ถึงยังไงจิ่งหนิงก็ยังตั้งครรภ์อยู่ ต่อให้เธอจะคิดว่าสุขภาพตัวเองแข็งแรงดี ไม่ต้องใส่ใจมากก็ได้
แต่สำหรับลู่จิ่งเซิน เขาจะไม่ใส่ใจไม่ได้
จิ่งหนิงเห็นดังนั้น ก็ไม่อยากจะทิ้งความหวังดีของเขา เธอคิดไปคิดมาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “งั้นก็ให้คนขึ้นมาส่ง แล้วก็ทานที่ห้องก็แล้วกัน”
ลู่จิ่งเซินพยักหน้ารับ หลังจากถามว่าเธออยากทานอะไร เขาก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมาสั่งอาหาร แล้วก็ให้คนขึ้นมาส่ง
ทั้งสองทานอาหารค่ำด้วยกัน ผ่านไปไม่นาน โม่ไฉ่เวยกับเชวซู่ ก็กลับมา
โม่ไฉ่เวยค่อนข้างเป็นห่วงเรื่องสุขภาพของจิ่งหนิง พอกลับมาในโรงแรมเธอก็ตั้งใจเข้ามาหาจิ่งหนิงโดยเฉพาะ ขณะเดียวกันจิ่งหนิงก็กำลังทานข้าวอยู่ พอเห็นเธอเข้ามาก็รีบยืนขึ้นทันที
“คุณแม่ กลับมาแล้วเหรอคะ”
โม่ไฉ่เวยรีบเข้าไปกดเธอให้นั่งลงบนเก้าอี้ทันที “ใช่ พวกเราออกไปเดินเล่นมานิดหน่อยแล้วก็กลับเข้ามา ลูกเป็นยังไงบ้าง? วันนี้เหนื่อยขนาดนี้ สุขภาพร่างกายเป็นยังไง?”
“หนูไม่เป็นอะไรค่ะ สบายดี”
จิ่งหนิงตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ
แต่โม่ไฉ่เวยก็ยังไม่วางใจ เธอเองก็ไม่ใช่คนเย็นชา ถึงแม้จะจำเรื่องในอดีตไม่ได้ แต่ความรู้สึกที่จิ่งหนิงคอยเอาใจใส่และคอยเป็นห่วงเธอในช่วงที่ผ่านมานี้เธอทั้งมองเห็น ทั้งสัมผัสได้ เพราะงั้น เธอถึงมีใจที่เป็นห่วงและหวังดีต่อจิ่งหนิงจริง ๆ
โม่ไฉ่เวยมองไปทางเชวซู่ ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
“อะซู่หนิงหนิงกำลังท้องอยู่ ต้องกำหนดวันเวลาตรวจร่างกายนะ สองวันนี้ก็วิ่งไปทั่ว ไม่รู้ว่าลูกในท้องจะได้รับผลกระทบอะไรรึเปล่า คุณช่วยตรวจให้เธอหน่อยได้ไหม?”
จิ่งหนิงชะงักไป ก่อนจะถามด้วยคววามสงสัยว่า “ที่นี่อุปกรณ์อะไรก็ไม่มี จะตรวจยังไงคะ?”
โม่ไฉ่เวยยิ้มพร้อมกับตอบว่า “ไม่ต้องใช้เครื่องมือหรอก คุณอาเชวของลูกไม่ใช่แค่เชี่ยวชาญแพทย์แผนตะวันตกนะ ท่านยังเรียนแพทย์แผนจีนเพิ่มอีก นอกจากนี้ยังเป็นผู้ให้คำปรึกษาเรื่องชีพจรที่เก่งมากด้วย”
จิ่งหนิงได้ยินดังนั้น ก็พยักหน้ารับพร้อมกับร้อง “อ๋อ” ขึ้นมาทันที
เชวซู่เดินเข้ามานั่งตรงข้ามกับเธอ “ยื่นมือออกมาสิ”
จิ่งหนิงค่อย ๆ ยื่นมือออกไป
เชวซู่ใช้สองนิ้วทาบไว้ตรงจุดชีพจรของเธอ ผ่านไปสักพัก ก็ให้เธอยื่นมืออีกข้างมา
พอตรวจอย่างละเอียดอยู่สักพัก เขาก็ยืดตัวขึ้น
“ไม่เป็นอะไร เธอสบายดี”
จิ่งหนิงดึงมือกลับ พร้อมกับปล่อยแขนเสื้อลง จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “คุณแม่ดูสิคะ หนูบอกแล้วว่าไม่เป็นอะไร”
โม่ไฉ่เวยยิ้มอย่างจนปัญญา “ลูกนี่ ไม่เคยจะใส่ใจว่าร่างกายตัวเองจะเป็นยังไงเลยนะ”
ถึงแม้จิ่งหนิงจะไม่ค่อยใส่ใจ แต่ลู่จิ่งเซินกลับใส่ใจมาก
ดังนั้น เขาจึงหันไปพูดกับ เชวซู่ด้วยความเคารพ “ขอบคุณมากครับ”
เชวซู่ตอบรับด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ไม่ต้องเกรงใจ”
ทั้งหมดพูดคุยกันอยู่สักพัก โม่ไฉ่เวยก็กลัวว่าจะรบกวนเวลาทานอาหารของพวกเขา เธอเลยขอตัวกลับห้องตัวเองก่อน
หลังจากทานเสร็จ จิ่งหนิงก็ให้ลู่จิ่งเซินพาเธอออกไปเดินที่ระเบียงเพื่อย่อยอาหารสักหน่อย
บังเอิญอานอานโทรศัพท์เข้ามาหาเธอพอดี
ตอนนี้อานอานมีโทรศัพท์เป็นของตัวเองแล้ว เธอเลยส่งข้อความแล้วก็โทรหาจิ่งหนิงอยู่บ่อย ๆ ถึงแม้จะแค่ไม่กี่ประโยค บางทีก็แค่บอกว่าคิดถึงหม่ามี๊ หรือไม่ก็ถามว่าหม่ามี๊ทำอะไรอยู่
แต่จริง ๆ แล้ว สิ่งที่ถูกส่งมา ทั้งหมดล้วนเต็มไปด้วยความเป็นห่วงและความรู้สึกต้องการที่พึ่งพิงจากเด็ก ๆ
จิ่งหนิงถือโทรศัพท์ไว้ พลางเดินไปเดินมาไปด้วยขณะคุย
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ทั้ง ๆ ที่จิ้งเจ๋อน้อยต่างหากที่เป็นลูกชายแท้ ๆ ของเธอ แต่พออยู่ในบ้าน จิ้งเจ๋อน้อยกลับสนิทสนมกับลู่จิ่งเซินมากกว่า กลายเป็นอานอานที่ติดเธอแจ ราวกับว่าเธอคือแม่แท้ ๆ ก็ไม่ปาน
ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ พออานอานเริ่มโตขึ้น โครงร่างความเป็นหญิงสาวเริ่มปรากฏออกมา จิ่งหนิงก็พบว่าเด็กสาวยิ่งโตยิ่งเหมือนกับตัวเองมากขึ้นเรื่อย ๆ
ในจุดนี้ ไม่ใช่แค่ทำให้เธอประหลาดใจคนเดียว แม้กระทั่งทางป้าหลิว ยังพากันหัวเราะแล้วบอกว่าอานอานนั้นเหมือนกับเธออย่างกับแกะออกมาจากแม่พิมพ์เดียวกัน
ท่านย่าเชิ๋นเองก็รู้เรื่องนี้ แต่ท่านย่านั้นผ่านประสบการณ์มาเยอะแล้ว ท่านเลยไม่ได้ติดใจอะไร
ตรงกันข้ามท่านกลับหัวเราะน้อย ๆ พร้อมกับบอกว่า เด็กคนนี้กับจิ่งหนิงมีวาสนาต่อกัน ทั้งสองมีชะตาเป็นแม่ลูก ก็ต้องคล้ายกันเป็นธรรมดา
สรุปก็คือ ผู้คนรอบตัวเธอไม่ได้รู้สึกอะไรกับเรื่องนี้ ดังนั้นจิ่งหนิงเองก็เลยไม่ได้คิดมาก
มีแค่ลู่จิ่งเซินเท่านั้น ที่พอเห็นอานอานตัวติดกับจิ่งหนิงแล้ว นัยน์ตามักจะฉายแววเศร้าสร้อยออกมา
หลังจากที่จิ่งหนิงคุยโทรศัพท์กับอานอานเสร็จ เธอก็เตรียมตัวไปอาบน้ำเพื่อเข้านอน
แต่ทันใดนั้นเอง อยู่ ๆ ก็มีเสียงโทรศัพท์อีกสายดังขึ้น
ซึ่งก็คือลู่หลันจือที่โทรเข้ามา
พอกดรับสาย ก็ได้ยินเสียงลู่หลันจือร้องไห้มาแต่ไกล
“จิ่งเซิน รีบมาช่วยฉันเร็ว เกิด..เกิดเรื่องแล้ว!”
สีหน้าของลู่จิ่งเซินเปลี่ยนไปทันที “เกิดอะไรขึ้น?”
“ฉัน….ฉันเหมือนจะฆ่าคนไปแล้ว!”
………..
