วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน – บทที่ 985 รักและห่วงเธอมาก

บทที่ 985 รักและห่วงเธอมาก

จิ่งหนิงขมวดคิ้วเล็กน้อย

ลู่หลันจืออดไม่ได้ที่จะกลอกตามองบน

“มันจะวุ่นวายได้สักแค่ไหนกัน? ฉันพาการ์ดไปด้วยไม่ได้รึไง? อีกอย่าง ตระกูลเราก็ขนาดนี้จะไปกลัวความวุ่นวายทำไม ใครจะกล้ามาแหย็มกับเรา ใช่ไหมล่ะจิ่งเซิน?”

ขณะพูด เธอก็หันไปยิ้มประจบให้ลู่จิ่งเซินด้วย

ลู่จิ่งเซินก็ไม่ได้ห้ามที่เธอจะออกไปเที่ยวเล่น เพราะถึงยังไง เขาก็รู้จักนิสัยของลู่หลันจือดี หล่อนเป็นคนที่ใครห้ามก็ไม่ฟังหรอก

ดังนั้น เขาจึงหยิบบัตรออกมาใบหนึ่ง ก่อนจะยื่นให้เธอ

ชายหนุ่มพูดต่อด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “อยู่กับการ์ดดี ๆ อย่าก่อเรื่อง”

ลู่หลันจือรีบยิ้มจนตาหยีพร้อมกับพยักหน้ารับทันที “ตกลง ฉันจะจำไว้ ขอบใจมากนะหลานชาย”

จากนั้นลู่จิ่งเซินจึงพาจิ่งหนิงและทุกคนกลับไปทางโรงแรม

หลังจากกลับมาถึง โม่ไฉ่เวยก็รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย หลังจากนัดแนะกับจิ่งหนิงเรียบร้อยแล้วว่าถึงเวลาทานอาหารเย็นค่อยลงมาเจอกัน เชวซู่ก็พาเธอเข้าไปพักที่ห้องก่อน

จิ่งหนิงเองก็ตามลู่จิ่งเซินเข้าไปพักที่ห้องด้วยเช่นกัน

พอกลับมาถึงห้อง จิ่งหนิงก็อดที่จะโอดครวญไม่ได้ “คุณตามใจคุณป้าเกินไปแล้วนะ พวกเรายังไม่ชินกับที่นี่เลย ยิ่งนิสัยของเธอที่ชอบก่อเรื่องอยู่แล้ว ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจริง ๆ การ์ดที่พาไปจะช่วยอะไรได้?”

ลู่จิ่งเซินเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะโอบเธอจากด้านหลัง แล้วพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “หลานสะใภ้พูดถูก”

ถึงแม้ปากจะพูดแบบนั้น แต่มือกลับไม่เป็นอย่างที่พูด

ชายหนุ่มย่อตัวลง จากนั้นก็จับเอวเนียนนุ่มของจิ่งหนิงไว้ แล้วค่อย ๆ เอาหูแนบไปที่ท้องของเธอ

“ให้ผมฟังหน่อย วันนี้ลูกชายพูดกับผมรึยัง?”

จิ่งหนิงยืนอยู่อยู่ที่เดิม ปล่อยให้เขาเอาหูแนบกับท้อง ก่อนจะพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “ยังไม่ทันคลอดเลย คุณรู้ได้ยังไงว่าเป็นลูกชาย?”

ลู่จิ่งเซินเงยหน้ามองเธอเล็กน้อย “ผมทำเองผมก็ต้องรู้สิ”

จิ่งหนิง “…….”

เธออยากจะทุบผู้ชายคนนี้สักทีจริง ๆ

ลู่จิ่งเซินฟังไปสักพัก ไม่รู้ว่าเขาได้ยินอะไรรึยัง สุดท้ายเขายืดตัวขึ้นอย่างพออกพอใจ ก่อนจะพยุงเธอไปนั่งที่โซฟาด้านข้าง

จิ่งหนิงหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ “คุณได้ยินลูกชายพูดอะไรกับคุณรึยัง?”

