จิ่งหนิงยิ้ม “แต่คุณน้าคะ หนึ่งร้อยล้านมันไม่ใช่น้อยๆ ตราบใดที่ฉันแตะเงินก้อนนี้ จิ่งเซินก็ต้องรู้แน่ ถึงตอนนั้นเขาซักถามขึ้นมา ฉันจะพูดยังไง?”
ลู่หลันจือคิดแล้ว ก็จริงด้วย
เธอลังเลสักพัก “ไม่งั้นเธอก็บอกเขาไปสิ เธอเอาไปซื้อของหมดแล้ว? จิ่งหนิงเอาอกเอาใจเธอขนาดนั้น เงินแค่ร้อยล้านคงไม่มาทะเลาะกับเธอหรอก”
จิ่งหนิงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ซื้อของ……นั่นต้องเห็นของถึงจะได้นะคะ”
“เฮ้อ นั่นง่ายมาก!” ลู่หลันจือโบกมือแล้วพูดขึ้น “เธอก็เอาอัญมณีสองสามอย่างไปหลอกเขาไง ยังไงเขาก็เป็นผู้ชาย คงดูไม่ละเอียดรอบคอบมากหรอก เธอก็บอกว่าเงินนี้เธอซื้ออัญมณีไป เขาคงไม่พูดอะไร”
พูดถึงตรงนี้ เธอก็ขยิบตาอีกครั้ง พูดขึ้นอย่างลึกลับมาก “ถึงตอนนั้นเงินร้อยล้านนี้น่ะ ฉันคืนให้เธอเป็นการส่วนตัว เงินนี้มันก็เป็นของเธอ เธอโง่หรือเปล่าเนี่ย?”
จิ่งหนิงตกตะลึง
เห็นท่าทางเล่นหูเล่นตาของเธอ ทันใดนั้นก็รู้สึกเศร้าๆ
คุณน้าตระกูลลู่ผู้ทรงเกียรติ ใช้ชีวิตกลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไร?
ความคิดประเภทยักยอกเงินก็คิดออกมาได้?
เธอส่ายหน้า “คุณน้าคะ ขอโทษด้วยค่ะ ฉันไม่สามารถหลอกจิ่งหนิง แล้วกลืนเงินร้อยล้านนี้ไปโดยบังเอิญได้ ดังนั้นถ้าคุณต้องการยืมจริงๆ เรื่องนี้ฉันต้องปรึกษากับจิ่งเซิน ถ้าคุณไม่อยากให้เขารู้”
เธอชะงักไป หยิบบัตรธนาคารหนึ่งใบมาจากในกระเป๋าข้างๆ ยื่นมันให้ลู่หลันจือ
“ในนี้เป็นเงินฉันเอง มันไม่เยอะ มีแค่ยี่สิบกว่าล้านเท่านั้น เงินนี้แม้แต่จิ่งเซินก็ไม่รู้ ถ้าคุณไม่รังเกียจก็เอาไปใช้”
ลู่หลันจือเห็นว่าเป็นแบบนี้ สีหน้าก็มืดลงทันที
เธอยืนขึ้นทันที มองจิ่งหนิงด้วยใบหน้าเย็นชา พูดขึ้นด้วยเสียงโกรธเกรี้ยว “จิ่งหนิง! นี่เธอเห็นฉันเป็นอะไร? เห็นฉันเป็นขอทานเหรอ? ยี่สิบล้าน? ขอบคุณที่เธอยังคิดได้เนอะ! เธอคิดจริงๆ ใช่ไหมว่าตอนนี้ตัวเองดูแลครอบครัวแล้ว กลายเป็นนายหญิงตระกูลลู่ สุดยอดมากแล้วใช่ไหม? อย่าลืมล่ะ ฉันเป็นน้าเธอนะ!”
