อานอานพยักหน้า หยิบมีดคัตเตอร์ แกะกล่องตรงหน้าหลายกล่องรวดเดียวดังฉึบฉับ
เด็กผู้หญิงให้ความสนใจกับสิ่งของอย่างกล่องของขวัญเป็นพิเศษอย่างที่คิดไว้
ในวันปกติ เด็กผู้หญิงที่อ่อนโยนอ่อนแอแค่ไหน ตอนที่แกะของขวัญก็สามารถกลายเป็นกรรไกรซึ่งหาที่เปรียบไม่ได้ ทั้งเร็วและแม่นยำ ทำรวดเดียวจนสำเร็จ
อานอานแกะของขวัญเสร็จแล้ว ก็พอใจในที่สุด
จิ่งหนิงอยู่เป็นเพื่อนเธออีก สอนวิธีเก็บเรียงของขวัญของตัวเองเสร็จแล้ว จากนั้นก็พาเธอออกจากห้องเก็บของไป
“แม่ หนูแกะของขวัญเสร็จแล้ว แม่ไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนหนูแล้วก็ได้ แม่ไปทำงานเถอะค่ะ”
จิ่งหนิงพยักหน้า มองดูเวลา เพิ่งสิบโมงครึ่ง ไม่ถือว่าสายเกินไป
เธอกำชับอานอานไม่กี่ประโยค กำลังเตรียมออกไป จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงดัง “กริ๊ง” สิ่งของสีขาวหล่นพื้น
อานอานอุทานออกมา “อ่า จี้หยกของหนู!”
จิ่งหนิงหันศีรษะกลับไป เห็นเธอเก็บจี้หยกวงหนึ่งขึ้นมาจากพื้น ก็รีบเข้าไปดูใกล้ๆ
แค่เห็นหยกชิ้นนั้นที่ลู่หลันจือมอบให้เธอ
เมื่อคืน จิ่งหนิงไม่ได้มองจี้หยกชิ้นนี้อย่างละเอียด แค่มองผ่านแสงไฟสลัวเท่านั้น รู้สึกว่าคุ้นตา เหมือนของที่ระลึกของโม่ไฉ่เวยแม่ตัวเองก่อนเสียชีวิต
แต่ในตอนนั้น เธอมีแค่ความคิดหนึ่งเคลื่อนผ่านไปเท่านั้น ไม่ได้จริงจัง
อย่างไรแล้ว โม่ไฉ่เวยก็เสียชีวิตไปหลายปีแล้ว ไม่ได้ทิ้งอะไรไว้ จะมีจี้หยกที่เป็นของเธออยู่ในมือลู่หลันจือได้อย่างไร?
ด้วยเหตุนี้ ตอนนั้นเธอแค่คิด ก็รับมันมา
แต่ตอนนี้ เมื่อเห็นจี้หยกชิ้นนี้อีกครั้ง เห็นลายดอกบัวชัดเจนใสสะอาดด้านบน ใจก็สั่นอย่างช่วยไม่ได้
ความรู้สึกคุ้นเคยนั้นยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เธออดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปหยิบจี้หยกในมืออานอานมา
“แม่คะ เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
อานอานตกตะลึง ไม่ค่อยเข้าใจ
แต่จิ่งหนิงไม่ตอบ เธอลูบลายบนจี้หยกอย่างระมัดระวัง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า มองดูอย่างละเอียดนานมาก สุดท้ายก็ยืมแสงที่ส่องเข้ามาในประตู ตรงกลางดอกบัว เห็นตัวอักษรจีนขนาดเล็กหนึ่งตัวชัดๆ
แค่เห็นว่านั่นคือตัวอักษรคำว่าโม่
เธออดไม่ได้ที่จะตกใจอย่างรุนแรง!
น-นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?
คนนอกอาจจะไม่รู้ แต่จิ่งหนิงรู้ดีเป็นอย่างยิ่ง ในปีนั้นตระกูลโม่เป็นตระกูลแรกในเมืองจิ้น ท่านปู่โม่คุณตาของเธอในเมืองจิ้นนั้นสามารถกล่าวได้ว่าเป็นผู้มีอำนาจอิทธิพล โม่ไฉ่เวยในฐานะลูกสาวเพียงคนเดียวของท่านปู่โม่ แน่นอนว่าอยู่ดีกินดีมาตั้งแต่เล็ก
เพราะอยากให้ลูกสาวตัวเองดูแตกต่าง ท่านปู่โม่จึงปลูกฝังฝีมือและความสนใจงานอดิเรกหลายประเภทให้เธอตั้งแต่เล็ก วัตถุทั้งหมดที่โม่ไฉ่เวยใช้ส่วนตัว จะทำสัญลักษณ์พิเศษเอาไว้ เพื่อแสดงว่านี่เป็นของของเธอเพียงผู้เดียว
และสิ่งที่เรียกว่าสัญลักษณ์ จริงๆ แล้วมันก็เรียบง่ายมาก ก็คือการสลักคำว่าโม่ขนาดเล็กไว้
สิ่งของขนาดเล็กอย่างชามตะเกียบ ปากกาคัดลายมือ จนของขนาดใหญ่เท่าอัญมณี เสื้อผ้า พาหนะรถยนต์ทั้งหมดก็ถูกสลักด้วยคำนี้
จิ่งหนิงเคยคิดว่า ตัวเองอาจจะไม่เห็นตัวอักษรนี้อีกแล้วตลอดชีวิตนี้ แต่ในปัจจุบัน กลับเห็นมันบนจี้หยกอันเล็กๆ
สีหน้าเธอค่อนข้างซีดเซียวอย่างคลุมเครือ ทั้งร่างจมอยู่กับความทรงจำในอดีต
อานอานตกใจมาก เห็นเธอยืนตรงนั้นเหมือนคนโง่ ไม่ขยับไปไหน ร้อนรนใจจนแทบร้องไห้
ดึงแขนเสื้อเธอไปด้วย ตะโกนไปด้วย “แม่ แม่เป็นอะไร? แม่อย่าทำให้อานอานตกใจกลัวสิ”
น้ำตาร้อนผ่าวหยดลงบนหลังมือเธอ
จิ่งหนิงตกใจกับความร้อน สุดท้ายก็ได้สติกลับมา มองอานอานอย่างเหม่อลอย
ความเย็นยะเยือกบนใบหน้าผ่านไป เธอถึงได้รู้ตัวอีกทีก็ตอบสนอง ไม่รู้ว่าเมื่อไร ตัวเองร้องไห้ออกมาจริงๆ
คงเพราะเห็นเธอร้องไห้ ลูกก็ตกใจกลัว อานอานจึงร้องไห้ออกมา
จิ่งหนิงรีบเช็ดน้ำตา ย่อตัวลงพูดปลอบ “แม่ไม่เป็นอะไร อานอานไม่ต้องกังวลนะ เมื่อกี้แม่แค่นึกถึงบางเรื่อง”
อานอานยู่ปาก น้ำตาร่วงเหมือนลูกปัดที่แตกกระจาย
“แม่ แม่อย่าเสียใจเลยนะ แม่เสียใจอานอานก็จะเสียใจตามแม่ แม่ไม่ร้องไห้แล้วนะ”
ขณะที่พูด มือเล็กนุ่มนิ่มก็ช่วยเธอเช็ดน้ำตา
จิ่งหนิงแสบจมูก ยิ่งอยากร้องไห้
เธอฝืนยิ้ม “ได้จ้ะ แม่ไม่ร้องไห้ และไม่เสียใจ อานอานของเราก็ไม่ร้องไห้แล้วนะ อานอานเป็นเด็กผู้หญิงที่สวยที่สุดบนโลกใบนี้ เด็กผู้หญิงสวยเขาไม่ชอบร้องไห้”
อานอานพยักหน้า
จิ่งหนิงมองจี้หยกในมือ แล้วถอนหายใจ
อานอานถามขึ้น “แม่ แม่ร้องไห้เพราะจี้หยกนี้เหรอคะ?”
จิ่งหนิงพยักหน้า “ใช่ มันทำให้แม่นึกถึงแม่ของแม่ ก็คือคุณยายของลูก ลูกเห็นไหม บนนี้มันมีตัวอักษรคำว่าโม่ขนาดเล็กอยู่”
ขณะที่เธอพูด ก็นำทางอานอานไปยืนใต้แสงแดด แล้วพลิกจี้หยกให้เธอดู
อานอานตะโกนด้วยความประหลาดใจ “มีจริงๆ ด้วย!”
จิ่งหนิงยิ้มพูดขึ้น “นี่คือสัญลักษณ์พิเศษที่คุณยายลูกมีไว้บนของทุกอย่างที่ใช้ แม่คิดมาตลอดว่าบนโลกใบนี้น่าจะไม่มีของของเธอแล้ว แต่ตอนนี้พบว่าที่แท้ก็ยังมีอยู่”
อานอานกะพริบตา ไม่ค่อยเข้าใจนัก “แต่คุณยายแซ่จี้ ทำไมถึงสลักคำว่าโม่ล่ะคะ?”
จิ่งหนิงหายใจไม่ออก
เธอถึงนึกขึ้นได้ว่า อานอานไม่รู้เรื่องที่เมื่อก่อนเธอถูกแอบสับเปลี่ยน เร่ร่อนมาโตที่เมืองจิ้น
ตั้งแต่อานอานสามารถเข้าใจความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนเหล่านี้ได้ เธอและจี้หยุนซูก็ยอมรับกัน และกลับไปรู้จักกับจี้หวั่นแม่ตัวเอง ถ้าอย่างนั้นในสายตาอานอาน คุณแม่ของเธอหรือคุณยายของตัวเองก็คือจี้หวั่นแน่นอน
จิ่งหนิงยิ้มเยาะเย้ยตัวเอง พูดอธิบาย “นั่นคุณยายอีกคนของลูก เป็นผู้หญิงที่เลี้ยงแม่ของลูกตั้งแต่เล็กจนโต มอบชีวิตครั้งที่สองกับแม่”
อานอานเหมือนเข้าใจแต่ไม่เข้าใจ แต่ก็ยังพยายามอย่างมากที่จะเข้าใจมัน
“หนูเข้าใจแล้ว ยังไงก็เป็นคุณยายทั้งหมด ในเมื่อเป็นของของคุณยาย เราก็ต้องเก็บรักษามันไว้ให้ดี ต้องไม่ทำหายอีกอย่างเด็ดขาด”
จิ่งหนิงยิ้ม “ใช่ ดังนั้นอานอานต้องเก็บของให้ดี ทำหายไม่ได้นะ”
เมื่ออานอานได้ยิน ก็รู้สึกประหม่าทันที
“แต่……แต่หนูขี้หลงขี้ลืมง่ายมากเกินไป ถ้าหนูทำหายจะทำยังไงคะ?”
เธอขมวดคิ้วสวยละเอียดอ่อน ทันใดนั้นดวงตาก็เปล่งประกาย
“เอ๋ หรือแม่ช่วยหนูเก็บได้ไหม? หนูยังไม่เคยเจอคุณยายท่านนี้เลย ถ้าหนูเก็บมันไว้ วันไหนหนูเจอคุณยายแล้วค่อยเอาออกมาให้หนูอีกที หนูจะเอามันไปเจอคุณยาย ถึงตอนนั้นคุณยายก็จะยิ่งดีใจใช่ไหมล่ะคะ?”
จิ่งหนิงตกตะลึง ทันใดนั้นหัวใจก็เกิดความทุกข์
เธอไม่รู้ว่าจะอธิบายกับอานอานอย่างไร ว่าเธอไม่มีทางได้เจอคุณยายอีกแล้ว
เพราะคุณยายเสียชีวิตไปแล้วเมื่อหลายปีก่อน
จิ่งหนิงสูดจมูก แล้วฝืนยิ้ม
“ได้สิ แม่จะช่วยหนูเก็บ คราวหน้าตอนที่หนูไปเจอคุณยาย หนูค่อยใส่มันอีกครั้ง ถึงตอนนั้นคุณยายเห็นหนูใส่ของของเธอ ก็จะยิ่งชอบหนูแน่ๆ”
“งั้นก็เอาตามนี้ค่ะ”
อานอานนำจี้หยกที่ชื่นชอบยื่นไว้ในมือเธอ จากนั้นก็กลับห้องไปอ่านหนังสืออย่างมีความสุข