ถัดจากเขา กู้ซือเฉียนและเธออยู่ในอารมณ์เดียวกัน
ก่อนที่เฉียวฉีจะหายตัวไป เขาและตระกูลหนานก็มีบัญชีที่ต้องชำระต่อกัน ซึ่งว่ากันตามเหตุผลแล้วเขาสมควรจะระมัดระวังและตั้งตนเป็นศัตรูกับชายที่อยู่ข้างหน้าเขา
แต่การนั่งอยู่ที่นี่ตอนนี้ บางทีอาจเป็นเพราะบรรยากาศโดยรอบ หรือบางทีทัศนคติของอีกฝ่ายก็ดูถ่อมตัวเกินไป แม้แต่ความโมโหสักนิดก็ไม่มี
หนานกงจิ่นคลี่ยิ้มและพูดว่า “คุณดูเหมือนพ่อของคุณมาก”
ร่างของเฉียวฉีสั่นเล็กน้อย
“คุณรู้จักพ่อฉันด้วยเหรอ?”
“อืม”
หนานกงจิ่นพยักหน้า และทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง ซึ่งข้างนอกนั้นฝนเริ่มตกลงมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
ฝนที่ตกอย่างต่อเนื่องในฤดูใบไม้ร่วง ยิ่งเพิ่มความรู้สึกเยือกเย็นให้แก่บรรยากาศ
เขาหรี่ตาเล็กน้อย แล้วพูดอย่างแผ่วเบา “เขาทำงานภายใต้บังคับบัญชาของฉันมาสิบห้าปีแล้ว ฉันกับเขาก็สนิทกันเหมือนกับพี่น้อง และเหมือนเพื่อนที่รู้ใจกัน”
เฉียวฉีขมวดคิ้ว
สัญชาตญาณบอกเธอว่า มีเรื่องราวบางอย่างในนั้น
จากนั้น ก็ได้ยินเขาถอนหายใจ
“น่าเสียดาย เขาเสียชีวิตตั้งแต่หนุ่มๆ และครั้งสุดท้ายนั้นฉันไม่เห็นแม้แต่หน้าเขาด้วยซ้ำ”
เฉียวฉีถามว่า “คุณบอกว่าเขาทำงานภายใต้บังคับบัญชาของคุณถูกไหม? แล้วคุณคือใคร? และเขาคือใคร? ความจริงแล้วคุณมีบทบาทอะไรในตระกูลหนาน? และเขาตายได้ยังไง?”
เมื่อเธอรัวคำถามชุดนี้ออกมา หนานกงจิ่นก็ดูเหมือนจะผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มอย่างผ่อนคลาย
“ฉันรู้ว่าคุณมีคำถามมากมายอยู่ในใจ ไม่ต้องรีบร้อนไปหรอก เพราะยังไงซะวันนี้ก็ยังมีเวลาอีกมาก พวกเราค่อยๆ ถามคำถามทีละข้อก็ได้”
เมื่อพูดจบ เขาก็หยุดไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็อธิบายว่า “ฉันเป็นใครน่ะเหรอ ในข้อนี้ ฉันไม่คิดว่าฉันต้องอธิบายอะไรมากมาย พวกคุณสามารถสัมผัสได้ด้วยตัวเอง”
เมื่อคำพูดเหล่านี้ออกมา เฉียวฉีและกู้ซือเฉียนต่างก็ตกใจเล็กน้อย
เดิมทีเป็นเพียงการคาดเดา แต่ตอนนี้สิ่งที่เขาพูด ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นความจริง
หนานกงจิ่นยังคงมีรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา เห็นได้ชัดว่าเขาและกู้ซือเฉียนมีอายุพอๆ กัน แต่ไม่รู้ว่าทำไม เมื่อถูกจ้องมองด้วยที่อ่อนโยนคู่นั้น ให้ความรู้สึกเหมือนว่าเขาคนนั้นผ่านเรื่องราวอะไรต่างๆ มาเป็นพันปี ราวกับกำลังมองดูคนแก่ที่ช่ำชองต่อโลกก็มิปาน
เขายิ้มและพูดว่า “ส่วนคำถามที่ว่าพ่อของคุณเป็นใคร ในเมื่อคุณรู้อยู่แล้วว่าฉันเป็นใคร คุณคงจะพอเดาได้แล้วสินะว่าเขาเป็นใคร”
เฉียวฉีขมวดคิ้ว
“คนสนิทของคุณ?”
“ไม่เลวนี่”
เขาหยุดไปชั่วขณะ และยกชาขึ้นจิบอีกครั้ง จากนั้นพูดต่อว่า “เขายังเป็นสมาชิกของตระกูลหนานอีกด้วย เขามีชื่อว่าหนานกงจิ่นเขาเติบโตเคียงข้างฉันมาตั้งแต่เด็ก ฉันปฏิบัติต่อเขาเหมือนเป็นทั้งลูกชายและเป็นทั้งเพื่อน ทุกสิ่งที่เขารู้ฉันก็เป็นคนสอนด้วยตัวเอง ฉันเคยคิดว่า เขาจะอยู่เคียงข้างฉันตลอดไป จงรักภักดีต่อฉันและทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อฉัน แต่แล้วท้ายที่สุดเขาก็ได้พบกับแม่ของคุณ”
“การแต่งงานของสมาชิกตระกูลหนานทั้งหมดต้องผ่านการอนุมัติจากตระกูล แต่ภูมิหลังของแม่คุณนั้นไม่สะอาด ทางตระกูลจึงไม่เห็นด้วย ทำให้สุดท้ายแล้วเขาก็หนีไปกับแม่ของคุณ”
เมื่อพูดถึงตรงนี้แล้ว เขาก็คลี่ยิ้มอย่างสดใสอีกครั้ง
“หนุ่มสาวพวกนี้น่ะ เลือดร้อนกันเสมอเลย บางทีก็หุนหันพลันแล่น ตอนนั้นฉันส่งคนออกไปตามหาเขา แต่เขาเองก็รู้จักฉันดีเหมือนที่ฉันรู้จักเขานั่นแหละ พอเขาซ่อนตัว มันก็ยากสำหรับฉันที่จะหาเขาเจอในเวลาเพียงน้อยนิด”
“ต้องใช้เวลาสามถึงห้าปีเลยทีเดียว ถึงจะหาคนคนนั้นพบ แต่ในตอนนั้นกลับพบว่า เขาป่วยและเสียชีวิตไปแล้ว”
เฉียวฉีขมวดคิ้ว
ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน แต่เธอรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
เธอถามว่า “มันบังเอิญขนาดนั้นเชียวเหรอ? จากสิ่งที่คุณพูด เมื่อก่อนเขาควรจะเป็นคนที่แข็งแกร่งคนหนึ่งเลยสิ เขาหนีมาจากพวกคุณเพียงไม่กี่ปีเองทำไมถึงตายแล้วล่ะ?”
หนานกงจิ่นยิ้มเล็กน้อย
“คุณนี่ฉลาดจริงๆ เหมือนว่าจะไม่มีอะไรปิดบังคุณได้เลย”
เขายื่นมือออกมา หยิบชาที่อยู่ข้างๆ ต้มอีกกาหนึ่ง จากนั้นก็พูดออกมาเนิบๆ “คุณพูดไม่ผิด เขาตายด้วยเหตุผลอื่นจริงๆ”
หัวใจของเฉียวฉีเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกจากอก
หนานกงจิ่นเงยหน้าขึ้นมองเธอ และเผยรอยยิ้มที่ดูลึกลับออกมา “คุณกำลังสงสัยว่าฉันฆ่าเขาใช่ไหม?”