จิ่งหนิงชินกับท่าทางเปลี่ยนแปลงสีหน้ากะทันหันของเธอตั้งนานแล้ว เห็นเธอไม่เก็บมันไว้ ก็เก็บบัตรไป พูดขึ้นเรียบๆ “ในเมื่อคุณน้ารังเกียจ งั้นก็ช่างมัน สิ่งที่ควรพูดฉันก็พูดจบแล้ว คุณลองพิจารณาเองแล้วกัน”
พูดจบ ก็ไม่สนใจเธออีก หันตัวขึ้นข้างบนไปโดยตรง
ลู่หลันจือเห็นว่าเป็นแบบนี้ ก็โกรธจัดทันที
ชี้ไปที่แผ่นหลังเธอแล้วด่าอย่างรุนแรง
“จิ่งหนิง! เธอหมายความว่าไง? เธออย่าคิดนะว่าเธอแต่งเข้าตระกูลลู่แล้ว ของในตระกูลลู่จะเป็นของเธอทั้งหมด! ฉันจะบอกเธอให้ เธอแซ่จิ่งไม่ใช่แซ่ลู่ คนแซ่ลู่มันคือฉันต่างหาก เธออย่าไป! เธอ……”
เธอทำท่าทางจะพุ่งไป แต่ถูกคนรับใช้สองคนหยุดเอาไว้
ป้าหลิวก้มศีรษะเล็กน้อย พูดอย่างเคารพ “คุณนายกูว คุณนายครอบครัวเราท้องอยู่นะคะ ร่างกายเหนื่อยล้า ต้องพักผ่อน ได้โปรดคุณเบาเสียงหน่อยนะคะ”
ลู่หลันจือได้ยินดังนั้น ก็จ้องเธออย่างรุนแรง
“ทำไมฉันต้องเบาเสียง? เธอท้องแล้วยังไง? เธอท้องแล้วเป็นสมบัติล้ำค่าเหรอ? แล้วไม่ใช่ท้องครั้งแรกด้วยแอ๊บอะไร!”
แต่ก็แค่พูดเท่านั้น อย่างไรแล้วเมื่อคำนึงว่านั่นคือลูกของลู่จิ่งเซิน ถ้ามีผลที่ตามจริงๆ ก็จะร้ายแรง ด้วยเหตุนี้สุดท้ายก็เลยสะบัดแขนเสื้อเดินจากไปด้วยความโกรธ
เมื่อออกไป ก็เห็นคนรับใช้รับอานอานกลับมาพอดี
วันนี้วันศุกร์ โรงเรียนที่อานอานเรียนอยู่เรียนแค่ครึ่งวันเท่านั้น ทานอาหารกลางวันเสร็จก็กลับได้แล้ว
ด้วยเหตุนี้ คนขับรถจึงไปรับเธอตั้งแต่เนิ่นๆ ในเวลานี้เข้าบ้านมา และเจอเธอพอดี
อานอานเห็นเธอ ดวงตาก็เป็นประกาย ตะโกนเรียกเสียงดัง “คุณย่ากูว”
แน่นอนว่าลู่หลันจือเห็นเธอแล้ว ก็กลอกดวงตา มีความชั่วร้ายเคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เธอเดินไป ยิ้มแล้วพูดขึ้น “วันนี้อานอานกลับมาเร็วจัง?”
อานอานพยักหน้าอย่างดีใจ “อืม วันนี้วันศุกร์ โรงเรียนเรียนแค่ครึ่งวันค่ะ”
ลู่หลันจือลูบศีรษะเล็กของเธอ “งั้นพอดีเลย เดี๋ยวอีกสักครู่หนูเก็บของได้เลยนะ จะย้ายไปอยู่ที่บ้านคุณปู่ทวดและคุณย่าทวด”
อานอานตกตะลึง ภายในดวงตาสดใสมีความสงสัยและความไม่เข้าใจเคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว
“ย้ายไปอยู่ที่บ้านคุณปู่ทวดกับคุณย่าทวดเหรอคะ? ทำไมคะ?”
ลู่หลันจือย่อตัวลง “หนูยังไม่รู้เหรอ? คุณแม่หนูมีเด็กน้อยอีกคนแล้ว”
อานอานยิ่งสงสัย “หนูรู้ค่ะ เมื่อคืนแม่ยังถามหนูอยู่เลยว่าอยากได้น้องสาวหรือน้องชาย หนูเลือกน้องสาวค่ะ”
ขณะที่เธอพูด ก็หรี่ตายิ้มอย่างสุขใจ
ลู่หลันจือทำเสียงจุ๊ๆ แล้วส่ายหน้า ถอนหายใจหนึ่งครั้ง
“เด็กโง่ น้องสาวคนเล็กไง หนูไม่รู้เหรอว่ามีน้องสาวคนเล็กแล้ว หนูจะต้องโดนทิ้ง?”