ลู่จิ่งเซินพยักหน้ารับอย่างจริงจัง “แน่นอนว่าได้ยินแล้ว”

“งั้นเขาพูดกับคุณว่าอะไรเหรอ?”

ลู่จิ่งเซินตอบกลับอย่างมีลับลมคมนัยว่า “เขาพูดว่า ความลับบอกไม่ได้”

จิ่งหนิงรู้ในทันทีว่าเขาไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยสักนิด เพียงแค่อยากล้อเธอเล่นก็เท่านั้น

หญิงสาวจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาแล้วตีเขาไปหนึ่งที

ลู่จิ่งเซินเองก็ไม่หลบ เขายอมให้เธอตีแต่โดยดี เพราะถึงยังไงกำปั้นน้อย ๆ ของเธอก็ทำให้เขาแค่คัน ๆ เท่านั้น ชายหนุ่มแทบจะไม่ได้รู้สึกเจ็บอะไรเลย

ทั้งสองหยอกล้อกันอยู่พักหนึ่ง จนจิ่งหนิงเริ่มเหนื่อย หญิงสาวเลยเอนกายลงบนโซฟาเพื่อพักผ่อน

ส่วนลู่จิ่งเซินก็ออกไปจัดการเอกสารบางอย่างที่ซูมู่เพิ่งจะส่งมาให้ ซึ่งเป็นเอกสารที่จำเป็นต้องให้เขาตรวจเช็ค

ภายในห้องค่อย ๆ เงียบสงบลงอีกครั้ง

ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรกันอีก ลู่จิ่งเซินเองก็ตั้งใจจัดการกับเอกสารอยู่ ชายหนุ่มนั่งจัดการเอกสารอยู่ตรงนั้นจนเสร็จถึงจะเงยหน้าขึ้นมา ก่อนจะพบว่าท้องฟ้าด้านนอกมืดไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้

เขาเหลือบมองไปที่นาฬิกา แล้วก็เห็นว่าตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มแล้ว

หัวใจเขากระตุกไปเล็กน้อย อดตำหนิตัวเองไม่ได้ที่จมดิ่งกับงานเกินไป จนลืมแม้กระทั่งดูเวลา

เขารีบยืดตัวขึ้นจากโต๊ะทำงาน ก่อนที่เขาจะเห็นภาพเบื้องหน้า ไม่รู้ว่าอาจจะเป็นเพราะเหนื่อยเกินไป หรือรอนานเกินไป แต่ตอนนี้จิ่งหนิงนอนหลับอยู่บนโซฟาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ร่างบางของหญิงสาวนอนขดตัวอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ ราวกับตุ้กตากระดาษ

ตัวเธอขาวซีดจนทำให้คนที่เห็นอดรู้สึกเป็นห่วงและอยากปกป้องไม่ได้

ลู่จิ่งเซินเดินออกไปข้างหน้า ก่อนจะเอาเสื้อคลุมของตัวเองคลุมตัวให้เธอ จากนั้นก็ใช้ฝ่ามือลูบไปที่หน้าผากเบา ๆ อย่างใส่ใจ พอเห็นว่าอุณหภูมิเป็นปกติ เขาถึงค่อย ๆ วางใจลง

เขาเห็นจิ่งหนิงนอนเหมือนร้อนมาก พอนึก ๆ ดูแล้วช่วงสองวันนี้เธอวิ่งตามเขาไปแทบทุกที่ คงจะเหนื่อยไม่น้อย

เพราะงั้นชายหนุ่มเลยแข็งใจปลุกเธอขึ้นมาไม่ได้ เขาค่อย ๆ ช้อนตัวเธอขึ้นอย่างเบามือ จากนั้นก็วางเธอลงบนเตียง ห่มผ้าให้ แล้วจึงหมุนตัวเดินออกมา

ขณะเดียวกัน โม่ไฉ่เวยกับ เชวซู่ก็ยังอยู่ที่ห้องของตัวเอง

ลู่จิ่งเซินเดินไปทางห้องพวกเขา ก่อนจะยกมือขึ้นเคาะเบา ๆ

ไม่นานคนในห้องก็เปิดประตูออกมา

เชวซู่สวมชุดสูทพอดีตัวยืนอยู่ที่หน้าประตู พอเห็นว่าเป็นเขา อีกฝ่ายจึงเบี่ยงตัวหลบเพื่อให้ชายหนุ่มเดินเข้าไปด้านใน

