธอออกไปอยู่เลย แต่พอนึกถึงเรื่องราวในช่วงที่ผ่านมา เธอก็เข้าใจขึ้นมาทันที ช่วงที่กู้ซือเฉียนตามหาเฉียวฉีนั้น เขาทุ่มเททั้งกายและใจจริง ๆ เพื่อที่จะหาเธอให้เจอ
เรียกได้ว่าแทบจะเอาทั้งตระกูลของเขาเข้าไปเดิมพันเลยด้วยซ้ำ
พอได้เธอกลับมา กว่าเธอจะฟื้นคืนสติ เขาก็คงอยากจะอยู่กับเธอตามลำพังเป็นธรรมดา
จิ่งหนิงอยู่ที่นี่ ก็ดูเหมือนจะเป็นการรบกวนโลกของพวกเขาทั้งสองคนเสียมากกว่า
พอคิดได้ดังนี้ เธอก็ยิ้มออกมาอย่างเก้อเขิน
“งั้น พวกคุณก็คุยกันต่อเถอะนะ ฉันมีเรื่องอื่นที่ต้องทำอีก ไม่รบกวนพวกคุณแล้ว”
เฉียวฉีพยักหน้ารับ ก่อนจะตอบว่า “รอให้ฉันอาการดีขึ้นก่อนนะ แล้วฉันค่อยไปหาคุณ”
จิ่งหนิงพยักหน้า ก่อนจะยิ้มให้เธออย่างเป็นมิตรอีกครั้ง จากนั้นก็หมุนตัวออกไป
หลังจากรอให้เธอเดินออกไปแล้ว เฉียวฉีก็หันกลับมามองทางกู้ซือเฉียน
เธอจ้องเขาด้วยสายตาที่ไม่ค่อยพอใจ ก่อนจะพูดขึ้นว่า “เมื่อครู่ทำไมคุณทำกับเธอแบบนั้นล่ะ? เธอเป็นแขกมาจากแดนไกลนะ ทำแบบนี้รู้ไหมว่ามันไม่ดี?”
กู้ซือเฉียนจ้องมองเธอด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง
ในแววตานั้น มีความรู้สึกที่ซับซ้อนมากมายปะปนอยู่ ดูไม่ออกเลยว่ามันคือความสุข ความสบายใจ หรือคืออย่างอื่น
เฉียวฉีมองดูด้วยความงุนงงเล็กน้อย
เธอเอามือจับใบหน้าตัวเอง ก่อนจะถามด้วยความสงสัยว่า “มีอะไรเหรอ? หน้าฉันมีอะไรติดรึไง?”
กู้ซือเฉียนตอบอย่างนิ่งเรียบว่า “ไม่มี”
ขณะที่พูด เขาก็ตักยาขึ้นมาจ่อปากเธออีกหนึ่งคำ “อ้าปาก”
เฉียวฉีอ้าปากอย่างเชื่อฟัง จากนั้นก็ดื่มยาคำนั้นลงไป