วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน – บทที่ 912 คนดีผีคุ้ม

บทที่ 912 คนดีผีคุ้ม

ด้านในปราสาท ลู่จิ่งเซินและจิ่งหนิงเตรียมตัวอย่างดี เพื่อรอกู้ซือเฉียนกลับมา

พอเขากลับมาถึง ขณะที่เดินเข้าไปในห้องรับแขก ลู่จิ่งเซินก็พูดขึ้นว่า “เรื่องหนานมู่หรงทางนั้นเป็นยังไงบ้าง?”

กู้ซือเฉียนโยนของลงไปบนโต๊ะ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “อย่างที่คิดไว้ เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกเขาสักเท่าไร มันถูกสั่งการมาจากสำนักงานใหญ่”

ลู่จิ่งเซินยิ้มออกมาเล็กน้อย “สายที่ฉันส่งไปก็มีข่าวมาบอกเหมือนกัน ตอนนี้ทั้งสามคนนั่นถูกเราคุมตัวไว้แล้ว พวกเขายอมรับว่าพวกเขาทำตามคำสั่งที่ให้มาลักพาตัวเฉียวฉี ส่วนเรื่องคนที่ออกคำสั่งนั้น เป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งในตระกูลหนาน ชื่อว่าหนานกงซวู่”

คิ้วของกู้ซือเฉียนขมวดแน่น

“หนานกงซวู่?”

“ใช่”

ลู่จิ่งเซินหยิบเอาข้อมูลที่เขาเพิ่งได้รับออกมาวางเรียงไว้บนโต๊ะ หลังจากนั้นพูดต่อด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “มีการแบ่งพรรคแบ่งพวกในตระกูลหนานขึ้นมาอย่างซับซ้อน ซึ่งนั่นมันห่างไกลจากคำว่าสงบสุขอย่างที่พวกเขาแสดงออกมามาก”

“จากการตรวจสอบ ตระกูลของพวกเขาทั้งหมดรับคำสั่งมาจาก หนานกงยวู่ แต่เนื่องจาก หนานกงยวู่ อาศัยอยู่ในยุโรปมานานหลายปีแล้ว แถมช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาก็ไม่ค่อยจัดการเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นเรื่องต่าง ๆ ในตระกูลจึงถูกจัดการโดยผู้อาวุโสที่มีอำนาจรองลงมา”

“ตระกูลหนานมีผู้อาวุโสหลักอยู่สี่คน ทั้งหมดล้วนเป็นพี่น้องหรือไม่ก็เป็นลูกหลานผู้อาวุโสในตระกูลรุ่นก่อน ๆปัจจุบันผู้อาวุโสทั้งสี่คนนี้ก็คือหนานกงเทียน อีกคนก็คือ หนานกงเสว่ แล้วก็ หนานกงหวู่ ส่วนคนสุดท้ายที่เป็นคนวางแผนลักพาตัวนี้ก็คือหนานกงซวู่”

“เท่าที่ฉันรู้มา ถึงแม้ผู้อาวุโสทั้งสี่คนนี้จะมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกันอย่างลึกซึ้ง แต่พวกเขาก็ไม่ได้สนิทสนมกันอย่างพี่น้องแท้ ๆ ปกติ หนานกงเทียนกับ หนานกงหวู่จะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอยู่แล้ว แต่ หนานกงเสว่กับ หนานกงซวู่กลับแบ่งกันอยู่คนละฝ่าย”

“แต่เพราะพวกเขาให้การสนับสนุน หนานกงยวู่ ซึ่งเป็นผู้อาวุโสเพียงหนึ่งเดียวอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะฉะนั้น โดยปกติจึงไม่มีความขัดแย้งอะไรที่หนักหนาเกิดขึ้น”

“ความขัดแย้งที่หนักที่สุดเกิดขึ้นเพียงหนึ่งครั้งตอนครึ่งเดือนที่ผ่านมา หรือก็คือไม่กี่วัน ก่อนที่เฉียวฉีจะหายตัวไป สาเหตุของความขัดแย้งที่เกิดขึ้นยังไม่ค่อยชัดเจนเท่าไร แต่ถ้าดูตามท่าทีของพวกเขาหลังจากนั้น ก็จะเห็นได้ว่าความขัดแย้งของพวกเขาในครั้งนี้ เนื้อหามันน่าจะเกี่ยวข้องกับแผนการในส่วนหลังนี่”

“แต่ตอนนี้ เนื่องจากเราพบว่าการหายตัวไปของเฉียวฉีนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับ หนานกงยวู่ เราก็เลยพอสรุปได้จากสิ่งเหล่านี้ว่า หนานกงยวู่ และ หนานกงเสว่ น่าจะให้การสนับสนุนการเคลื่อนไหวพวกนี้อยู่”

“ส่วนเหตุผลในการลักพาตัวเฉียวฉีไป ก็น่าจะเป็นอย่างที่ สวี่ฉางเปยบอก ก็คือในยามที่ต้องต่อกรกับกลุ่มมังกร ก็แค่อยากมีอะไรไว้ข่มขู่นายเท่านั้น แต่มันก็อาจจะมีเหตุผลอื่นที่เราไม่รู้ด้วย”

กู้ซือเฉียนเมื่อได้ยินเขาวิเคราะห์เรื่องราวต่าง ๆ ออกมาแบบนี้ สีหน้าก็ยิ่งเคร่งขรึมกว่าเดิม

เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “พวกเขาแค่อยากยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว”

“อาจจะใช่”

ลู่จิ่งเซินพยักหน้ารับเบา ๆ “ตั้งใจจะใช้ประโยชน์จากตอนที่ กลุ่มชาวจีนลงมือกับเฉียวฉี ส่งคนไปดักรอไว้ก่อน เพื่อเป็นการสุมไฟเข้าไปสู่ กลุ่มชาวจีนและเมื่อถึงตอนที่เราและ กลุ่มชาวจีนสู้กันจนได้รับความเสียหายทั้งสองฝ่าย ถึงตอนนั้นพวกเขาก็จะเข้ามาแทรก แล้วก็จะกลายเป็นผู้ชนะคนสุดท้ายไป รอให้ทำลาย กลุ่มชาวจีนจนหมด พร้อมกับยึดครองอาณาเขตของ กลุ่มชาวจีนไปจนเกลี้ยง หลังจากนั้นมันก็ค่อยหันมาจัดการกับเราต่อ”

“และถึงตอนนั้น พวกเราก็คงได้รับบาดเจ็บจนสาหัส อีกอย่างเฉียวฉีก็ตกอยู่ในกำมือของพวกเขาด้วย ทำให้นายเองไม่ต่างจากถูกตัดแขนตัดขา ซึ่งมันก็คงจะเป็นเรื่องง่ายถ้าพวกเขาจะกลืนกินกลุ่มมังกรทั้งหมด”

สีหน้าของกู้ซือเฉียนเคร่งขรึมยิ่งกว่าเดิม

ในใจของจิ่งหนิงเริ่มรู้สึกหวาดผวาเล็กน้อย

เธอไม่เคยคิดเลยว่าแค่การหายตัวไป มันจะมีแผนการที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ซ่อนอยู่เบื้องหลัง

เธอจึงถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงว่า “แล้วตอนนี้เราควรจะทำยังไงดี?”

ลู่จิ่งเซินและกู้ซือเฉียนมองมาทางเธอพร้อมกัน

ลู่จิ่งเซินยิ้มพร้อมกับตอบว่า “ในเมื่อรู้ความจริงทั้งหมดแล้ว ก็ต้องทำลายแผนของพวกเขาลงอย่างแน่นอน จากนั้นก็เริ่มจัดการให้สิ้นซาก”

ดังนั้น ในวันต่อมา กู้ซือเฉียนก็พาคนของเขาออกเดินทางทันที

เรื่องในครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องให้ลู่จิ่งเซินและจิ่งหนิงยื่นมือเข้ามาช่วยอีกแล้ว เพราะถึงยังไง อำนาจของตระกูลหนานที่ฝังรากลึกก็ถือเป็นเรื่องจริง แต่ครั้งนี้ การที่พวกเขาแอบเคลื่อนไหวกันในเงามืด เพื่อเป็นการหลอกใช้กลอุบายก็เป็นเรื่องจริงเช่นกัน

แต่ถ้าขึ้นชื่อว่ากลอุบาย มันก็จะถูกพบเห็นไม่ได้ และในเมื่อเห็นไม่ได้ เขาก็เลยไม่กล้าที่ส่งคนออกไปต่อกรกับพวกนั้นมากเกินไป

ดังนั้น กู้ซือเฉียนจึงพาแค่คนกลุ่มหนึ่งเดินทางออกไปเพื่อช่วยหญิงสาวของเขา แค่นั้นก็ถือว่ามากพอแล้ว

อีกอย่าง คนทั้งสามนั่นก็ถูกพวกเขาคุมตัวเอาไว้เรียบร้อย สถานที่ที่ใช้กักขังเฉียวฉี รวมถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นที่นั่น พวกเขาก็รู้หมดแล้ว

ตอนนี้ทางนั้นคงยังไม่รู้ข่าวว่า พรรคพวกของเขาได้คุมตัวทั้งสามคนนั้นเอาไว้

ดังนั้น วิธีการที่ดีที่สุดไม่ใช่ว่าทั้งสองฝ่ายจะต้องสู้กันให้ตายไปข้าง แต่เป็นการใช้ประโยชน์จากการที่พวกนั้นยังไม่รู้ตัว แอบย่องเข้าไปโดยที่พวกนั้นยังไม่รู้ตัว พวกมันพากันลักเอาคนไปยังไง พวกเขาก็จะลักกลับออกมาอย่างนั้น

ด้วยวิธีการนี้ก็จะไม่มีการหักหน้ากันเกิดขึ้น แถมยังสามารถหลีกเลี่ยงภาวะวิกฤตไปได้ด้วย เพราะถ้าหากเกิดการปะทะครั้งใหญ่ขึ้นมาอีกครั้งล่ะก็ สุดท้ายแล้วก็คงไม่มีใครได้รับผลประโยชน์ใด ๆ เลย

โชคดี ที่การเคลื่อนไหวในครั้งนี้ดูเหมือนจะราบรื่น

กู้ซือเฉียนพาคนของเขามาถึงที่หมายได้อย่างเรียบง่ายโดยไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรมาก จากนั้นจึงช่วยเฉียวฉีออกมา

ในตอนที่ช่วยเธอออกมานั้น เฉียวฉียังสลบอยู่

เนื่องจากเพื่อให้ง่ายต่อการควบคุมตัว พวกนั้นก็เลยต้องคอยฉีดยานอนหลับให้เธอ ดังนั้น เฉียวฉีในช่วงที่ผ่านมา จึงได้แต่นอนสลบอยู่ในนี้ตลอด

หลังจากผ่านไปครึ่งเดือน เมื่อได้เห็นหญิงสาวอันเป็นที่รักของตัวเองอีกครั้ง กู้ซือเฉียนทั้งรู้สึกตื่นเต้นและปวดใจ

พอเข้าไปในรถ เขาก็รีบสำรวจร่างกายเธอทุกซอกทุกมุมทันที

ก่อนจะพบว่านอกจากอาการสลบไสลแบบนี้แล้ว ก็ไม่มีบาดแผลอะไรบนร่างกายอีก เขาถึงได้โล่งใจขึ้นมาหน่อย

แต่เพราะสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เฉียวฉีที่ถูกขังเอาไว้กว่าครึ่งเดือน เธอก็เลยผอมบางลงไปมาก

ใบหน้าอันบอบบางนั้นซีดเซียวไร้ร่องรอยของสีเลือด ดวงตาปิดสนิท เธอนอนจมอยู่ในอ้อมแขนของเขา ไม่ต่างจากกระดาษบางเบาสีขาวแผ่นหนึ่ง ราวกับว่าแค่มือสัมผัสก็อาจจะแตกสลายได้

กู้ซือเฉียนรู้สึกเหมือนกับว่าหัวใจของเขาถูกบีบรัด

หญิงสาวถูกนำตัวกลับปราสาททันทีในคืนนั้น และเมื่อเธอกลับถึงบ้าน เขาก็รีบเรียกหมอให้เข้ามาตรวจร่างกายเธอทันที

คุณหมอเข้ามาตรวจร่างกายของเธออย่างละเอียด ซึ่งก็พบว่าร่างกายของเธอนั้นไม่มีอะไรผิดปกติ แต่เธออาจจะมีอาการสับสนเล็กน้อย ตอนนี้สาเหตุที่ทำให้เธอนอนสลบอยู่ ก็เป็นเพราะว่ามีการใช้ยานอนหลับเกินขนาด

ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เธอสับสนก็คงเป็นเพราะเหตุผลนี้ด้วยเช่นกัน

พอกู้ซือเฉียนได้ยินดังนั้น สีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมทันที

ถ้าไม่ใช่เพราะลู่จิ่งเซินและจิ่งหนิงยังคอยดูอยู่ข้าง ๆ บางทีเขาอาจจะรีบออกไปคิดบัญชีกับคนพวกนั้นเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยก็ได้

โชคดีที่หลังจากคุณหมอวินิจฉัยเรียบร้อยแล้ว ก็บอกว่าไม่มีปัญหาอะไรมาก แค่ต้องพักผ่อนสักช่วงหนึ่ง แล้วก็ทานยาเพื่อปรับสมดุลร่างกาย หลังจากนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว

ทุกคนถึงจะวางใจได้

ขณะเดียวกัน นี่ก็ดึกมากแล้ว

จิ่งหนิงมองดูหญิงสาวที่ไร้เดียงสาและบอบบางนอนอยู่บนเตียง ก่อนจะคิดขึ้นมาได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นหญิงสาวอันเป็นที่รักของกู้ซือเฉียน

เธออดยิ้มออกมาไม่ได้ ก่อนจะพูดว่า “โชคดีที่เธอถูกช่วยออกมาได้ ว่ากันว่าคนดีผีคุ้ม ในเมื่อเธอถูกช่วยออกมาได้ เธอก็จะไม่เป็นอะไรอีกแล้วล่ะ กู้ซือเฉียน นายไม่ต้องเป็นกังวลมากเกินไปนะ”

กู้ซือเฉียนมองไปที่เธอ พร้อมกับพยักหน้าเบา ๆ

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

Status: Ongoing

บทที่ 1 จับชู้คาเตียง

“มีถุงยางดูเร็กซ์ ดูอัล เพลย์เชอร์ไซซ์กลางไหม? ”

“มีค่ะ”

“แล้วก็ไวเบรเตอร์กับชุดนางแมวสวาทชุดหนึ่งด้วย”

“ได้ค่ะ จัดส่งที่ไหนคะ? ”

“โรงแรมลี่หัว ห้อง2202”

“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”

เมื่อจิ่งหนิงมาถึงโรงแรมลี่หัวก็เป็นเวลาห้าทุ่มแล้ว

เวลาดึกดื่นขนาดนี้ สำหรับคนที่ทำธุรกิจสินค้าผู้ใหญ่ แบบนี้ การนำส่งสินค้าด้วยตนเองไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่

นัก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงสาวหน้าตาสะสวยอย่างเธอ

แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ทุก สิ่งทุกอย่างต้องแลกมาด้วยเงิน อีกอย่างมู่ยั่นเจ๋อกำลังจะ กลับมาอีกไม่กี่วันนี้

คบกันมาตั้งหกปี แต่เวลากว่าครึ่งเป็นรักระยะไกล เขา ต้องดูแลธุรกิจทั้งในและนอกประเทศ เธอจะทำตัววุ่นวาย ส่งผลต่อการทำงานของเขาไม่ได้

ดีที่ความรักของทั้งสองคนนั้นค่อนข้างหวานชื่นนอกจากงานในแต่ละวันแล้ว เธอยังมีธุรกิจเล็กๆของตัวเอง ด้วย อีกไม่กี่วันเป็นวันเกิดของเขา เธอตั้งใจจะมอบของ ขวัญให้เขาอย่างเซอร์ไพรซ์

เมื่อคิดได้ดังนั้น จึงหนิงก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

เธอขยับหมวกสีดำที่ใส่มาให้ปิดลงมาบังหน้าไว้ จากนั้น เดินถือกล่องสินค้าเข้าไปด้านใน

โรงแรมลี่หัว เป็นสถานที่ราคาแพงขึ้นชื่อของเมืองจิ้น ผู้คนที่เดินทางมาเข้าพักล้วนเป็นระดับมหาเศรษฐี

ความโอ่อ่างดงามที่ห้องโถงไม่ต้องพูดถึง แม้แต่ลิฟต์ก็ ถูกประดับตกแต่งด้วยเงินและทองคำ คนที่ยืนอยู่ด้านใน ถูกแสงไฟส่องสว่างไสว

จิ่งหนิงเดินถือกล่องเข้าไปแล้วมองหาจุดหมาย

ใบหน้าอันงดงามถูกปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง มองเห็นเพียงดวงตา เป็นประกายคู่นั้น แฝงไปด้วยความมั่นใจ

ลิฟต์ขึ้นสู่ชั้น22 “ตั้ง” ประตูเปิดออก เธอเดินออกไป กระทั่งถึงห้อง2202และกดกริ่งที่ประตู

ประตูยังไม่เปิดออก ก็มีเสียงหนุ่มสาวดังขึ้น

“อาเจ๋อ อุ๊ย? อย่าค่ะ….ของน่าจะมาส่งแล้ว”

“รอผมนะ เดี๋ยวมา”

จึงหนิงยืนยิ้มอยู่ที่ปากประตูอย่างอดไม่ได้ ของยังมาส่งไม่ถึงก็เริ่มกันแล้วเหรอเนี่ย? รีบร้อนกันจริงๆ?

ประตูถูกเปิดออกในไม่ช้า ชายผู้ออกมารับของสวมผ้า ขนหนูเพียงผืนเดียว บนร่างกายของเขายังคงมีไอน้ำอยู่

จิ่งหนิงไม่ได้มองหน้าเขา เธอยื่นกล่องใส่ของออกไป “843หยวนค่ะ? จ่ายเงินสดหรือว่าโอนคะ? ”

ชายผู้อยู่ตรงหน้าไม่ตอบ

ผ่านไปสองวินาที เสียงของชายผู้นั้นเอ่ยขึ้นว่า “.

หนิง?

จิ่งหนิงตกตะลึง เธอเงยหน้าขึ้นมอง

เมื่อเห็นชายที่ยืนอยู่ด้านหน้า ร่างกายกำยำ ผมเผ้าเปียก ปอน เขามีเพียงผ้าขนหนูสีขาวปิดบังร่างกายไว้ แสงไฟ เหลืองนวลส่องมายังร่างกายของเขา ผิวขาวเนียนและ ใบหน้าอันเกลี้ยงเกลาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาด

ใจ อีกทั้ง ทำตัวไม่ถูก

สีหน้าของจิงหนิงตกใจเสียจนหน้าซีด

“ปั่นเจ๋อ ใครคะ? ”

“ไม่มีอะไรครับ คนมาส่งของครับ”

มู่ยั่นเจ๋อรีบพูดขึ้นก่อนที่จิ่งหนิงจะเอ่ยอะไรออกมาจาก นั้นรีบหยิบเงินจากกระเป๋ายัดใส่มือเธอและหยิบของไป อย่างรวดเร็ว

เสียงประตูปิดลงดัง “ปัง?

จึงหนิงยังคงยืนอยู่ที่หน้าประตู มือของเธอเริ่มสั่น สีหน้า

เหนิงซีดเผือดลงทันที

เธอหัวเราะออกมาเบาๆ

และมองไปยังธนบัตรที่เขายัดเข้ามาไว้ในมือ นี่มันเรื่อง ตลกบ้าบออะไรกัน? เธอหัวเราะเยาะในความโง่เขลาของ ตัวเองจริงๆ

เสียงชายหนุ่มและหญิงสาวเล็ดลอดออกมานอกห้อง เธอก็ถอนหายใจยาวๆออกมา และกลั้นน้ำตาที่คลอเบ้าเอา

ไว้

เธอหันหลังกลับและเดินตรงไปยังลิฟต์และหยิบมือถือ

ออกมา

“สวัสดีค่ะ สถานีตำรวจใช่ไหมคะ? ฉันจะขอแจ้งความ ว่ามีชายหญิงค้าประเวณี ห้องพักเลขที่.”

ต่อมา20นาที

รถตำรวจคันหนึ่งจอดลงที่หน้าโรงแรมลี่หัว ข้างๆยังมีนัก ข่าวและช่างกล้องเดินตามมา เมื่อเห็นคนที่ถูกจับตัวออกมา นักข่าวก็พากันแห่เข้าไป

“นายมู่ มีคนแจ้งความว่าคุณเสพยาและซื้อบริการทาง เพศ จริงหรือไม่คะ? ”

“นายมู ในฐานะผู้สืบทอดมู่ชื่อกรุ๊ป คุณคิดว่าการกระทำ เช่นนี้เหมาะสมหรือไม่คะ?

“นายมู่ครับ ผู้หญิงคนที่อยู่กับคุณเป็นใครกันครับ? มี

ข่าวลือว่าเป็นดาราในวงการ จริงหรือไม่ครับ? ” “นายมู..”

มู่ยั่นเจ่อถูกนักข่าวล้อมไว้ แม้แต่ตำรวจก็ห้ามไว้ไม่ได้ เขากัดฟันกรอดๆและตะโกนออกมาว่า “ไปให้พ้น? ” นักข่าวพากันตกอกตกใจและถอยหลังออกไป

มู่ยั่นเจ๋อมองไปยังฝูงชน เขาพบเข้ากับจิ่งหนิง สายตา ของเขาแฝงไปด้วยความอาฆาตแค้น

นี่คือสิ่งที่คุณต้องการใช่ไหม?”

จึ่งหนิงเผยอยิ้ม สายตาแฝงไปด้วยการดูถูก

“คุณทำแบบนี้อย่าหวังว่าจะได้ผมไปครอง”

จิ่งหนิงเดินหน้าขึ้นไปแล้วเงื้อมือขึ้นต่อหน้านักข่าวและ

ตำรวจ

11 เพียะ!”

ฝ่ามือของเธอตบลงไปที่หน้าเขาอย่างจัง มู่ยั่นเจ่อถูกตบ เสียจนหน้าหัน

บรรยากาศรอบด้านเงียบลงทันใด

ทางตำรวจตกตะลึงอ้าปากค้าง ” คุณผู้หญิงคนนี้คือ.

%3D

%3D ขอโทษนะคะ มือลั่นไปเอง!”

เธอยิ้มด้วยแววตาเยือกเย็นแล้วทำท่าทางนวดข้อมือ แล้วมองไปยังมู่ยั่นเจ่อด้วยสายตาอาฆาต จากนั้นพูดด้วย น้ำเสียงเยือกเย็นว่า

กระดาษชำระที่ตกลงไปในชักโครก คุณคิดว่าใครยังจะต้องการอีกกัน?ตบเมื่อสักครู่เป็นแค่ดอกเบี้ยเท่านั้น ทุน ที่เหลือฉันจะให้คุณชดเชยภายในสามวัน!”

แววตาของมู่ยั่นเจ่อตื่นตระหนก อะไร! ทุนอะไร !!” จึ่งหนิงขมวดคิ้วขึ้น ” คุณแน่ใจนะว่าจะให้ฉันกระตุ้น

ความจำคุณ

มู่ยั่นเจ๋อก้มหน้าลงทันที

เธอหัวเราะหีๆ เป็นเสียงหัวเราะที่แฝงไปด้วยความดูถูก เหยียดหยาม

ทางตำรวจเห็นเช่นนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาโบกมือ เป็นสัญญาณว่าให้คุมตัวขึ้นรถไปได้ เมื่อเขาเดินทางจากไป บรรดานักข่าวก็ไม่ได้รีรอ รีบตาม

ไปทันที

เดิมทีที่จากประตูทางเข้าโรงแรมเต็มไปด้วยผู้คน ตอนนี้ กลับว่างเปล่าไม่เหลือใคร

จึงหนิงยังยืนอยู่ที่นั่นจนกระทั่งควบคุมอารมณ์ได้ เธอจึง ได้เตรียมตัวจากไป

แต่เธอคาดไม่ถึงว่าเมื่อหันหลังกลับไปจะพบเข้ากับแวว ตาคู่หนึ่งที่จับจ้องเธออยู่

ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำ ร่างกายกำยำสูงใหญ่ ผมสั้นจัด ทรงเป็นระเบียบ แววตาแหลมคมนั้นทำให้ผู้พบเห็น หลงใหล

ใบหน้าอันหล่อเหลาภายใต้แสงยามค่ำคืนแบบนี้ เผยให้เห็นออร่าที่กลมกลืนไปกับบรรยากาศรอบข้าง จิ่งหนิงรู้สึกว่าเธอเคยเห็นชายคนนี้มาก่อน

จากนั้นเธอหันไปเห็นเลขาของเขาที่ยืนอยู่ด้านหลัง อีก ทั้งรถปอร์เช่สีเงินที่อยู่ข้างๆ เธอก็คิดได้ว่าจะไปรู้จักบุคคล ที่โดดเด่นแบบนี้ได้ยังไงกัน?

เธอสลัดความคิดออกจากหัว หันหลังแล้วเดินจากไป จนกระทั่งร่างเล็กๆของเธอเข้าสู่รถยนต์ ลู่จิ่งเซินจึงได้

ละสายตามาจากเธอและถามขึ้นว่า “คนเมื่อกี้นี้คือใคร?

ซูมู่ที่ยืนอยู่ด้านหลังรีบตอบขึ้นว่า ท่านหมายถึงคนที่ถูก ตำรวจจับไปเมื่อกี้หรือครับ? เหมือนว่าจะเป็นคุณชายขอ งมู่ชื่อกรุ๊ปที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศเมื่อหลายวันก่อน”

ลู่จิ่งเซินขมวดคิ้วแล้วบอกว่า “ผมหมายถึงคนผู้หญิงคน เมื่อกี้”

“ครับ? ” ซูมู่งุนงงเล็กน้อย “ผู้หญิงคนไหนกัน? ”

เมื่อเห็นแววตาอันไม่พอใจของลู่จิ่งเซิน ซูมู่ก็รีบพูดขึ้นมา ว่า “ท่านประธานครับ ต้องขออภัยด้วยผมจะไปตรวจสอบ เดี๋ยวนี้”

“ช่างมันเถอะ”

สายตาของเขามองไปตามทางที่ผู้หญิงคนนั้นขับรถออก ไปแล้วยิ้มขึ้น เขาคล้ายกับนึกอะไรออกมาได้

จากนั้นเขารีบก้าวเดินเข้าไปด้านใน ในฐานะผู้แจ้งความ จิ่งหนิงจึงต้องเดินทางไปที่สถานี ตำรวจด้วย

เมื่อทำการบันทึกข้อความเสร็จแล้ว ผู้คนจากด้านนอกก็ พากันแห่กรูเข้ามา

คนที่เดินเข้ามาเป็นคนแรกก็คือคุณย่าจิ่งหวังเสว่เหมย เมื่อเธอเดินเข้ามาถึงก็ตบเข้าให้ที่หน้าของจิ่งหนิงอย่างจัง

“นังคนทรยศ? ”

หวังเสว่เหมยตัวสั่นสะท้านแล้วพูดว่า “แกรู้อยู่แก่ใจว่านั่น คือน้องสาวแท้ๆของแก ยังกล้าแจ้งตำรวจจับอีกอย่างนั้น เหรอ? แกต้องการจะยั่วให้ฉันโมโหตายยังไง? ”

จิงหนิงเช็ดโชคเลือดที่มุมปาก จากนั้นเงยดูหญิงชราที่ อยู่ตรงหน้า

“น้องสาวอย่างนั้นเหรอ? คุณหมายถึงจิ่งเสี่ยวหย่า? ”

“ไม่ต้องทำมาเป็นเสแสร้ง สื่อต่างๆพากันพูดกันให้แซ่ด บอกว่าคุณหนูจิงรองให้ท่าคู่หมั้นของคนอื่น แกไม่รู้เรื่อง หรือไง? ”

จึงหนิงก้มหน้าลงและยิ้มออกมาเบาๆ

“ผู้หญิงคนนั้นเป็นเธอนั่นเอง….ฉันก็คิดว่ากะหรี่ที่ไหน รีบร้อนจะหาเงินซะอีก ที่แท้ก็เป็นน้องสาวของฉันเอง? “

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท