จิ่งหนิงหายใจไม่ออกเล็กน้อย
แน่นอนว่าเธอไม่เคยคิดจะตามหาชีวิตอมตะอะไรนั่น
ของเหล่านั้น แค่ได้ยินก็รู้แล้วว่าเป็นเรื่องหลอกลวง เธอไม่เคยเชื่อเลย
แต่การที่เธอไม่เชื่อก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะไม่เชื่อนี่นา
และยิ่งคนที่ฉลาดเป็นกรดอย่างหนานกงจิ่น เขาก็ยังหมกมุ่นกับมัน
เมื่อคิดถึงตรงนี้ จิ่งหนิงก็อดจะปวดหัวไม่ได้
เธอถอนหายใจและพูด: “เหยาเหยา เธอยังจำครั้งก่อนที่เราไปร่วมงานแต่งงานของกู้ซือเฉียนกับเฉียวฉี แล้วเฉียวฉีเป็นลมในงานแต่งงานได้ไหม?”
หัวเหยาตกตะลึง: “จำได้สิ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพวกเขาเหรอ?”
“เกี่ยวอยู่แล้ว เพราะที่ฉันไหว้วานให้เธอสืบเรื่องนี้ ก็เพราะพวกเขาเป็นคนขอมา”
หัวเหยาตกใจ
จิ่งหนิงรู้สึกว่าจนถึงตอนนี้แล้วคงจะปิดเรื่องพวกนี้จากเธอไม่ได้แล้ว
ที่สุดแล้ว หากข่าวที่อยู่ในมือของหัวเหยาเป็นเรื่องจริง กู้ซือเฉียนกับเฉียวฉีก็คงต้องไปประเทศ F ถึงเวลานั้นก็ปิดไม่มิดอยู่ดี
ดังนั้นเธอจึงบอกหัวเหยาเรื่องที่หนานมู่หรงบอกกู้ซือเฉียนเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตของเฉียวฉีและวิธีที่พวกเขาแลกเปลี่ยนกับหนานกงจิ่น
หลังจากที่หัวเหยารับฟังเรื่องเหล่านี้แล้วก็เรียกได้ว่าต้องตกตะลึง
เธอเข้าใจมาตลอดว่าของพวกนี้เป็นสิ่งที่จิ่งหนิงต้องการ คิดไม่ถึงเลยว่าคนที่ต้องการมันแท้จริงแล้วคือเฉียวฉี
“พูดอย่างนี้ ถ้าหากยังรวบรวมชิ้นส่วนไม่ได้ก่อนปีใหม่ เฉียวฉีก็จะรักษาชีวิตไว้ไม่ได้เหรอ?”
จิ่งหนิงมีสีหน้าเคร่งเครียด “จะพูดแบบนั้นก็ได้”
“คนที่ชื่อหนานกงจิ่นอะไรนั่น ทำไมถึงได้ร้ายกาจแบบนี้? เอาชีวิตคนอื่นมาล้อเล่น เขาไม่มีครอบครัว มีลูกเมียบ้างรึไง?”
จิ่งหนิงได้ยินน้ำเสียงที่โกรธเคืองของเธอแล้ว ก็อดขำไม่ได้
หัวเหยาคนนี้เป็นแบบนี้ตลอดเลย
ไม่ว่าจะผ่านเรื่องราวมากมายแค่ไหน อายุมากเพียงใด ก็มีจิตใจที่บริสุทธิ์เสมอ
ในหัวใจของเธอ ความดีและความชั่วนั้นชัดเจนและไม่ปะปนกัน
แต่กลับเมินเฉยว่าในโลกนี้บางครั้งผู้คนไม่สามารถตัดสินความดีหรือความชั่วเพียงลำพังได้
ฆาตกรฆ่าคนอาจจะเป็นลูกที่กตัญญู พ่อที่รักลูกก็อาจจะเป็นฆาตกรได้
จิ่งหนิงถอนหายใจแล้วไม่คิดจะพูดอะไรกับเธออีก
เธอได้แต่หัวเราะและพูด: “เขาลูกเมียไหมฉันไม่รู้ ยังไงซะ เรื่องนี้คงต้องไหว้วานเธอแล้ว ช่วยสืบดูให้ที ถ้าหากข่าวมีมูล ฉันจะได้บอกเฉียวฉีพวกเขา”
หัวเหยาพยักหน้า เวลานี้เธอรับรู้ถึงความจริงจังของเรื่องนี้แล้ว จึงไม่มีแก่ใจจะทำเป็นเล่นแล้ว
“เธอวางใจเถอะ เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉันเอง ฉันจะช่วยเธอสืบมาให้ได้”
จิ่งหนิงคุยกับเธออีกเล็กน้อยแล้วจึงวางสาย
หัวเหยาเองก็มีการเคลื่อนไหวที่ว่องไว
ทางนี้เพิ่งคุยกับเธอเสร็จ เพียงไม่นาน ในตอนเย็น หัวเหยาก็โทรกลับมา
อีกฝั่ง จิ่งหนิงมีน้ำเสียงตื่นเต้นเล็กน้อย
“หนิงหนิง ฉันสืบมาแล้วนะ คุณลุงท่านนั้นแซ่เฉินจริง ๆ เขามีแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์อยู่หนึ่งชิ้น เมื่อห้าปีก่อน ในตอนที่แผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ถูกนำออกมา เขาได้มันมาจากพ่อค้าหยกคนหนึ่ง แต่ฉันได้ยินเขาบอกว่า เขารู้สึกว่าหยกที่อยู่กับเขาน่าจะเป็นของปลอม เพราะมีข่าวว่าของจริงถูกประมูลไป ในงานประมูลหนึ่งเมื่อไม่นานนี้เอง”
จิ่งหนิงตกตะลึง “งานประมูล?”
“ใช่ ดูเหมือนจะเป็น…งานที่เมืองหลิน”
จิ่งหนิงขมวดคิ้ว
งานประมูลที่เมืองหลิน แผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์?
ไม่มีเหตุผลเลย ถ้าหากที่เมืองหลินจะมีหยกอยู่อีกชิ้น เป็นไปไม่ได้ที่กู้ซือเฉียนและพวกจะไม่รู้
ที่สุดแล้ว เมืองหลินเป็นถิ่นเก่าของกู้ซือเฉียน
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เธอไม่ได้รีบสรุปกับหัวเหยาและพูดขึ้น: “ฉันเข้าใจแล้ว ฉันจะไปถามพวกเขาเรื่องนี้ แล้วจะโทรหาเธออีกที คุณลุงเฉินท่านนั้นของเธอ ไม่ว่าจะครอบครองหยกจริงหรือปลอม ก็คงต้องรบกวนเธออย่าเพิ่งเปิดเผยอะไร ปิดเอาไว้ก่อน หากมีอะไรจะโทรหาเธอเลย”
หัวเหยา “อือ” หนึ่งครั้ง “ฉันเข้าใจแล้ว”
ทั้งสองจึงวางสายไป
หลังจากวางสาย จิ่งหนิงก็โทรหาเฉียวฉี
ในสาย เธอบอกข่าวที่ได้จากทางหัวเหยา
เฉียวฉีฟังแล้วยิ้มและพูด: “มีเรื่องแบบนี้ด้วย แต่คนจัดงานประมูลนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นตระกูลหนานเองนั่นแหละ พวกเราตอนนั้นไม่รู้เรื่อง มาคิดดูตอนนี้แล้วก็รู้สึกได้ว่าหนานกงจิ่นวางแผนของเขาตั้งแต่ตอนนั้น”
“เขาจงใจจัดงานประมูล ดึงฉันกับกู้ซือเฉียนไปและเอาแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ชิ้นนั้นไป ให้พวกเราเกิดความสนใจในหยกนั่น จากนั้นก็ประกาศว่าฉันมีโรค แต่น่าเสียดาย พวกเราไม่รู้สึกตัวก่อนหน้านี้ก็เลยเดินไปตามหลุมพรางที่เขาวางเอาไว้”
จิ่งหนิงฟังสิ่งที่เฉียวฉีพูดแล้วก็ยังรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ
“พูดแบบนี้ก็หมายความว่าหยกชิ้นนั้นพวกเธอได้ไปแล้ว?
“ใช่ แต่ตอนนี้อยู่ในมือของหนานกงจิ่น”
จิ่งหนิงเงียบไปครู่หนึ่ง
“งั้นจากที่เธอดู ทางลุงเฉินนั่นเป็นของจริงไหม?”
เฉียวฉียิ้มและพูด: “ไม่สนว่ามันจะจริงหรือปลอม ขอเพียงมีข่าว ก็คงต้องไปที่นั่นสักรอบใช่ไหม? ไปถึงก็รู้เอง”
จิ่งหนิงพยักหน้า
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นฉันจะบอกหัวเหยา ถึงเวลานั้นพวกเราไปด้วยกันนะ”
เฉียวฉีรับปาก
หลังจากวางสาย จิ่งหนิงใช้ความคิดครู่หนึ่งแล้วลงไปข้างล่างเพื่อหาลู่จิ่งเซิน
ตอนนี้ยังเร็วไปแค่เพียงสองทุ่มเท่านั้น หลังกินข้าวลู่จิ่งเซินสัญญากับลูก ๆ ว่าจะเล่นเกมกับพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงกำลังแบ่งเป็นสองกลุ่มอยู่ในห้องเล่นเกม
ตอนที่จิ่งหนิงเข้าไปนั้น ก็เห็นพวกเขาผู้ใหญ่หนึ่งคนและเด็กอีกสองคนนั่งอยู่บนพรม ลู่จิ่งเซินกำลังสอนเด็ก ๆ ต่อเลโก้
ถึงแม้จิ้งเจ๋อน้อยจะอายุแค่สามขวบครึ่ง แต่เขาก็ฉลาดปราดเปรื่องและต่อเลโก้ได้เยอะแล้ว
แม้แต่ครูในโรงเรียนยังชมว่าเขาฉลาด
ลู่จิ่งเซินภูมิใจกับเรื่องนี้มาตลอด และรู้สึกเพราะยีนเขาดี ดังนั้นพอลูกคลอดออกมาจึงฉลาด
จิ่งหนิงแอบรู้สึกขบขันกับความคิดนนี้แต่ไม่พูดอะไร
เมื่อเห็นเธอเข้ามา ลู่จิ่งเซินก็โบกมือให้เธอ
“คุณลงมาทำไม? พักผ่อนอยู่ในห้องไม่ใช่เหรอ?”
ท้องของจิ่งหนิงเห็นชัดขึ้นทุกทีเพราะเธอตั้งท้องลูกแฝด ท้องของเธอจึงใหญ่กว่าท้องก่อนมาก
ตามหลักแล้วหญิงท้องสามถึงสี่เดือน ท้องน่าจะยังดูไม่ออกมาก
แต่จิ่งหนิงในตอนนี้กลับท้องป่องเล็กน้อยแล้วและตัวก็เริ่มหนักขึ้นแล้ว
ลู่จิ่งเซินกลัวเธอจะเหนื่อย ดังนั้นหลังอาหารจึงไปเดินเล่นเป็นเพื่อนเธอและให้เธอกลับไปพักผ่อนที่ห้อง
จิ่งหนิงยิ้มและเดินเข้าไป “ฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณค่ะ”
ลู่จิ่งเซินเห็นดังนั้นและรับรู้ได้ถึงสายตาของเธอ ก็รู้ได้ว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างสำคัญ
เขาหันไปเด็กน้อยสองคน “ลูก ๆ เล่นกันเองก่อนนะ แด๊ดดี้กับหม่ามี๊ออกไปข้างนอกก่อน”
ช่วงนี้เด็กน้อยทั้งสองคนต่างได้ใช้เวลาอยู่กับพวกเขาค่อนข้างเยอะจึงไม่ค่อยทะเลาะกันแล้วและพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
“แด๊ดดี้ไปอยู่เป็นเพื่อนหม่ามี๊ พวกเราเล่นกันเอง”