ทว่าลู่จิ่งเซินกลับส่ายหน้าเบา ๆ

โม่ไฉ่เวยเองก็ได้ยินเสียงเช่นกัน เธอเลยเดินออกมาดู เมื่อเห็นว่ามีแค่ลู่จิ่งเวินคนเดียว จิ่งหนิงไม่ได้ออกมาด้วย เธอเลยคิดว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น จึงเอ่ยถามชายหนุ่มอย่างร้อนรนว่า “เกิดอะไรขึ้น?”

ลู่จิ่งเซินยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ก่อนจะตอบว่า “ไม่มีอะไรครับ ผมแค่จะมาบอกว่า หนิงหนิงนอนหลับอยู่ น่าจะอีกสักพัก คงจะไปทานอาหารเย็นกับพวกคุณไม่ได้ ถ้าทั้งสองท่านหิว ไปทานกันก่อนดีไหมครับ ผมได้ยินว่าแถวนี้มีร้านอาหารอร่อย ๆ อยู่สองร้าน รสชาติไม่เลวเลย เดี๋ยวผมพาไปเอง”

โม่ไฉ่เวยชะงักไปชั่วขณะ เธอเองก็ไม่ได้โง่ แค่เคยได้รับบาดแผลมาก่อน จนทำให้สภาพจิตใจอ่อนไหวและมีอุปสรรคในการสื่อสารกับคนแปลกหน้าเท่านั้น

ดังนั้น เธอถึงเข้าใจขึ้นมาทันที ก่อนจะรีบตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “ไม่เป็นไร พวกเราไปเองก็ได้ เพราะยังไงหนิงหนิงก็เหนื่อยมากแล้ว คุณอยู่พักเป็นเพื่อนเธอเถอะ”

ลู่จิ่งเซินพยักหน้ารับ “งั้นเดินทางกันดี ๆ นะครับ มีเรื่องอะไรโทรหาผมได้ตลอดเลย”

ทั้งสองพยักหน้า จากนั้นลู่จิ่งเซินก็เดินจากไป

พอกลับไปถึงห้อง ชายหนุ่มก็เห็นจิ่งหนิงที่ไม่รู้ว่ารู้สึกตัวตั้งแต่เมื่อไรตื่นอยู่

ลู่จิ่งเซินจึงรีบก้าวเข้าไปหาเธออย่างรวดเร็ว

“เมื่อครู่ผมปิดประตูรบกวนคุณใช่ไหม?”

จิ่งหนิงเหลือบตามองเขา ก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ

“เปล่า” เธอชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็เหลือบตามองสำรวจตัวเองด้วยความสงสัย

“ฉันหลับไปได้ยังไงกัน?”

ลู่จิ่งเซินนั่งลง ก่อนจะลูบหัวเธออย่างอ่อนโยน

“คุณเหนื่อยเกินไปน่ะสิ เมื่อครู่คุณนั่งรอผมอยู่ตรงนั้น นั่งไปนั่งมาก็หลับไปเฉยเลย”

จิ่งหนิงก็เพิ่งจะคิดขึ้นได้ หญิงสาวเลยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะกับตัวเองเบา ๆ ก่อนที่เธอจะตกใจนึกถึงโม่ไฉ่เวยขึ้นมา

“เฮ้ ตอนนี้กี่โมงแล้ว? คุณแม่ได้เวลาออกไปทานข้าวแล้วใช่ไหม?”

เธอพูดไปพลาง พร้อมกับควานหาโทรศัพท์เพื่อจะดูเวลาไปด้วย

ลู่จิ่งเซินจึงต้องรีบรั้งเธอไว้ ก่อนจะยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ต้องรีบ ผมไปบอกคุณแม่คุณแล้ว พวกท่านจะออกไปทานเอง ไม่ได้รอพวกเรา”

จิ่งหนิงได้ฟังดังนั้น ก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

บางทีอาจเป็นเพราะโม่ไฉ่เวยหายตัวไปนานกว่าสิบปี จิ่งหนิงเลยมักจะรู้สึกเหมือนกับกำลังจะสูญเสียหล่อนไป ยิ่งตอนนี้เธอให้ความสำคัญกับผู้เป็นแม่มาก เพราะงั้น เธอเลยเลี่ยงความรู้สึกตื่นตัวตลอดเวลาแบบนี้ไม่ได้

ลู่จิ่งเซินก็เข้าใจความรู้สึกของเธอดี เขาจึงไม่ได้ว่าอะไร เพียงแค่เกลี่ยผมขึ้นทัดหูให้เธอเบา ๆ แล้วถามขึ้นว่า “หิวรึยัง?”

จิ่งหนิงรูปท้องตัวเองไปมา

ไม่น่าพูดเลย เมื่อครู่นี้ไม่พูดเธอก็ไม่รู้สึกอะไร พอตอนนี้อีกฝ่ายพูดขึ้นมา เธอกลับรู้สึกว่าตัวเองเริ่มหิวแล้วจริง ๆ

หญิงสาวพยักหน้ารับ

ลู่จิ่งเซินจึงพูดขึ้นเบา ๆ ว่า “มีสองตัวเลือก หนึ่งคือให้คนขึ้นมาส่งอาหารแล้วทานในห้อง สองคือลงไปทานที่ห้องอาหารข้างล่าง คุณจะเลือกอะไร?”

จิ่งหนิงยิ้มพร้อมกับตอบว่า “ทำไมถึงมีแค่สองตัวเลือกล่ะ? เรายังออกไปเดินเล่นข้างนอก หาร้านอื่น ๆ ทานได้ไม่ใช่เหรอ?”

ทว่าลู่จิ่งเซินกลับส่ายหน้าไปมา “ไม่ได้ วันนี้คุณเดินนานเกินไปแล้ว จะออกไปเดินตะลอนอีกไม่ได้”

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

Status: Ongoing

บทที่ 1 จับชู้คาเตียง

“มีถุงยางดูเร็กซ์ ดูอัล เพลย์เชอร์ไซซ์กลางไหม? ”

“มีค่ะ”

“แล้วก็ไวเบรเตอร์กับชุดนางแมวสวาทชุดหนึ่งด้วย”

“ได้ค่ะ จัดส่งที่ไหนคะ? ”

“โรงแรมลี่หัว ห้อง2202”

“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”

เมื่อจิ่งหนิงมาถึงโรงแรมลี่หัวก็เป็นเวลาห้าทุ่มแล้ว

เวลาดึกดื่นขนาดนี้ สำหรับคนที่ทำธุรกิจสินค้าผู้ใหญ่ แบบนี้ การนำส่งสินค้าด้วยตนเองไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่

นัก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงสาวหน้าตาสะสวยอย่างเธอ

แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ทุก สิ่งทุกอย่างต้องแลกมาด้วยเงิน อีกอย่างมู่ยั่นเจ๋อกำลังจะ กลับมาอีกไม่กี่วันนี้

คบกันมาตั้งหกปี แต่เวลากว่าครึ่งเป็นรักระยะไกล เขา ต้องดูแลธุรกิจทั้งในและนอกประเทศ เธอจะทำตัววุ่นวาย ส่งผลต่อการทำงานของเขาไม่ได้

ดีที่ความรักของทั้งสองคนนั้นค่อนข้างหวานชื่นนอกจากงานในแต่ละวันแล้ว เธอยังมีธุรกิจเล็กๆของตัวเอง ด้วย อีกไม่กี่วันเป็นวันเกิดของเขา เธอตั้งใจจะมอบของ ขวัญให้เขาอย่างเซอร์ไพรซ์

เมื่อคิดได้ดังนั้น จึงหนิงก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

เธอขยับหมวกสีดำที่ใส่มาให้ปิดลงมาบังหน้าไว้ จากนั้น เดินถือกล่องสินค้าเข้าไปด้านใน

โรงแรมลี่หัว เป็นสถานที่ราคาแพงขึ้นชื่อของเมืองจิ้น ผู้คนที่เดินทางมาเข้าพักล้วนเป็นระดับมหาเศรษฐี

