จริงๆ แล้วความคิดของจิ่งหนิงก็คือ ผู้อาวุโสสองท่านอย่างไรก็อายุมากแล้ว ทนความเหนื่อยไม่ได้ ฟังเสียงดังโวยวายก็ไม่ได้
ตอนนี้อานอานเก้าขวบแล้ว อารมณ์สงบนิ่งกว่าตอนเป็นเด็กมาก ให้ผู้อาวุโสสองท่านช่วยดูแลเธอสักหน่อย แน่นอนว่าไม่ต้องใช้กำลังเยอะ แค่ดูการบ้านเธอบ้าง รวมถึงอยู่เป็นเพื่อนเธอในแต่ละวัน
และอานอานมีนิสัยใส่ใจ ผู้อาวุโสสองท่านอายุมากแล้ว ถึงจะบอกว่าชอบความสงบ แต่อย่างไรแล้วบางครั้งก็คิดถึงการอยู่ด้วยของลูกหลาน ช่วงไม่กี่เดือนนี้ให้เธอไปอยู่เป็นเพื่อนท่านปู่และนายหญิง มันก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย
แต่จิ้งเจ๋อน้อยไม่เหมือนกัน
อายุสามสี่ขวบ เป็นช่วงที่เสียงดังมากที่สุด ทำให้บ้านวุ่นวายเหมือนไก่บินเตลิดหมาวิ่งพล่านทั้งวัน ถ้าผู้อาวุโสสองท่านดูแลเขา เกรงว่าจะลำบากมาก
ทำไมนายหญิงจะไม่เข้าใจความคิดของเธอ จึงสงสารจิ่งหนิงไปอีกขั้น ลูบมือเธอ ถอนหายใจแล้วพูดขึ้น “หนิงหนิง สองสามปีนี้เธอลำบากมากแล้ว”
จิ่งหนิงยิ้มเล็กน้อย “ไม่ลำบากค่ะ มันเป็นสิ่งที่ฉันควรทำ”
ลู่หลันจือเห็นพวกเธอคุยกันอย่างออกรส จึงพูดแทรกเข้าไปอย่างไม่เต็มใจ
“จริงด้วยๆ ความลำบากของหนิงหนิงหลายปีที่ผ่านมานี้ฉันก็เห็นเหมือนกัน ครอบครัวเราโชคดีที่มีเธอ ไม่งั้นยุ่งเหยิงแน่”
เธอพูดไม่เป็น เมื่อพูดออกมา เดิมทีบรรยากาศที่อบอุ่นกลมกลืนก็กลายเป็นกระอักกระอ่วนอย่างมากทันที
นายหญิงจ้องเธออย่างไม่พอใจ “นี่เธอหมายความว่า เมื่อก่อนฉันจัดการแย่มากงั้นสิ?”
ลู่หลันจือตกตะลึง ในใจเกิดเสียง “ตึกตัก”
รีบยิ้มประจบสอพลอ “ไม่ใช่ค่ะ ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้นนะแม่ ฉันหมายความว่าหนิงหนิงจัดการดี”
จิ่งหนิงก็ยิ้มเช่นกัน
ตอนนี้นายหญิงไม่ดูแลจัดการแล้ว ตระกูลลู่ทั้งหมดปล่อยให้เธอดูแล ลู่จิ่งเซินก็เชื่อใจเธอมาก ลู่หลันจือก็รู้ว่าการดูแลจัดการของตัวเองมันหมดหวัง ด้วยเหตุนี้จึงประสบประแจงเธอมากขึ้นเรื่อยๆ
ท่าทีของจิ่งหนิงคือเป็นคนประเภทที่ถ้าคุณดีกับฉัน ฉันก็ดีกับคุณ เดินผ่านบันไดก็ต้องหลีกทาง
ด้วยเหตุนี้ก็ไม่เก๊ก ยิ้มพูดขึ้น “คุณย่าดีที่สุดอย่างแน่นอนค่ะ คุณน้าก็ไม่แย่ ก่อนหน้านี้ยังได้ยินมาว่า คุณลงทุนธุรกิจอะไร ทำเงินได้มหาศาลเลยไม่ใช่เหรอคะ?”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าลู่หลันจือก็แข็งทื่อ
แต่ไม่นานก็คืนสู่สภาพเดิม ยิ้มแห้งๆ พูดขึ้น “ใช่ ทำเงินได้ แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไร ฉันแค่เล่นๆ เท่านั้นแหละ ยังไงแล้วฉันก็ไม่มีหัวธุรกิจอะไร ใช่ไหมคะ? แม่”
พูดจบ ก็ยังขอความเห็นด้วยจากนายหญิงโดยเฉพาะ
นายหญิงทำเสียงฮึดฮัดเบาๆ “เรื่องนี้เธอก็รู้ตัวเองดี”
ลู่หลันจือมีสีหน้าอับอาย จิ่งหนิงก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก เห็นเวลาใกล้หมดลง ก็สั่งป้าหลิวเอาอาหารมา
“คุณปู่ คุณย่า เราไปทานอาหารที่ห้องอาหารกันดีไหม?”