เมื่อพูดคำนี้ออกไป อานอานก็อึ้งทันที มองเธออย่างเหม่อลอย
ลู่หลันจือพูดอีกครั้ง “หนูต้องเข้าใจนะ ถึงแม่จะดีกับหนูแค่ไหน เธอก็ไม่ได้คลอดหนูเอง จิ้งเจ๋อน้อยเป็นเด็กผู้ชาย หนูยังไม่รู้สึก ถ้าแม่หนูคลอดลูกสาวอีกจริงๆ เด็กผู้หญิงสองคนอยู่ด้วยกัน ถึงตอนนั้นหนูถึงจะรู้สึกได้ แล้วหนูจะเสียใจภายหลังนะ”
ในที่สุดอานอานก็เข้าใจความหมายของเธอ
ผลักเธอออก แล้วพูดด้วยเสียงโกรธ “คุณพูดมั่ว! แม่รักหนูมากที่สุด ไม่มีทางรักแค่น้องสาวไม่รักหนู คุณพูดมั่ว!”
ลู่หลันจือยืนขึ้น มองเธออย่างเย็นชา
“ฉันไม่ได้พูดมั่ว หนูกลับไปก็รู้แล้ว เพราะน้องสาว แม่หนูจะเอาหนูไปฝากเลี้ยงที่บ้านย่าทวด ถ้าหนูไม่เชื่อ เดี๋ยวกลับไปดูสิว่าเธอพูดกับหนูแบบนี้หรือเปล่า ถึงตอนนั้นหนูก็จะเชื่อฉัน”
อานอานมองเธอ ผลักเธอออกไปด้วยความเสียใจ และไม่พูดกับเธอแล้ว วิ่งตรงเข้าไปในคฤหาสน์
คนขับรถตามมาด้านหลัง สีหน้าไม่ค่อยดีนัก แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร ก็รีบตามไปติดๆ
ภายในคฤหาสน์
หลังจากจิ่งหนิงกลับมาถึงห้อง ก็นึกขึ้นได้ว่าวันนี้วันศุกร์ อานอานมีเรียนแค่ครึ่งวัน เดี๋ยวก็คงจะกลับมาแล้ว
เธอรีบเดินออกไปถามป้าหลิว “ป้าหลิวคะ อานอานจะกลับมาแล้วใช่ไหม?”
ป้าหลิวนึกขึ้นได้ ก็เคาะศีรษะตัวเอง “อุ๊ยตาย ใช่ค่ะ ดูความทรงจำฉันสิ เกือบลืมไปเลย ฉันจะไปรับเธอเดี๋ยวนี้”
กำลังพูดอยู่ ทันใดนั้นก็เห็นร่างเล็กวิ่งเข้ามาตรงประตูทางเข้า ไม่ใช่อานอานแล้วจะเป็นใครอีก?
คนขับรถตามหลังเธอ ถือกระเป๋านักเรียนให้เธอ เมื่อเห็นจิ่งหนิง ก็รีบทักทายด้วยความเคารพ “สวัสดีครับคุณนาย”
จิ่งหนิงพยักหน้า สังเกตเห็นสีหน้าอานอานค่อนข้างผิดปกติ ก็ลงมาข้างล่างแล้วถามขึ้น “อานอาน ลูกเป็นอะไร? ทำไมสีหน้าแย่แบบนี้?”
อานอานมองเธอด้วยใบหน้าไม่พอใจ ถามขึ้น “แม่คะ แม่จะส่งหนูไปอยู่บ้านคุณย่าทวดใช่หรือเปล่า?”
จิ่งหนิงตกตะลึง ค่อนข้างงุนงง
“ลูกรู้ได้ยังไง?”
เมื่ออานอานได้ยิน ก็ระเบิดด้วยความโกรธทันที
ผลักเธอออก แล้วพูดด้วยเสียงโกรธ “หนูไม่ต้องการแม่แล้ว หนูเกลียดแม่”
พูดจบ ก็วิ่งไปที่ห้องตัวเอง
จิ่งหนิงถูกเธอผลักจนถอยหลังไปสองสามก้าว ป้าหลิวตกใจจนสีหน้าเปลี่ยน รีบวิ่งไปประคองเธอ
“คุณนาย คุณเป็นยังไงบ้างคะ? คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
จิ่งหนิงโบกมือ มองไปทางห้องอานอาน แล้วขมวดคิ้ว
อานอานมีนิสัยเชื่อฟัง ปกติจะไม่โมโหแบบนี้ นี่มันเกิดอะไรขึ้น?