ยี่สิบนาทีหลังจากนั้น จิ่งหนิงกับลู่จิ่งเซินก็รีบมาหาลู่หลันจือที่บาร์แห่งหนึ่งทันที
บาร์ใต้ดินเหล่านี้ ก็เป็นเหมือนบาร์ปกติทั่วไป สิ่งที่คิดว่าไม่กล้าจะเที่ยเล่น ที่นี่ก็มีให้เห็นทั้งหมด
เช่นมวยใต้ดิน การแสดงเปิดเปลือย รวมถึงพวกทำธุรกิจการค้าที่สกปรกนองเลือด
ลู่จิ่งเซินเองก็คาดไม่ถึง เขาไม่คิดว่าลู่หลันจือจะมาเที่ยวเล่นในที่แบบนี้ สีหน้าของเขานิ่งขรึมมาตลอดทาง
จิ่งหนิงทั้งประหลาดใจและสับสน เธอรู้จักนิสัยใจคอของลู่หลันจือดี เพราะลู่จิ่งเซินเองก็เป็นกังวลกับเรื่องนี้มาตลอด ดังนั้น ถ้าไม่ใช่ว่าหล่อนก่อเรื่องใหญ่จนตัวเองไม่สามารถจัดการได้จริง ๆ ปกติแล้วหล่อนก็จะไม่โทรมา
ที่โรงแรม โม่ไฉ่เวยกับเชวซู่ ก็ได้ยินเรื่องที่พวกเขารีบร้อนออกจากห้อง เลยโทรมาถามด้วยความเป็นห่วง
จิ่งหนิงก็ไม่กล้าเล่ารายละเอียดให้พวกเขาฟัง กลัวว่าพวกเขาจะเป็นห่วง เลยบอกแค่ว่าเกิดเรื่องกับลู่หลันจือ พวกเธอเลยต้องตามมาดูสักหน่อย พร้อมกับบอกพวกเขาว่าไม่ต้องเป็นห่วง ก่อนจะวางสายไป
โม่ไฉ่เวยเห็นดังนั้น ก็รู้ว่าตัวเองคงช่วยอะไรไม่ได้ เลยไม่อยากสร้างความวุ่นวายเพิ่ม ทั้งสองทำได้แค่กำชับว่าให้ระวังตัวไว้ด้วย แล้วค่อยวางสาย
ในตอนที่ทั้งคู่มาถึงบาร์ ก็พบว่าลู่หลันจือกำลังนั่งอยู่บนโซฟาขนาดใหญ่
เบื้องหน้าของเธอ มีร่างของชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยรอยสักนอนสลบอยู่
ชายคนนั้น มีรูปร่างไม่สูงมาก น่าจะประมาณหนึ่งร้อยห้าสิบถึงหนึ่งร้อยหกสิบเซนติเมตร หุ่นของเขาค่อนข้างผอมบาง มีผิวสีเข้ม นอนพาดอยู่กับพื้น มีเลือดไหลออกมาจากหัว โดยที่ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย
พอเห็นลู่จิ่งเซินกับจิ่งหนิง ลู่หลันจือก็รีบยืดตัวขึ้น พร้อมกับวิ่งเข้ามาหาพวกเขาทันที
“จิ่งเซิน หนิงหนิง ในที่สุดพวกเธอก็มาสักที”
จิ่งหนิงรีบประคองหล่อนไว้ เธอมองไปยังกลุ่มชายหญิงที่กำลังโยกย้ายไปมาอยู่รอบ ๆ ราวกับฝูงปีศาจ ก่อนจะเอ่ยถามว่า “นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
“ฉัน……”
เธอยังไม่ทันดพูด เบื้องหน้า ก็มีชายฉกรรจ์คนหนึ่งเดินเข้ามา
“เห้ย พวกแกคือญาติ ๆ ของหล่อนใช่ไหม?”
จิ่งหนิงพยักหน้ารับ
เธอกุมมือลู่หลันจือไว้ ก่อนจะถามอีกฝ่ายว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
ชายคนนั้นชี้ไปยังคนที่นอนจมกองเลือดอยู่ จากนั้นก็ชี้มาทางลู่หลันจือ “ผู้หญิงคนนั้น ฆ่าพวกพ้องคนสนิทของเราจนตาย ตอนนี้เราเลยต้องการเรียกร้องค่าเสียหายจากหล่อน ในเมื่อพวกเธอเป็นญาติ งั้นก็เอาเงินออกมา ไม่อย่างนั้นก็เอาเรื่องขึ้นศาลไปเลย แต่ก็คงไม่จบง่าย ๆ เหมือนให้เงินหรอก”
“ใช่ ๆ รีบเอาเงินออกมา!”
“ฆ่าคนตายแต่ให้พวกแกแค่จ่ายเงิน นี่ก็ถือว่าใจดีแค่ไหนแล้ว! รีบเอาเงินออกมาสิ”
อีกฝ่ายมีกำลังคนมากกว่า แถมแต่ละคนยังมีรูปร่างกำยำกันทั้งนั้น ประกอบกับแสงไฟสลัว ๆ ในบาร์ และบรรยากาศที่มีควันจาง ๆ ทำให้หลายคนอดรู้สึกหวาดกลัวไม่ได้
ทว่าสีหน้าของจิ่งหนิงกลับไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด
ส่วนสีหน้าของลู่จิ่งเซินเองก็ยังคงไร้อารมณ์