ท่านปู่ลู่และนายหญิงหชินล้วนพยักหน้า ผู้คนกลุ่มหนึ่งเดินไปที่ห้องอาหารด้วยกัน
ทานอาหารเสร็จแล้ว นายหญิงและท่านปู่ก็กลับไปก่อน แต่ลู่หลันจือไม่รีบร้อนกลับ
เธอนั่งในห้องรับแขก ประสานนิ้วเข้าด้วยกันนิดหน่อย มองจิ่งหนิงเดินลงมาจากชั้นบน ก็รีบลุกขึ้น “หนิงหนิง เธอลงมาทำไม? เธอไม่พักกลางวันเหรอ?”
จิ่งหนิงรู้สึกตลกมาก ครุ่นคิดว่าเธอยังอยู่ที่นี่? ตัวเองจะไปพักกลางวันได้อย่างไร?
แต่เธอก็ไม่พูดมันออกมา แค่ยิ้มแล้วถามขึ้น “คุณน้ามีเรื่องอะไรเหรอคะ?”
ลู่หลันจือสีหน้าแข็งทื่อ รอยยิ้มกระอักกระอ่วน “ฉ-ฉันมีเรื่องอยากคุยกับเธอสักหน่อย”
จิ่งหนิงพยักหน้า
จริงๆ แล้วเธอก็เดาไว้นานแล้ว วันนี้ตั้งแต่ลู่หลันจือเข้ามา ความรู้สึกที่มอบให้มันผิดปกติ
เมื่อก่อนถึงแม้เธอจะเป็นมิตรกับตน แต่ไม่ถึงกับประจบประแจง อย่างมากที่สุดคือเป็นมิตรเพราะให้เกียรติ
วันนี้กลับยกย่องเธอหลายครั้ง น่าจะมีเรื่องขอร้องตน
เมื่อคิดเช่นนี้ จิ่งหนิงก็เข้าใจขึ้นบ้าง เดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามเธอ “คุณน้ามีเรื่องอะไร พูดได้เลยไม่ต้องเกรงใจ”
ลู่หลันจือก็นั่งลงเช่นกัน ลังเลพักใหญ่ ก่อนพูดขึ้นอย่างกังวล “เรื่องนี้ถ้าฉันบอกเธอ เธอห้ามบอกนายหญิงกับท่านปู่ และห้ามบอกจิ่งเซิน ได้ไหม?”
จิ่งหนิงคิด แล้วพยักหน้าตกลง
“ฉันไม่พูดก็ได้ค่ะ แต่ถ้าพวกเขารู้จากช่องทางอื่น นั่นก็โทษฉันไม่ได้นะคะ”
ลู่หลันจือรีบพยักหน้า “ฉันเข้าใจ ฉันเข้าใจ”
ขณะที่เธอพูด ก็ลังเลอีกครั้ง แล้วก็พูดออกมาเหมือนตัดสินใจแล้ว
“หนิงหนิง คืองี้นะ ก่อนหน้านี้ฉันไม่ได้ลงทุนธุรกิจใช่ไหมล่ะ ธุรกิจนั้นน่ะจริงๆ แล้วมันทำเงินได้ดีมากๆ ตลอดเลย ก็คือทำเงินนี้ได้แล้ว แต่ก็ต้องลงทุนไปเรื่อยๆ ไม่ลงทุนเงินก็เอาออกมาไม่ได้ เธอเข้าใจฉันไหม?”
จิ่งหนิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ปลายนิ้วแตะเข่าเบาๆ โดยไม่รู้ตัว ผ่านไปสักพักก็พยักหน้า “ฉันเข้าใจค่ะ”
ลู่หลันจือผ่อนคลายทันที ยิ้มแล้วพูดขึ้น “เธอเข้าใจก็ดีแล้ว ตอนนี้ฉันน่ะลงทุนเข้าไปหนึ่งส่วนแล้ว แต่พบว่ามันไม่พอ ก็เลยอยากมาถามเธอว่าสะดวกให้ฉันยืมเงินไหม เธอไม่ต้องห่วงนะ นี่คือเงินที่ฉันยืม รอฉันถอนเงินที่ลงทุนเข้าไปออกมาได้ก่อน ต้องเอามาคืนแน่นอน!”
จิ่งหนิงมองเธอ ลู่หลันจือบิดมืออย่างประหม่า ทำหน้าคาดหวัง
เธอถามเสียงเบา “ไม่ทราบว่าคุณน้าลงทุนธุรกิจอะไรเหรอคะ?”
“อัญมณี เธอก็รู้ใช่ไหมล่ะ ฉันชอบทำมัน”
จิ่งหนิงพยักหน้าอย่างเข้าใจ
ลู่หลันจือมีชื่อเสียงในการรักหยก เรื่องนี้ไม่เป็นความเท็จ เมื่อก่อนเธอชอบสะสมหยก ชอบซื้อหยก ต่อมาก็พัฒนาไปเป็นเล่นพนันหินหยก ตอนนี้……ฟังน้ำเสียงเธอ มันยิ่งใหญ่ขึ้น?
เธอเลิกคิ้วนิดหน่อย ถามขึ้นหยั่งเชิง “หรือคุณน้าจะทำเหมืองแร่เหรอ?”
ทันใดนั้นลู่หลันจือก็เบิกตากว้างอย่างประหลาดใจ
สายตาที่มองจิ่งหนิง เหมือนมองสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง
“โอ๊ย ฉันบอกแล้วว่าหนิงหนิงของเราน่ะฉลาด ฉันยังไม่ได้พูด ทำไมเธอเดาถูกล่ะ?”
จิ่งหนิงยิ้ม จริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้ยากอะไร
ก่อนหน้านี้ตั้งแต่ลู่หลันจือเล่นการพนันกับคนอื่น หลังจากสูญเสียทรัพย์สินในครอบครัวทั้งหมดไป นายหญิงก็เข้มงวดกับบัตรการเงินของเธอมาก สองสามปีมานี้เธอก็ทำตัวดีขึ้นมาก
พอทำตัวดีขึ้น ก็เก็บเงินได้ไม่น้อยโดยธรรมชาติ ถึงแม้จิ่งหนิงจะไม่รู้จำนวนเงินอย่างละเอียด แต่ต้องมีหลายร้อยล้านแน่นอน
เงินเยอะแบบนี้ แต่ตอนนี้กลับมาหาเธอเพื่อยืมเงินอีกครั้ง แถมยังบอกว่าลงทุนธุรกิจขนาดใหญ่เกี่ยวกับหยก นอกจากซื้อเหมืองแล้วก็ไม่มีอย่างอื่น
เธอไม่คัดค้านที่ลู่หลันจือทำสิ่งเหล่านี้ แค่รู้ว่าเธอดูเหมือนฉลาด แต่ความจริงสมองเรียบง่ายมาก จะถูกคนหลอกถ้าไม่สนใจเต็มที่ ถึงแม้จะทรงพลังและมีรากฐานมั่นคงอย่างตระกูลลู่ บางครั้งก็ทำอะไรกับอีกฝ่ายไม่ได้
คิดเช่นนี้แล้ว เธอก็ครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วถามขึ้น “คุณต้องการยืมเท่าไรคะ?”
ลู่หลันจือยิ้มชอบใจยกนิ้วขึ้นมา “ไม่เยอะหรอก แค่หนึ่งร้อยล้านก็พอ”
จิ่งหนิงขมวดคิ้ว
หนึ่งร้อยล้าน ถึงแม้ว่าสำหรับตระกูลลู่ ก็ไม่ใช่เงินจำนวนน้อย
เธอไม่ได้ตอบตกลงทันที แต่พูดเสียงเข้ม “เรื่องนี้ฉันต้องปรึกษาจิ่งเซิน ไม่สามารถผลีผลามให้คุณได้ ถ้าเขาตกลง ถึงตอนนั้นฉันค่อยเอาเงินให้คุณ”
ลู่หลันจือได้ยินดังนั้น ก็จ้องเขม็งทันที
“ไม่ได้ ฉันบอกแล้วไงว่าให้พวกเขารู้ไม่ได้ เธอฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไง?”