นิ้วของเฉียวฉีที่ตอนแรกวางอยู่ข้างลำตัวกระชับขึ้นเล็กน้อย แต่ยังคงฝืนยิ้มออกมา
“เปล่า ก็เมื่อครู่คุณเพิ่งบอกเองนี่ ว่าคุณหาเขาไม่พบในปีนั้น”
หนานกงจิ่นยิ้มและส่ายหน้า “คุณไม่ได้พูดความจริง คุณกำลังสงสัยฉันอยู่ในใจล่ะสิ แต่ไม่เป็นไรหรอก เรื่องนี้ถูกลิขิตไว้แล้ว และถึงบอกคุณไปก็ไม่ได้เสียหายอะไร” ”
เขาหยุดเล็กน้อย ดวงตาของเขาจริงจังและสงบมาก
“เขาเสียชีวิตด้วยโรคทางพันธุกรรมในตระกูลหนานของเรา ซึ่งเกิดขึ้นกะทันหันพร้อมกับงานแต่งงานของคุณ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ไม่เพียงเฉียวฉีเท่านั้น แต่กู้ซือเฉียนที่อยู่ข้างๆ เธอก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปด้วย
หนานกงจิ่นกล่าวต่อว่า “ก่อนหน้าที่อาการของคุณกำเริบ ทุกคนก็คงเห็นแล้ว ว่าโรคชนิดนี้รุนแรงทั้งยังน่ากลัว และสามารถคร่าชีวิตผู้คนได้ในเวลาอันสั้น ซึ่งเป็นโรคทางพันธุกรรมเฉพาะในตระกูลหนานของเรา และเพื่อเป็นการควบคุมโรคนี้ เราได้พัฒนายาชนิดหนึ่งขึ้นมา เพียงรับประทานเป็นประจำก็สามารถระงับอาการได้ แต่ยานี้หายากมาก และมีให้เฉพาะคนในตระกูลเท่านั้น
เมื่อก่อนพ่อคุณทำงานเคียงข้างฉัน เขาจึงมียารักษาโรคที่เพียงพอ แต่เขากลับทรยศตระกูลและหนีไป และแน่นอนว่ายาต้องหมด
ในช่วงแรก เขายังสามารถหายาได้จากเพื่อนบางคน แต่สิ่งนี้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ขายออกเร็ว และทุกคนในตระกูลหนานก็ต้องการยานี้ จึงทำให้ไม่มีใครสามารถหายานี้ให้เขาได้เป็นเวลาหลายปี
ต่อมาเมื่อเขาขาดยา ก็ต้องตายในที่สุด ซึ่งนี่คือสาเหตุที่ทำให้เขาตาย ”
หลังจากที่หนานกงจิ่นพูดจบ ภายในห้องก็เงียบลงอีกครั้ง
เฉียวฉีเม้มปากแน่น กู้ซือเฉียนจับมือเธอไว้ใต้โต๊ะตัวยาว มือที่อบอุ่นและเอื้ออาทรกุมมือเล็กๆ ของเธอไว้ในฝ่ามือของเขา เธอจึงรู้สึกมีแรงขึ้นเล็กน้อย
เธอเงยหน้าขึ้น และมองตรงไปที่ หนานกงจิ่น
“แล้วที่เรียกเรามาครั้งนี้ คุณต้องการจะทำอะไร?”
หนานกงจิ่นพอใจกับทัศนคติของเธอมาก เพราะแม้ว่าเธอจะได้ยินข่าวร้ายเกี่ยวกับพ่อผู้ให้กำเนิดของตัวเอง แต่เธอก็ไม่ได้แสดงความตื่นตระหนกมากนัก
ใจเย็น แถมยังฉลาด นี่คือคุณลักษณะที่เขาชอบ
เขาเอนหลัง และพูดอย่างผ่อนคลาย “มันง่ายมาก พวกเรามาทำข้อตกลงกันเถอะ”
“ข้อตกลงอะไร?”
“คุณหาของบางอย่างให้ฉัน และฉันจะให้ยารักษาโรคแก่คุณ”
ทันทีที่เขาพูดจบ เฉียวฉีปฏิเสธโดยไม่คิด “ไม่”
หนานกงจิ่นหรี่ตาลง “คุณยังฟังไม่จบเลยว่าฉันจะให้พวกคุณช่วยหาอะไร ก็ปฏิเสธแล้วเหรอ?”
เฉียวฉีกล่าวอย่างเคร่งขรึม “เนื่องจากคุณสามารถที่จะนั่งอยู่ที่นี่ และส่ง หนานกงยวู่ไปปฏิบัติงานข้างนอกได้ นั่นก็หมายความว่าสถานะของคุณอยู่เหนือเขาอย่างแน่นอน ดูจากตระกูลหนานทั้งหมด ซึ่งครอบคลุมไปหลายทวีป อาจกล่าวได้ว่าเป็นกองกำลังใต้ดินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก และของที่พวกคุณไม่สามารถหาได้นั้น ก็ต้องเป็นของหายากจริงๆ
และตอนนี้คุณต้องการให้เราช่วยค้นหามัน แต่รางวัลที่คุณจ่ายคือให้ยาที่สามารถควบคุมโรคของฉันได้ชั่วคราวเท่านั้น และหากพบสิ่งนั้นจริงๆ แล้วยังไงต่อล่ะ? ฉันก็จะต้องพึ่งพาคุณไปตลอดชีวิตที่เหลือเพื่อขอยาจากคุณอย่างนั้นสิ? ”
เมื่อหนานกงจิ่นได้ยินคำพูดจากเธอ เขาก็รู้สึกประหลาดใจ จากนั้นก็คลี่ยิ้มออกมา
“น่าสนใจ ช่างน่าสนใจจริงๆ!”