ความโอ่อ่างดงามที่ห้องโถงไม่ต้องพูดถึง แม้แต่ลิฟต์ก็ ถูกประดับตกแต่งด้วยเงินและทองคำ คนที่ยืนอยู่ด้านใน ถูกแสงไฟส่องสว่างไสว

จิ่งหนิงเดินถือกล่องเข้าไปแล้วมองหาจุดหมาย

ใบหน้าอันงดงามถูกปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง มองเห็นเพียงดวงตา เป็นประกายคู่นั้น แฝงไปด้วยความมั่นใจ

ลิฟต์ขึ้นสู่ชั้น22 “ตั้ง” ประตูเปิดออก เธอเดินออกไป กระทั่งถึงห้อง2202และกดกริ่งที่ประตู

ประตูยังไม่เปิดออก ก็มีเสียงหนุ่มสาวดังขึ้น

“อาเจ๋อ อุ๊ย? อย่าค่ะ….ของน่าจะมาส่งแล้ว”

“รอผมนะ เดี๋ยวมา”

จึงหนิงยืนยิ้มอยู่ที่ปากประตูอย่างอดไม่ได้ ของยังมาส่งไม่ถึงก็เริ่มกันแล้วเหรอเนี่ย? รีบร้อนกันจริงๆ?

ประตูถูกเปิดออกในไม่ช้า ชายผู้ออกมารับของสวมผ้า ขนหนูเพียงผืนเดียว บนร่างกายของเขายังคงมีไอน้ำอยู่

จิ่งหนิงไม่ได้มองหน้าเขา เธอยื่นกล่องใส่ของออกไป “843หยวนค่ะ? จ่ายเงินสดหรือว่าโอนคะ? ”

ชายผู้อยู่ตรงหน้าไม่ตอบ

ผ่านไปสองวินาที เสียงของชายผู้นั้นเอ่ยขึ้นว่า “.

หนิง?

จิ่งหนิงตกตะลึง เธอเงยหน้าขึ้นมอง

เมื่อเห็นชายที่ยืนอยู่ด้านหน้า ร่างกายกำยำ ผมเผ้าเปียก ปอน เขามีเพียงผ้าขนหนูสีขาวปิดบังร่างกายไว้ แสงไฟ เหลืองนวลส่องมายังร่างกายของเขา ผิวขาวเนียนและ ใบหน้าอันเกลี้ยงเกลาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาด

ใจ อีกทั้ง ทำตัวไม่ถูก

สีหน้าของจิงหนิงตกใจเสียจนหน้าซีด

“ปั่นเจ๋อ ใครคะ? ”

“ไม่มีอะไรครับ คนมาส่งของครับ”

มู่ยั่นเจ๋อรีบพูดขึ้นก่อนที่จิ่งหนิงจะเอ่ยอะไรออกมาจาก นั้นรีบหยิบเงินจากกระเป๋ายัดใส่มือเธอและหยิบของไป อย่างรวดเร็ว

เสียงประตูปิดลงดัง “ปัง?

จึงหนิงยังคงยืนอยู่ที่หน้าประตู มือของเธอเริ่มสั่น สีหน้า

เหนิงซีดเผือดลงทันที

เธอหัวเราะออกมาเบาๆ

และมองไปยังธนบัตรที่เขายัดเข้ามาไว้ในมือ นี่มันเรื่อง ตลกบ้าบออะไรกัน? เธอหัวเราะเยาะในความโง่เขลาของ ตัวเองจริงๆ

เสียงชายหนุ่มและหญิงสาวเล็ดลอดออกมานอกห้อง เธอก็ถอนหายใจยาวๆออกมา และกลั้นน้ำตาที่คลอเบ้าเอา

ไว้

เธอหันหลังกลับและเดินตรงไปยังลิฟต์และหยิบมือถือ

ออกมา

“สวัสดีค่ะ สถานีตำรวจใช่ไหมคะ? ฉันจะขอแจ้งความ ว่ามีชายหญิงค้าประเวณี ห้องพักเลขที่.”

ต่อมา20นาที

รถตำรวจคันหนึ่งจอดลงที่หน้าโรงแรมลี่หัว ข้างๆยังมีนัก ข่าวและช่างกล้องเดินตามมา เมื่อเห็นคนที่ถูกจับตัวออกมา นักข่าวก็พากันแห่เข้าไป

“นายมู่ มีคนแจ้งความว่าคุณเสพยาและซื้อบริการทาง เพศ จริงหรือไม่คะ? ”

“นายมู ในฐานะผู้สืบทอดมู่ชื่อกรุ๊ป คุณคิดว่าการกระทำ เช่นนี้เหมาะสมหรือไม่คะ?

“นายมู่ครับ ผู้หญิงคนที่อยู่กับคุณเป็นใครกันครับ? มี

ข่าวลือว่าเป็นดาราในวงการ จริงหรือไม่ครับ? ” “นายมู..”

มู่ยั่นเจ่อถูกนักข่าวล้อมไว้ แม้แต่ตำรวจก็ห้ามไว้ไม่ได้ เขากัดฟันกรอดๆและตะโกนออกมาว่า “ไปให้พ้น? ” นักข่าวพากันตกอกตกใจและถอยหลังออกไป

มู่ยั่นเจ๋อมองไปยังฝูงชน เขาพบเข้ากับจิ่งหนิง สายตา ของเขาแฝงไปด้วยความอาฆาตแค้น

นี่คือสิ่งที่คุณต้องการใช่ไหม?”

จึ่งหนิงเผยอยิ้ม สายตาแฝงไปด้วยการดูถูก

“คุณทำแบบนี้อย่าหวังว่าจะได้ผมไปครอง”

จิ่งหนิงเดินหน้าขึ้นไปแล้วเงื้อมือขึ้นต่อหน้านักข่าวและ

ตำรวจ

11 เพียะ!”

ฝ่ามือของเธอตบลงไปที่หน้าเขาอย่างจัง มู่ยั่นเจ่อถูกตบ เสียจนหน้าหัน

บรรยากาศรอบด้านเงียบลงทันใด

ทางตำรวจตกตะลึงอ้าปากค้าง ” คุณผู้หญิงคนนี้คือ.

%3D

%3D ขอโทษนะคะ มือลั่นไปเอง!”

เธอยิ้มด้วยแววตาเยือกเย็นแล้วทำท่าทางนวดข้อมือ แล้วมองไปยังมู่ยั่นเจ่อด้วยสายตาอาฆาต จากนั้นพูดด้วย น้ำเสียงเยือกเย็นว่า

กระดาษชำระที่ตกลงไปในชักโครก คุณคิดว่าใครยังจะต้องการอีกกัน?ตบเมื่อสักครู่เป็นแค่ดอกเบี้ยเท่านั้น ทุน ที่เหลือฉันจะให้คุณชดเชยภายในสามวัน!”

แววตาของมู่ยั่นเจ่อตื่นตระหนก อะไร! ทุนอะไร !!” จึ่งหนิงขมวดคิ้วขึ้น ” คุณแน่ใจนะว่าจะให้ฉันกระตุ้น

ความจำคุณ

มู่ยั่นเจ๋อก้มหน้าลงทันที

เธอหัวเราะหีๆ เป็นเสียงหัวเราะที่แฝงไปด้วยความดูถูก เหยียดหยาม

ทางตำรวจเห็นเช่นนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาโบกมือ เป็นสัญญาณว่าให้คุมตัวขึ้นรถไปได้ เมื่อเขาเดินทางจากไป บรรดานักข่าวก็ไม่ได้รีรอ รีบตาม

ไปทันที

เดิมทีที่จากประตูทางเข้าโรงแรมเต็มไปด้วยผู้คน ตอนนี้ กลับว่างเปล่าไม่เหลือใคร

จึงหนิงยังยืนอยู่ที่นั่นจนกระทั่งควบคุมอารมณ์ได้ เธอจึง ได้เตรียมตัวจากไป

แต่เธอคาดไม่ถึงว่าเมื่อหันหลังกลับไปจะพบเข้ากับแวว ตาคู่หนึ่งที่จับจ้องเธออยู่

ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำ ร่างกายกำยำสูงใหญ่ ผมสั้นจัด ทรงเป็นระเบียบ แววตาแหลมคมนั้นทำให้ผู้พบเห็น หลงใหล

ใบหน้าอันหล่อเหลาภายใต้แสงยามค่ำคืนแบบนี้ เผยให้เห็นออร่าที่กลมกลืนไปกับบรรยากาศรอบข้าง จิ่งหนิงรู้สึกว่าเธอเคยเห็นชายคนนี้มาก่อน

จากนั้นเธอหันไปเห็นเลขาของเขาที่ยืนอยู่ด้านหลัง อีก ทั้งรถปอร์เช่สีเงินที่อยู่ข้างๆ เธอก็คิดได้ว่าจะไปรู้จักบุคคล ที่โดดเด่นแบบนี้ได้ยังไงกัน?

เธอสลัดความคิดออกจากหัว หันหลังแล้วเดินจากไป จนกระทั่งร่างเล็กๆของเธอเข้าสู่รถยนต์ ลู่จิ่งเซินจึงได้

ละสายตามาจากเธอและถามขึ้นว่า “คนเมื่อกี้นี้คือใคร?

ซูมู่ที่ยืนอยู่ด้านหลังรีบตอบขึ้นว่า ท่านหมายถึงคนที่ถูก ตำรวจจับไปเมื่อกี้หรือครับ? เหมือนว่าจะเป็นคุณชายขอ งมู่ชื่อกรุ๊ปที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศเมื่อหลายวันก่อน”

ลู่จิ่งเซินขมวดคิ้วแล้วบอกว่า “ผมหมายถึงคนผู้หญิงคน เมื่อกี้”

“ครับ? ” ซูมู่งุนงงเล็กน้อย “ผู้หญิงคนไหนกัน? ”

เมื่อเห็นแววตาอันไม่พอใจของลู่จิ่งเซิน ซูมู่ก็รีบพูดขึ้นมา ว่า “ท่านประธานครับ ต้องขออภัยด้วยผมจะไปตรวจสอบ เดี๋ยวนี้”

“ช่างมันเถอะ”

สายตาของเขามองไปตามทางที่ผู้หญิงคนนั้นขับรถออก ไปแล้วยิ้มขึ้น เขาคล้ายกับนึกอะไรออกมาได้

จากนั้นเขารีบก้าวเดินเข้าไปด้านใน ในฐานะผู้แจ้งความ จิ่งหนิงจึงต้องเดินทางไปที่สถานี ตำรวจด้วย

เมื่อทำการบันทึกข้อความเสร็จแล้ว ผู้คนจากด้านนอกก็ พากันแห่กรูเข้ามา

คนที่เดินเข้ามาเป็นคนแรกก็คือคุณย่าจิ่งหวังเสว่เหมย เมื่อเธอเดินเข้ามาถึงก็ตบเข้าให้ที่หน้าของจิ่งหนิงอย่างจัง

“นังคนทรยศ? ”

หวังเสว่เหมยตัวสั่นสะท้านแล้วพูดว่า “แกรู้อยู่แก่ใจว่านั่น คือน้องสาวแท้ๆของแก ยังกล้าแจ้งตำรวจจับอีกอย่างนั้น เหรอ? แกต้องการจะยั่วให้ฉันโมโหตายยังไง? ”

จิงหนิงเช็ดโชคเลือดที่มุมปาก จากนั้นเงยดูหญิงชราที่ อยู่ตรงหน้า

“น้องสาวอย่างนั้นเหรอ? คุณหมายถึงจิ่งเสี่ยวหย่า? ”

“ไม่ต้องทำมาเป็นเสแสร้ง สื่อต่างๆพากันพูดกันให้แซ่ด บอกว่าคุณหนูจิงรองให้ท่าคู่หมั้นของคนอื่น แกไม่รู้เรื่อง หรือไง? ”

จึงหนิงก้มหน้าลงและยิ้มออกมาเบาๆ

“ผู้หญิงคนนั้นเป็นเธอนั่นเอง….ฉันก็คิดว่ากะหรี่ที่ไหน รีบร้อนจะหาเงินซะอีก ที่แท้ก็เป็นน้องสาวของฉันเอง? “

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท