วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน – บทที่ 935 ความโลภของมนุษย์

บทที่ 935 ความโลภของมนุษย์

“ว่ากันตามเหตุผลแล้วไม่ว่าเขาจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่เขาก็เป็นรุ่นน้องอยู่ดี ไม่รู้ว่าทำไมทัศนคติของ หนานกงยวู่ที่มีต่อเขา จึงเหมือนกับทัศนคติที่มีต่ออาจารย์ปู่ยังไงอย่างงั้น เคารพเขามาก”

หลังจากฟังจบ หลินซงก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้

“อย่าบอกนะว่า นั่นคืออาจารย์ปู่ของเขาจริงๆ?”

กู้ซือเฉียนขมวดคิ้วพร้อมกับเหลือบมองเขา

“อย่าไร้สาระน่า เรื่องของตระกูลหนานนั้นซับซ้อนมาก สิ่งที่เราเห็นในตอนนี้เป็นเพียงแค่ส่วนเล็กๆ เท่านั้น ไม่แน่ว่าอาจมีความลับที่ลึกซึ้งกว่านั้นก็ได้ แล้วเรื่องนี้นายก็อย่าไปพูดสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าล่ะ ทำเป็นว่าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้แล้วกัน”

หลินซง ทำท่าทางรูดซิปปาก แล้วยกมือขึ้นทำท่าโอเคอีกครั้ง

“เข้าใจแล้ว”

ขณะที่ทั้งสามคนพูดคุยกันด้วยเสียงกระซิบ อีกด้านหนึ่งนั้น คนที่ต้องการขึ้นไปบนเวทีเพื่อดูสมบัติชิ้นนั้น ก็ดูกันเสร็จแล้ว

พิธีกรประกาศสิ้นสุดงานเลี้ยง และทุกคนก็เดินกลับออกมาทั้งๆ ที่อารมณ์ยังค้างอยู่

กู้ซือเฉียนและเฉียวฉีก็ออกจากงานมาแล้วเช่นกัน

ทุกคนไม่ได้คาดคิดว่างานวินิจฉัยอัญมณีที่จัดขึ้นโดยหลินซงนั้น แท้จริงแล้วผู้ที่เป็นตัวตั้งตัวตีอยู่เบื้องหลังคือกู้ซือเฉียน

แถมยังประกาศสิ่งที่อาจเรียกได้ว่าเป็นข่าวใหญ่สะเทือนวงการได้เลย

ทุกคนอยู่ในอารมณ์สับสนเป็นอย่างมาก และในขณะเดียวกัน ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ในใจยังคงกระเหี้ยนกระหือรือในสมบัติเหล่านั้นอยู่

ท้ายที่สุด สมบัติอันน่าอัศจรรย์ที่ถูกเล่าต่อๆ กันไปทั่วโลกนั้น ใครกันจะไม่อยากค้นหาความลับที่ซ่อนอยู่?

ในเวลานี้ กู้ซือเฉียนและเฉียวฉีก็อยู่บนรถที่กำลังจะกลับไปที่ปราสาทเรียบร้อยแล้ว

ภายในรถเงียบสงัด คนขับคือฉินเยว่ และนอกจากกู้ซือเฉียนและเฉียวฉีแล้ว ก็ไม่มีคนอื่นอีก

เฉียวฉีถามด้วยความเป็นห่วง “ซือเฉียนคุณว่าการที่เราทำแบบนี้ มันจะได้ผลจริงเหรอ? จะมีคนมาให้เบาะแสเราจริงๆ ไหม?”

กู้ซือเฉียนตอบเสียงขรึม “มีสิ”

“ทำไมคุณถึงมั่นใจขนาดนั้น?”

ชายคนนั้นหันหน้าไปมองเธอ นัยน์ตาลึกของเขาเป็นประกายด้วยความคาดเดาไม่ได้

“เพราะความโลภของมนุษย์”

“โลภ?”

“ใช่ ทุกคนต่างรู้ที่มาที่ไปของสมบัติชิ้นนี้ แต่ตอนนั้นพวกเขาไม่รู้ว่ามันมีสิบสองชิ้น เพียงแค่ต้องรวบรมทั้งสิบสองชิ้นเข้าด้วยกันก็จะสามารถเผยให้เห็นอิทธิฤทธิ์ของมันได้ และตอนนี้พวกเขาทั้งหมดก็รู้แล้ว เมื่อเผชิญกับสิ่งล่อใจครั้งยิ่งใหญ่นี้ ไม่มีใครสามารถต้านทานความอยากรู้อยากเห็นได้แน่ว่าสุดท้ายแล้วผลจะเป็นอย่างไร ตราบใดที่พวกเขามีเบาะแสอยู่ในมือ พวกเขาจะมอบให้เราอย่างแน่นอน”

เฉียวฉีเงียบไป

เธอกระซิบ “ฉันแค่กลัวนิดหน่อย กลัวว่าเหตุการณ์นี้จะเหมือนกับเมื่อห้าปีก่อน ที่ทำให้เกิดการนองเลือดขึ้น”

ขณะที่เธอพูด เธอหันหน้าไปทางหน้าต่าง และทอดสายตาไปยังที่ซึ่งอยู่ห่างไกล ราวกับว่าเมื่อมองผ่านหมอกที่หนาทึบออกไป เธอเห็นบางคนหรือเห็นสิ่งของบางอย่างอยู่ที่ไกลๆ นั่น

กู้ซือเฉียนยื่นมือออกไป และกุมมือเธอไว้

เขาพูดอย่างเคร่งขรึม “มันจะไม่เป็นอย่างนั้นแน่นอน”

เสียงของชายผู้นั้นแหบพร่า เต็มไปด้วยความนุ่มลึกและกังวานที่อธิบายไม่ถูก ราวกับว่าสามารถทำให้ผู้คนสบายใจได้

“ห้าปีที่แล้วก็คือห้าปีที่แล้ว ตอนนี้ก็คือตอนนี้ เราแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม ไม่ว่าลมฝนจะหนักแค่ไหนก็ไม่มีอะไรต้องกลัว”

เฉียวฉีหันหน้ากลับมา เห็นสายตาของเขาที่กำลังจ้องมองเธออย่างหนักแน่น ยกมุมปากขึ้นมา

เพียงไม่นานรถก็จอดอยู่หน้าปราสาทแล้ว

ประตูแกะสลักสีดำเปิดออก และในขณะที่รถกำลังจะเข้าไปในปราสาท ทันใดนั้นก็มีเสียงของบางคนดังมาจากที่ไม่ไกล

“รอด้วย! คุณกู้ รอด้วยครับ!”

ทั้งสองคนตกตะลึง กู้ซือเฉียนบอกให้ฉินเยว่หยุดรถ จากนั้นก็หันกลับไปมอง และเห็นชายวัยกลางคนกำลังวิ่งตรงมาทางนี้

คนคนนั้นก็คือคนที่มาหาหลินซงก่อนหน้านี้ และต้องการมอบที่ดินผืนนั้นให้เขา ซึ่งก็คือเจียงต๋า ประธานเจียง

ดวงตาของกู้ซือเฉียนลึกลง เขาลดกระจกรถลง และมองไปที่คนคนนั้น

“ประธานเจียงมีอะไรหรือเปล่าครับ?”

ใบหน้าซื่อๆ และอวบอ้วนของเจียงต๋าเผยรอยยิ้มที่เป็นมิตรออกมา เขาพยักหน้าพร้อมกับโค้งด้วยความเคารพ และพูดว่า “คุณกู้ครับ สิ่งที่คุณพูดในงานเลี้ยงก่อนหน้านี้ คุณพูดจริงใช่ไหม?

มุมริมฝีปากของกู้ซือเฉียนกระตุก “แน่นอน หรือว่าประธานเจียงมีเบาะแสอะไรอย่างนั้นเหรอ?”

ประธานเจียงปาดเหงื่อออกจากหน้าผากของตัวเอง และยิ้ม “มีครับมี ถ้าคุณอยากรู้ ผมจะบอกคุณทันที”

สายตาของกู้ซือเฉียนหนักแน่นขึ้น

แต่ก็ไม่รีบร้อนที่จะให้เขาพูดตอนนี้ แต่สั่งฉินเยว่ว่า “เปิดประตู ให้ประธานเจียงขึ้นมา”

จากนั้น เขาก็หันหน้าไปพูดกับคนที่อยู่นอกกระจกรถว่า “ถ้าประธานเจียงไม่รังเกียจ เข้าไปดื่มกันสักแก้วนะครับ แล้วเราค่อยดื่มกันไปคุยกันไป”

สีหน้าของเจียงต๋าแสดงความพึงพอใจ และตกลงอย่างรวดเร็ว “เอ๊ะ ได้ครับ ขอบคุณมากๆ ครับคุณกู้ ”

เจียงต๋าเป็นนักธุรกิจในเมืองหลิน ที่กล่าวได้ว่าจะยิ่งใหญ่ก็ไม่ยิ่งใหญ่เสียทีเดียว และจะว่าเล็กไม่ได้เล็กขนาดนั้น

ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของเขา มักจืดชืดไม่มีขึ้นไม่มีลง เขาทำเงินได้ก็จริง แต่ก็ขาดทุนมากเช่นกัน ดังนั้นหลังจากทำงานหนักมาหลายปี เขาก็ยังไม่ประสบความสำเร็จให้ชื่อของตัวเองเป็นที่ประจักษ์ไปทั่วโลก แต่ก็ยังดีที่ตระกูลของเขานั้นร่ำรวย

หากเป็นเมื่อก่อน คนที่มีฐานะทางสังคมแบบเขา คงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะริอาจมาตีสนิทกับคนอย่างกู้ซือเฉียนได้

และยิ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมาถึงปราสาทแห่งนี้

แต่วันนี้แตกต่างออกไป

ก่อนหน้านี้กู้ซือเฉียนได้พูดออกไปแล้วว่า ใครก็ตามที่ให้เบาะแสที่เป็นประโยชน์ สามารถขออะไรเขาก็ได้หนึ่งอย่าง

ข้อกำหนดนี้ ตราบใดที่ไม่ละเมิดหลักการ เขาจะช่วยให้อีกฝ่ายหนึ่งบรรลุผลตามนั้น

ซึ่งเทียบเท่ากับเช็คเปล่าหนึ่งใบ

ถ้าได้เช็คเปล่าจากคนอย่างกู้ซือเฉียน ก็เท่ากับได้ขึ้นสู่ตำแหน่งสูงได้โดยไม่ต้องเปลืองแรงตัวเองเลย แล้วจะไม่ให้ทุกคนหวั่นไหวได้อย่างไร?

ด้วยเหตุนี้ เมื่อกู้ซือเฉียนกล่าวว่า เขายินดีที่จะร่วมมือกับทุกคนทำภารกิจที่ยิ่งใหญ่ การตอบสนองของทุกคนจึงดูธรรมดาๆ น่าเบื่อ

แต่ในตอนสุดท้ายที่เขาบอกว่า เขาเต็มใจที่จะเป็นหนี้บุญคุณของอีกฝ่าย และพร้อมทำตามคำร้องขอของอีกฝ่ายอย่างเต็มที่ เสียงจากด้านล่างก็คึกคักขึ้นมา

ในเวลานี้ เจียงต๋าขึ้นรถอย่างระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นรถก็เคลื่อนตัวเข้าไปในปราสาท หลังจากเข้ามาแล้ว ทิวทัศน์ภายในนั้นเหนือจินตนาการของเขามากจริงๆ และสายตาของเขามองตรงไปตลอดทาง

ในใจเขาอดถอนหายใจออกมาไม่ได้ เขาเคยได้ยินถึงความวิจิตรตระการตาของปราสาทแห่งตระกูลกู้ มานานแล้ว แต่ตอนนี้ที่เขาได้เข้ามาถึงรู้ว่า สิ่งที่คนอื่นร่ำลือกันนั้นเป็นความจริง

จากนั้นรถก็หยุดอยู่หน้าประตูของปราสาท ฉินเย่วลงมาเปิดประตูรถให้พวกเขา ทั้งสามลงจากรถ จากนั้นกู้ซือเฉียนก็ทำท่าทางเชื้อเชิญ “ประธานเจียงเชิญเข้ามาข้างในก่อนครับ”

เจียงต๋ากลัวเพราะชีวิตนี้เขาไม่เคยคิดฝันมาก่อนเลยว่า เขาจะได้รับการปฏิบัติอย่างสุภาพจากคนอย่างกู้ซือเฉียน

เขารีบตอบรับอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว และทั้งสามคนก็เข้าไปในบ้าน หลังจากนั่งลง ลุงโอก็นำชาที่ชงด้วยตัวเองออกมาเสิร์ฟ กู้ซือเฉียนจิบชา ก่อนจะถามขึ้นมาว่า “เมื่อครู่ประธานเจียงเพิ่งบอกว่า มีเบาะแสเกี่ยวกับแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ใช่ไหมครับ?”

เจียงต๋าที่เดิมทีกำลังดื่มชา เมื่อได้ยินดังนั้นก็รีบวางแก้วชาลงอย่างรวดเร็ว พยักหน้าและตอบอย่างระแวดระวัง “ใช่แล้วครับ”

“เบาะแสนั้นคืออะไร? เล่าให้ฉันฟังหน่อยสิครับ”

เจียงต๋ากลืนน้ำลายลงคอ แล้วเล่าด้วยเสียงอ้อมแอ้ม

เดิมที ก่อนหน้านี้ที่เขาได้ยินเกี่ยวกับอิทธิฤทธิ์อันน่าอัศจรรย์ของแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ ก็รู้สึกสนใจของสิ่งนี้ขึ้นมา

แต่เขารู้ดีถึงความแข็งแกร่งของตัวเอง จึงไม่กล้าคิด ดั่งคำพังเพยที่ว่า ราษฎรเดิมไม่มีความผิด แต่เพราะมีหยกกับตัวจึงมีความผิด ซึ่งหมายความว่าการที่มีสมบัติอยู่กับตัวสามารถก่อให้เกิดภยันตรายได้ ดังนั้นต่อให้มีใครอยากจะมอบมันให้กับเขา เขาก็ไม่กล้ารับมันไว้อยู่ดี

ดังนั้น โดยปกติแล้วเขาจะเพียงสนใจมันอย่างเงียบๆ และไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งเขาจะค้นพบมันด้วยตัวเขาเอง

แต่สวรรค์ก็มักจะเป็นเช่นนี้เสมอ คนที่ตามหา กลับไม่พบ

แต่เป็นคนเหล่านั้นที่ไม่ได้ต้องการตามหาเลย แต่โดยไม่ได้ตั้งใจ พวกเขาพบมันภายใต้การล้อเล่นของโชคชะตา

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

Status: Ongoing

บทที่ 1 จับชู้คาเตียง

“มีถุงยางดูเร็กซ์ ดูอัล เพลย์เชอร์ไซซ์กลางไหม? ”

“มีค่ะ”

“แล้วก็ไวเบรเตอร์กับชุดนางแมวสวาทชุดหนึ่งด้วย”

“ได้ค่ะ จัดส่งที่ไหนคะ? ”

“โรงแรมลี่หัว ห้อง2202”

“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”

เมื่อจิ่งหนิงมาถึงโรงแรมลี่หัวก็เป็นเวลาห้าทุ่มแล้ว

เวลาดึกดื่นขนาดนี้ สำหรับคนที่ทำธุรกิจสินค้าผู้ใหญ่ แบบนี้ การนำส่งสินค้าด้วยตนเองไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่

นัก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงสาวหน้าตาสะสวยอย่างเธอ

แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ทุก สิ่งทุกอย่างต้องแลกมาด้วยเงิน อีกอย่างมู่ยั่นเจ๋อกำลังจะ กลับมาอีกไม่กี่วันนี้

คบกันมาตั้งหกปี แต่เวลากว่าครึ่งเป็นรักระยะไกล เขา ต้องดูแลธุรกิจทั้งในและนอกประเทศ เธอจะทำตัววุ่นวาย ส่งผลต่อการทำงานของเขาไม่ได้

ดีที่ความรักของทั้งสองคนนั้นค่อนข้างหวานชื่นนอกจากงานในแต่ละวันแล้ว เธอยังมีธุรกิจเล็กๆของตัวเอง ด้วย อีกไม่กี่วันเป็นวันเกิดของเขา เธอตั้งใจจะมอบของ ขวัญให้เขาอย่างเซอร์ไพรซ์

เมื่อคิดได้ดังนั้น จึงหนิงก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

เธอขยับหมวกสีดำที่ใส่มาให้ปิดลงมาบังหน้าไว้ จากนั้น เดินถือกล่องสินค้าเข้าไปด้านใน

โรงแรมลี่หัว เป็นสถานที่ราคาแพงขึ้นชื่อของเมืองจิ้น ผู้คนที่เดินทางมาเข้าพักล้วนเป็นระดับมหาเศรษฐี

ความโอ่อ่างดงามที่ห้องโถงไม่ต้องพูดถึง แม้แต่ลิฟต์ก็ ถูกประดับตกแต่งด้วยเงินและทองคำ คนที่ยืนอยู่ด้านใน ถูกแสงไฟส่องสว่างไสว

จิ่งหนิงเดินถือกล่องเข้าไปแล้วมองหาจุดหมาย

ใบหน้าอันงดงามถูกปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง มองเห็นเพียงดวงตา เป็นประกายคู่นั้น แฝงไปด้วยความมั่นใจ

ลิฟต์ขึ้นสู่ชั้น22 “ตั้ง” ประตูเปิดออก เธอเดินออกไป กระทั่งถึงห้อง2202และกดกริ่งที่ประตู

ประตูยังไม่เปิดออก ก็มีเสียงหนุ่มสาวดังขึ้น

“อาเจ๋อ อุ๊ย? อย่าค่ะ….ของน่าจะมาส่งแล้ว”

“รอผมนะ เดี๋ยวมา”

จึงหนิงยืนยิ้มอยู่ที่ปากประตูอย่างอดไม่ได้ ของยังมาส่งไม่ถึงก็เริ่มกันแล้วเหรอเนี่ย? รีบร้อนกันจริงๆ?

ประตูถูกเปิดออกในไม่ช้า ชายผู้ออกมารับของสวมผ้า ขนหนูเพียงผืนเดียว บนร่างกายของเขายังคงมีไอน้ำอยู่

จิ่งหนิงไม่ได้มองหน้าเขา เธอยื่นกล่องใส่ของออกไป “843หยวนค่ะ? จ่ายเงินสดหรือว่าโอนคะ? ”

ชายผู้อยู่ตรงหน้าไม่ตอบ

ผ่านไปสองวินาที เสียงของชายผู้นั้นเอ่ยขึ้นว่า “.

หนิง?

จิ่งหนิงตกตะลึง เธอเงยหน้าขึ้นมอง

เมื่อเห็นชายที่ยืนอยู่ด้านหน้า ร่างกายกำยำ ผมเผ้าเปียก ปอน เขามีเพียงผ้าขนหนูสีขาวปิดบังร่างกายไว้ แสงไฟ เหลืองนวลส่องมายังร่างกายของเขา ผิวขาวเนียนและ ใบหน้าอันเกลี้ยงเกลาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาด

ใจ อีกทั้ง ทำตัวไม่ถูก

สีหน้าของจิงหนิงตกใจเสียจนหน้าซีด

“ปั่นเจ๋อ ใครคะ? ”

“ไม่มีอะไรครับ คนมาส่งของครับ”

มู่ยั่นเจ๋อรีบพูดขึ้นก่อนที่จิ่งหนิงจะเอ่ยอะไรออกมาจาก นั้นรีบหยิบเงินจากกระเป๋ายัดใส่มือเธอและหยิบของไป อย่างรวดเร็ว

เสียงประตูปิดลงดัง “ปัง?

จึงหนิงยังคงยืนอยู่ที่หน้าประตู มือของเธอเริ่มสั่น สีหน้า

เหนิงซีดเผือดลงทันที

เธอหัวเราะออกมาเบาๆ

และมองไปยังธนบัตรที่เขายัดเข้ามาไว้ในมือ นี่มันเรื่อง ตลกบ้าบออะไรกัน? เธอหัวเราะเยาะในความโง่เขลาของ ตัวเองจริงๆ

เสียงชายหนุ่มและหญิงสาวเล็ดลอดออกมานอกห้อง เธอก็ถอนหายใจยาวๆออกมา และกลั้นน้ำตาที่คลอเบ้าเอา

ไว้

เธอหันหลังกลับและเดินตรงไปยังลิฟต์และหยิบมือถือ

ออกมา

“สวัสดีค่ะ สถานีตำรวจใช่ไหมคะ? ฉันจะขอแจ้งความ ว่ามีชายหญิงค้าประเวณี ห้องพักเลขที่.”

ต่อมา20นาที

รถตำรวจคันหนึ่งจอดลงที่หน้าโรงแรมลี่หัว ข้างๆยังมีนัก ข่าวและช่างกล้องเดินตามมา เมื่อเห็นคนที่ถูกจับตัวออกมา นักข่าวก็พากันแห่เข้าไป

“นายมู่ มีคนแจ้งความว่าคุณเสพยาและซื้อบริการทาง เพศ จริงหรือไม่คะ? ”

“นายมู ในฐานะผู้สืบทอดมู่ชื่อกรุ๊ป คุณคิดว่าการกระทำ เช่นนี้เหมาะสมหรือไม่คะ?

“นายมู่ครับ ผู้หญิงคนที่อยู่กับคุณเป็นใครกันครับ? มี

ข่าวลือว่าเป็นดาราในวงการ จริงหรือไม่ครับ? ” “นายมู..”

มู่ยั่นเจ่อถูกนักข่าวล้อมไว้ แม้แต่ตำรวจก็ห้ามไว้ไม่ได้ เขากัดฟันกรอดๆและตะโกนออกมาว่า “ไปให้พ้น? ” นักข่าวพากันตกอกตกใจและถอยหลังออกไป

มู่ยั่นเจ๋อมองไปยังฝูงชน เขาพบเข้ากับจิ่งหนิง สายตา ของเขาแฝงไปด้วยความอาฆาตแค้น

นี่คือสิ่งที่คุณต้องการใช่ไหม?”

จึ่งหนิงเผยอยิ้ม สายตาแฝงไปด้วยการดูถูก

“คุณทำแบบนี้อย่าหวังว่าจะได้ผมไปครอง”

จิ่งหนิงเดินหน้าขึ้นไปแล้วเงื้อมือขึ้นต่อหน้านักข่าวและ

ตำรวจ

11 เพียะ!”

ฝ่ามือของเธอตบลงไปที่หน้าเขาอย่างจัง มู่ยั่นเจ่อถูกตบ เสียจนหน้าหัน

บรรยากาศรอบด้านเงียบลงทันใด

ทางตำรวจตกตะลึงอ้าปากค้าง ” คุณผู้หญิงคนนี้คือ.

%3D

%3D ขอโทษนะคะ มือลั่นไปเอง!”

เธอยิ้มด้วยแววตาเยือกเย็นแล้วทำท่าทางนวดข้อมือ แล้วมองไปยังมู่ยั่นเจ่อด้วยสายตาอาฆาต จากนั้นพูดด้วย น้ำเสียงเยือกเย็นว่า

กระดาษชำระที่ตกลงไปในชักโครก คุณคิดว่าใครยังจะต้องการอีกกัน?ตบเมื่อสักครู่เป็นแค่ดอกเบี้ยเท่านั้น ทุน ที่เหลือฉันจะให้คุณชดเชยภายในสามวัน!”

แววตาของมู่ยั่นเจ่อตื่นตระหนก อะไร! ทุนอะไร !!” จึ่งหนิงขมวดคิ้วขึ้น ” คุณแน่ใจนะว่าจะให้ฉันกระตุ้น

ความจำคุณ

มู่ยั่นเจ๋อก้มหน้าลงทันที

เธอหัวเราะหีๆ เป็นเสียงหัวเราะที่แฝงไปด้วยความดูถูก เหยียดหยาม

ทางตำรวจเห็นเช่นนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาโบกมือ เป็นสัญญาณว่าให้คุมตัวขึ้นรถไปได้ เมื่อเขาเดินทางจากไป บรรดานักข่าวก็ไม่ได้รีรอ รีบตาม

ไปทันที

เดิมทีที่จากประตูทางเข้าโรงแรมเต็มไปด้วยผู้คน ตอนนี้ กลับว่างเปล่าไม่เหลือใคร

จึงหนิงยังยืนอยู่ที่นั่นจนกระทั่งควบคุมอารมณ์ได้ เธอจึง ได้เตรียมตัวจากไป

แต่เธอคาดไม่ถึงว่าเมื่อหันหลังกลับไปจะพบเข้ากับแวว ตาคู่หนึ่งที่จับจ้องเธออยู่

ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำ ร่างกายกำยำสูงใหญ่ ผมสั้นจัด ทรงเป็นระเบียบ แววตาแหลมคมนั้นทำให้ผู้พบเห็น หลงใหล

ใบหน้าอันหล่อเหลาภายใต้แสงยามค่ำคืนแบบนี้ เผยให้เห็นออร่าที่กลมกลืนไปกับบรรยากาศรอบข้าง จิ่งหนิงรู้สึกว่าเธอเคยเห็นชายคนนี้มาก่อน

จากนั้นเธอหันไปเห็นเลขาของเขาที่ยืนอยู่ด้านหลัง อีก ทั้งรถปอร์เช่สีเงินที่อยู่ข้างๆ เธอก็คิดได้ว่าจะไปรู้จักบุคคล ที่โดดเด่นแบบนี้ได้ยังไงกัน?

เธอสลัดความคิดออกจากหัว หันหลังแล้วเดินจากไป จนกระทั่งร่างเล็กๆของเธอเข้าสู่รถยนต์ ลู่จิ่งเซินจึงได้

ละสายตามาจากเธอและถามขึ้นว่า “คนเมื่อกี้นี้คือใคร?

ซูมู่ที่ยืนอยู่ด้านหลังรีบตอบขึ้นว่า ท่านหมายถึงคนที่ถูก ตำรวจจับไปเมื่อกี้หรือครับ? เหมือนว่าจะเป็นคุณชายขอ งมู่ชื่อกรุ๊ปที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศเมื่อหลายวันก่อน”

ลู่จิ่งเซินขมวดคิ้วแล้วบอกว่า “ผมหมายถึงคนผู้หญิงคน เมื่อกี้”

“ครับ? ” ซูมู่งุนงงเล็กน้อย “ผู้หญิงคนไหนกัน? ”

เมื่อเห็นแววตาอันไม่พอใจของลู่จิ่งเซิน ซูมู่ก็รีบพูดขึ้นมา ว่า “ท่านประธานครับ ต้องขออภัยด้วยผมจะไปตรวจสอบ เดี๋ยวนี้”

“ช่างมันเถอะ”

สายตาของเขามองไปตามทางที่ผู้หญิงคนนั้นขับรถออก ไปแล้วยิ้มขึ้น เขาคล้ายกับนึกอะไรออกมาได้

จากนั้นเขารีบก้าวเดินเข้าไปด้านใน ในฐานะผู้แจ้งความ จิ่งหนิงจึงต้องเดินทางไปที่สถานี ตำรวจด้วย

เมื่อทำการบันทึกข้อความเสร็จแล้ว ผู้คนจากด้านนอกก็ พากันแห่กรูเข้ามา

คนที่เดินเข้ามาเป็นคนแรกก็คือคุณย่าจิ่งหวังเสว่เหมย เมื่อเธอเดินเข้ามาถึงก็ตบเข้าให้ที่หน้าของจิ่งหนิงอย่างจัง

“นังคนทรยศ? ”

หวังเสว่เหมยตัวสั่นสะท้านแล้วพูดว่า “แกรู้อยู่แก่ใจว่านั่น คือน้องสาวแท้ๆของแก ยังกล้าแจ้งตำรวจจับอีกอย่างนั้น เหรอ? แกต้องการจะยั่วให้ฉันโมโหตายยังไง? ”

จิงหนิงเช็ดโชคเลือดที่มุมปาก จากนั้นเงยดูหญิงชราที่ อยู่ตรงหน้า

“น้องสาวอย่างนั้นเหรอ? คุณหมายถึงจิ่งเสี่ยวหย่า? ”

“ไม่ต้องทำมาเป็นเสแสร้ง สื่อต่างๆพากันพูดกันให้แซ่ด บอกว่าคุณหนูจิงรองให้ท่าคู่หมั้นของคนอื่น แกไม่รู้เรื่อง หรือไง? ”

จึงหนิงก้มหน้าลงและยิ้มออกมาเบาๆ

“ผู้หญิงคนนั้นเป็นเธอนั่นเอง….ฉันก็คิดว่ากะหรี่ที่ไหน รีบร้อนจะหาเงินซะอีก ที่แท้ก็เป็นน้องสาวของฉันเอง? “

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท